ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 635 ความสามารถเหนือกว่า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เนี่ยเซิ่งมองอู๋จื่อซิวอย่างประหลาดใจเหลือประมาณ

อู๋จื่อซิวถอนใจคำนึง “อนุมานตำรับโอสถง่ายๆ ตำรับหนึ่ง เขาใช้วิธีการที่ไม่เหมือนกันหลายวิธี มีบางอย่างที่ข้ารู้ มีบางอย่างที่ข้านึกไม่ออก”

“ตอนแรกที่เขาอนุมานตำรับโอสถทัศน์จิตนี้ เกรงว่าจะไม่ได้ลำบากอะไร แต่หลังจากนั้นน่าจะมองแผนการของพวกเราออก จึงจงใจรับมือเช่นนี้”

“รู้ทฤษฎีของตำรับโอสถมากมายถึงเพียงนี้ กลับทำให้ข้ามองวิธีการจริงๆ ของเขาไม่ออก ระดับด้านวิชาหลอมโอสถของเขาจะต้องเหนือกว่าข้าแน่”

ผู้อาวุโสอู๋ส่ายหน้า “เขากำลังแสดงความไม่พอใจอยู่”

เนี่ยเซิ่งมองอู๋จื่อซิวอย่างตกตะลึง เนิ่นนานให้หลังถึงค่อยกล่าวว่า “เขาตั้งใจจะซ่อนเร้นประวัติความเป็นมาของตัวเอง บางทีอาจจะอธิบายให้เห็นว่ามีเป้าหมายที่ไม่อาจบอกใครได้”

อู๋จื่อซิวกล่าว “มีใครที่ไม่มีความลับเป็นของตัวเองบ้าง? เพียงเสียดายที่ครั้งนี้อีกฝ่ายมีความสามารถเหนือกว่า”

ผู้อ่อนอาวุโสกว่าเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยปากถามว่า “ส่งคนออกจากทะเลหวงเจีย ไปพบองค์ประมุขตงหนานเถอะ แจ้งข่าวล่วงหน้าวันหน้าจะมีปัญหาจริงๆ อย่างน้อยก็ยังแก้ปัญหาได้บ้าง”

“ถ้าหากพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับองค์ประมุขตงหนาน การกระทำนี้ก็ถือเป็นการล่วงเกินแล้ว” อู๋จื่อซิวเอ่ย

เนี่ยเซิ่งเอ่ยเตือน “พิธีจะเริ่มแล้ว”

ชายชราหัวเราะเสียงขื่น “ข้ารู้ดี”

“หวังเหวินหมินส่งตัวปัญหากลับมาให้จริงๆ ยามปกติอาจถือเป็นเรื่องประเสริฐ แต่ว่าในช่วงสำคัญเช่นนี้ ทำให้ผู้คนปวดศีรษะจริงๆ” เนี่ยเซิ่งส่ายหน้า

อู๋จื่อซิวเอ่ยว่า “เขาเองก็ไม่รู้ว่าหอสักการะหลักและหอกสักการะย่อยแต่ละแห่งกำลังเตรียมพิธีกรรมอาทิตย์ดำจันทร์ยะเยือก ไม่รู้ถึงสถานการณ์ของพวกเรา ตามเหตุผลแล้ว การวางตัวของเขาก็เหมาะสมยิ่ง ไม่มีอันใดไม่ดี”

เนี่ยเซิ่งพูด “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้พวกเราไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกแล้ว”

ผู้อาวุโสอู๋พยักหน้าอย่างเชื้องช้า “พิธีสำคัญที่สุด ส่งพวกเขาออกไปก่อน รอพิธีเสร็จแล้วค่อยส่งพวกเขาไปหอสักการะหลัก ให้เจ้าสำนักตัดสิน”

“อย่าเสียมารยาท ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ระดับวิชาโอสถที่ลึกล้ำถึงเพียงนี้ก็ควรค่าให้สำนักเราคบหาแล้ว”

เนี่ยเซิ่งได้ยินก็เอ่ยว่า “นี่ย่อมแน่นอน”

ในห้องสงบใจเหลือเพียงอู๋จื่อซิวเพียงคนเดียว เขาถอนใจยาว ‘อ่อนเยาว์ยิ่งนัก อายุน้อยถึงเพียงนี้แต่มีระดับพลังฝึกปรือขนาดนี้ แค่ระดับของวิถีโอสถก็สูงล้ำถึงเพียงนี้แล้ว เขาเอาเวลาและกำลังมาจากไหนกัน?’

