บทที่ 473.2 เรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับฝักกระบี่ไม้ไผ่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันกับซ่งเฟิ่งซานหันมามองหน้ากัน เพียงแต่ว่าในสายตาของซ่งเฟิ่งซานนอกจากจะมีความเศร้าและเหมือนได้รับความอยุติธรรมแล้ว ยังมีคำบ่นเพิ่มมาด้วย ล้วนเป็นเจ้าเฉินผิงอันที่เปิดประเด็น!

ยังมีหน้ามาโทษข้าอีกหรือ? เจ้าซ่งเฟิ่งซานอยู่ในยุทธภพมาตั้งกี่ปีแล้ว ข้าเฉินผิงอันเพิ่งจะอยู่มากี่ปีเอง? เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ พูดแค่ครึ่งประโยคที่เหลือว่า “เอาเป็นว่าข้าไม่เคยไปจริงๆ ก็แล้วกัน”

ซ่งเฟิ่งซานอึ้งตะลึงอยู่กับที่

ไอ้หมอนี่ช่างร้ายนัก!

หลิ่วเชี่ยนปิดปากหัวเราะคิก

ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เด็กน้อยอย่างเจ้าจะอยู่ในยุทธภพมาอย่างไม่เสียเปล่าจริงๆ”

ซ่งเฟิ่งซานส่ายหน้าไม่หยุด หันไปพูดกับภรรยาว่า “เอาสุรามาดีกว่า ไม่อย่างนั้นในใจข้าคงอัดอั้นแย่”

หลิ่วเชี่ยนจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบสุรา

ซ่งอวี่เซาที่ได้โอกาส เวลาพูดเสียงก็ดังขึ้นอีกหลายส่วน

ซ่งเฟิ่งซานดื่มไม่มาก หลิ่วเชี่ยนก็ยิ่งแค่ดื่มจอกเดียวพอเป็นพิธีเท่านั้น

สุราดีสองไหที่ทางหมู่บ้านหมักเองและเก็บไว้ใต้ดินมานานถึงห้าปีกว่าล้วนถูกซ่งอวี่เซากับเฉินผิงอันดื่มกันไปหมด

พอได้ยินว่าเฉินผิงอันจะจากไปวันมะรืน ซ่งอวี่เซาก็โบกมือทันใด “ไปเอามาอีกสองไห ขอแค่เจ้าเด็กน้อยนี่ทำให้ข้าล้มคว่ำได้ อย่าว่าแต่วันมะรืน ข้าจะอนุญาตให้เขาไสหัวไปทันทีที่ดื่มหมดเลยก็ยังได้!”

หลิ่วเชี่ยนลุกขึ้นเดินไปหยิบเหล้ามาอย่างไม่ลังเล

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยไปวันมะเรื่องแล้วกัน ผู้อาวุโสซ่ง ข้ามีธุระจริงๆ จะต้องรีบไปให้ทันเรือข้ามทวีปที่เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีป หากพลาดไป อย่างน้อยก็ต้องรออีกเดือนกว่าเลยทีเดียว”

ซ่งอวี่เซาถลึงตาใส่ “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยเล่า? อยู่ต่ออีกแค่วันสองวันไม่ได้เลยหรือไง? เป็นข้าซ่งอวี่เซาที่หน้าเล็กเกินไป หรือเพราะตอนนี้เจ้าเฉินผิงอันหน้าใหญ่เกินไปกันแน่?”

เฉินผิงอันพึมพำ “ต่างก็พูดกันว่าการชักชวนให้ดื่มเหล้าบนโต๊ะสุราทำให้เห็นคุณธรรมในยุทธภพได้มากที่สุด”

ซ่งอวี่เซาตบโต๊ะ “ดื่มเหล้าของเจ้าไปเลย! หยุมหยิมจู้จี้เสียจริง ข้าว่าแม่นางคนนั้น เว้นเสียจากนางจะสายตาไม่ดีแล้ว ก็คงไม่มีทางชอบบุรุษที่แค่ดื่มเหล้ายังอืดอาดอย่างเจ้าได้แน่นอน! ทำไม ไม่มีหวังแล้วล่ะสิ?”