อู๋จื่อซิวหัวเราะเสียงขื่นคำหนึ่ง หลายปีมานี้ เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองชราเป็นครั้งแรก

เยี่ยนจ้าวเกอพาอาหู่กลับที่พัก อาหู่ถามอย่างฉงนใจ “คุณชาย ต่อจากนี้เราจะทำอย่างไร”

“ถ้าหากข้าคาดไม่ผิด หอสักการะย่อยของสำนักความมืดแห่งนี้ เหมือนกับกำลังวางแผนการใหญ่อยู่” เยี่ยนจ้าวเกอพูดเหมือนมีความคิดอะไรบางอย่าง “น่าจะเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้เบาะแสน้อยเกินไป ข้าตัดสินไม่ได้”

ชายหนุ่มนั่งลง “ในสถานการณ์เช่นนี้ ปล่อยให้พวกเราที่เป็นคนนอกอยู่ที่นี่ ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก”

“ถ้าหากเจตนาดีต่อเรา อีกไม่นานจะมีการเคลื่อนไหวเอง แต่หากไม่มีเจตนาร้าย ข้าคาดไว้ว่าพวกเขาน่าจะหาวิธีส่งพวกเราจากสาขานี้ไปยังสถานที่อื่น”

อาหู่เกาศีรษะของตัวเอง “จะส่งพวกเราไปที่หอสักการะหลักสำนักความมืดหรือไม่ขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “อาจจะส่ง แต่ก็อาจจะไม่ส่ง ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”

ตอนอยู่ในโถงโอสถเมื่อครู่ เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่รอจนเฉินเค่อได้ตำรับโอสถทัศน์จิตไปแล้วแต่ยังไม่ยอมเลิกรา ยังหยั่งเชิงวิธีการอนุมานและฟื้นฟูตำรับโอสถของตัวเอง ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

อีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้สอบถามว่าตนมีตำรับโอสถฉบับดั้งเดิมของโอสถทัศน์จิตตั้งแต่แรกเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะวางแผนตรวจสอบความคิดด้านวิชาโอสถของตนอีกด้วย

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพิสูจน์อะไรกันแน่ ดังนั้นจึงระมัดระวังตัว พูดจาคลุมเครือ ปฏิเสธคนของสำนักความมืดอย่างละมุนละม่อม ทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรกลับไป

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ก็มีคนผู้หนึ่งมาหา เป็นเนี่ยเซิ่งที่เคยเจอก่อนหน้านั่นเอง

ในการสนทนาระหว่างเนี่ยเซิ่งและเยี่ยนจ้าวเกอ เขาได้อธิบายเจตนาว่าเตรียมจะส่งเยี่ยนจ้าวเกอไปยังหอสักการะหลักแห่งสำนักความมืด

เยี่ยนจ้าวเกอมองเนี่ยเซิ่งแวบหนึ่ง แม้อีกฝ่ายจะยินยอมส่งพวกตนไปยังหอสักการะหลัก ทว่าสุดท้ายจะเป็นเมื่อไร จะมีการเสียเวลาระหว่างเดินทางหรือไม่ ไม่อาจบอกได้

ส่วนสิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ ในตอนนี้สำนักความมืด หรืออย่างน้อยอู๋จือซิวกับเนี่ยเซิ่งไม่อยากให้เยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่เกาะเซิ่งเหอต่อ

ปัจจุบันอีกฝ่ายยังค่อนข้างเป็นมิตร ดังนั้นแม้ในใจจะสงสัยว่าทางหอสักการะย่อยของสำนักความมืดคิดจะทำอะไร แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่คิดจะสืบสาวถึงที่สุด

“ได้ไปพบเจ้าสำนักของท่าน ข้าย่อมยินดี” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “แขกย่อมทำตามเจ้าภาพ พวกท่านโปรดจัดการได้เลย”

เนี่ยเซิ่งยิ้มพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากพวกคุณชายเยี่ยนเก็บของเรียบร้อยแล้ว ข้าจะส่งคนมานำทาง”

ไม่นานเยี่ยนจ้าวเกอก็พบจอมยุทธ์สำนึกความมืดที่จะนำทางตนเอง เป็นเฉินเค่อ ผู้อาวุโสที่มีวาสนาได้เจอกันก่อนหน้านี้นั่นเอง

หลังจากสนทนากันคร่าวๆ ไม่กี่คำ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ว่าเฉินเค่อเป็นคนขออู๋จื่อซิวและเนี่ยเซิ่งมาทำหน้าที่นี้

ผู้อาวุโสตำหนักไร้แสงสำนักความมืดที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ขั้นรวมรูประยะต้นผู้นี้ค่อนข้างหลงใหลในศาสตร์การหลอมโอสถ คิดจะอาศัยความได้เปรียบจากการร่วมทาง ขอคำแนะนำจากเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดังนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

ทว่าทุกคนเพิ่งออกจากหอสักการะย่อยสำนักความมืดได้แค่ครู่เดียว ยังไม่ทันออกเดินทางไปไกลเท่าไร ก็มีกลิ่นอายที่ข่มขวัญผู้คนส่งมาจากแดนไกล

ด้วยพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเยี่ยนจ้าวเกอ ยังรู้สึกว่าญาณจริงแท้ทั่วร่างของตนสูญเสียความควบคุม เกือบจะลุกไหม้ขึ้นมา ร่างกายชาด้าน แทบจะหายใจไม่ออก

‘หือ?’ สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ‘ไห่เฉิงโหวแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องผู้นั้นหรือ?’

‘ไม่ถูกต้อง ตามคำพูดของสำนักความมืด ไห่เฉิงโหวผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้น ถึงจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่อานุภาพของกลิ่นอายตรงหน้านี้แข็งแกร่งกว่ามากนัก’

เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองเฉินเค่อ เห็นเฉินเค่อมีใบหน้าเคร่งขรึมสุดขีดเช่นกัน หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็พาเยี่ยนจ้าวเกอกลับหอสักการะย่อยด้วยสีหน้าอึมครึม

แทบจะในชั่วพริบตา แสงไฟมากมายพลันครอบคลุมท้องฟ้า ปกคลุมเกาะเซิ่งเหอเอาไว้ แม้แต่อาณาเขตอันกว้างใหญ่รอบๆ ยังถูกปกคลุมไปด้วย ฟากฟ้าไม่เหลือเค้าเดิม

ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็คิ้วเลิกขึ้นเบาๆ ‘ความรู้สึกนี้ เกรงว่าจะเป็นอานุภาพที่มีแค่ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้ายเท่านั้นจึงจะมี ตราประทับตะวันในตอนนี้ได้แต่แสดงผลในระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง ต่อให้ใช้ได้ทันที ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้’

เฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่จ้องท้องฟ้าเขม็ง ต่อให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองจากค่ายกลของหอสักการะย่อยสำนักความมืด ทว่าร่างกายก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแสบร้อน

เฉินเค่อกล่าวอย่างเคร่งเครียด “น่าจะเป็นเจิ้งกั๋วกง[1] หนึ่งในสี่กั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง”

เยี่ยนจ้าวเกอเดาะลิ้นครุ่นคิด

ถึงแม้ไท่จูเสวียนเหวินอ๋องผู้ก่อตั้งประเทศต้าเสวียน ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทะเลหวงเจียในอดีตจะสวรรคตไปแล้ว โอรสของพระองค์เสวียนเฉิงอ๋องเองก็ไม่อยู่ ขุมกำลังของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องอ่อนแอลงไม่น้อย ทำให้มีคนชูธงต่อต้านขึ้นทุกที่บนทะเลหวงเจีย

แต่ว่าในฐานะขุมกำลังอันดับหนึ่งของทะเลหวงเจีย ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องที่จำเป็นต้องให้สำนักแสงสว่างและสำนักความมืดที่เป็นขุมกำลังใหญ่ร่วมมือกันต่อสู้ ก็ยังคงมีศักยภาพไม่ธรรมดา

สี่กั๋วกงใหญ่แห่งราชวงศ์ปัจจุบัน เป็นโอรสของไท่จูเสวียนเหวินอ๋องแห่งต้าเสวียน พระเชษฐาและพระอนุชาของเสวียนเฉิงอ๋อง พระปิตุลาของเสวียนเหวินอ๋องแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน ในทะเลหวงเจียแต่ละเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดที่มีอำนาจล้นฟ้า ไม่เกรงกลัวสิ่งใด

ทว่าครั้งนี้เจิ้งกั๋วกงผู้นี้ กลับไม่ได้มาหาเยี่ยนจ้าวเกอ

อีกฝ่ายมาเพื่อแผนการของสำนักความมืดที่ดำเนินอยู่ในตอนนี้

“เล่นใหญ่ไปหน่อย” เยี่ยนจ้าวเกอมองเพลิงผลาญ พลางพึมพำกับตัวเอง

……………………………………….

[1] กั๋วกง (国公) ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง ขั้นที่หนึ่ง ชั้นรอง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