พอได้ยินประโยคนี้ เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน ดวงตาเขาเป็นประกายระยิบระยับ เปี่ยมไปด้วยความห้าวเหิมมั่นใจ เพียงแต่ว่าเวลาพูดลิ้นกลับพันกันเล็กน้อย “ดื่มเหล้าก็ดื่มเหล้าสิ ข้าจะกลัวท่านหรือ? เรื่องนี้ ผู้อาวุโสซ่งท่านเล่นงานข้าเสียจนอนาถจริงๆ ปีนั้นเพราะประโยคนั้นของท่าน ทำให้ข้ากลัวแทบตาย แต่ยังดีที่มันไม่เป็นจริงเลยสักนิด…มาๆๆ ดื่มชามนี้หมดก่อนค่อยว่ากัน บอกตามตรง ท่านผู้อาวุโสดื่มเหล้าไม่เก่งเหมือนในอดีตแล้วนะ นี่เพิ่งจะกี่ถ้วยเอง ท่านกลับหน้าแดงเสียแล้ว ราวกับทาชาดมาอย่างไรอย่างนั้น…”

ซ่งอวี่เซาเป่าหนวดถลึงตา “แน่จริงเวลาดื่มเหล้าก็อย่ามือสั่นสิ ถือถ้วยให้มั่นคงหน่อย ถ้ากล้าทำมือสั่นจนเหล้าหกหนึ่งหยด มิตรภาพในยุทธภพก็จะลดน้อยลงไปหนึ่งส่วน!”

ซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนแอบหัวเราะขำ ยังอ่อนด้อยอยู่มากนัก ความสามารถในการยุให้ดื่มบนโต๊ะเหล้าของคนแก่นั้น มีวิธีการสารพัดรูปแบบ ป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่อยู่

หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่ม เรียกได้ว่าดื่มกันจนฟ้ามืดดินมัว

สุดท้ายภายใต้สายตาจับจ้องของซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยน คนทั้งสองก็ถอดรองเท้าหุ้มแข้ง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้

ยังดีที่มีซ่งเฟิ่งซานคอยคุมอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเอาเหล้ามาเพิ่มให้มากกว่านี้ คนทั้งสองถึงไม่ได้ดื่มกันอย่างเต็มคราบ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงจะดื่มกันจนอาเจียน อาเจียนแล้วก็กลับไปดื่มต่ออีกครั้งเป็นแน่

เฉินผิงอันยังคงไปพักอยู่ในเรือนที่เคยมาพักในปีนั้น ค่อนข้างใกล้กับศาลาภูเขาแม่น้ำและน้ำตก

หัวถึงหมอนก็หลับทันที

ซ่งอวี่เซาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เขาเดินโงนเงนกลับไปยังที่พัก เพียงไม่นานก็ส่งเสียงกรนดังสนั่นราวเสียงฟ้าผ่า

เฉินผิงอันเมาจริงๆ ตอนนอนหลับตาอยู่บนเตียงเขาพยายามจะฝืนรักษาสติเสี้ยวหนึ่งเอาไว้

จิตใจของผู้อาวุโสซ่งคล้ายจะเกิดปัญหา

ต่อให้เป็นกังวลกับอนาคตของลูกหลานจนจำต้องตกปากรับคำหานหยวนซ่าน และด้วยสถานการณ์บังคับจึงจำเป็นต้องปฏิเสธการประลองกับซูหลางไปจริงๆ แต่ด้วยนิสัยของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแคว้นซูสุ่ยตอนที่พบเจอกันเมื่อคราแรกแล้ว ก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ และวันนี้ที่เขาได้พบเจอกับเฉินผิงอันก็ยิ่งไม่ควรมีสภาพจิตใจเช่นนี้เด็ดขาด

ไม่ควรจะยอมรับความแก่ชรา ยอมรับชะตากรรมเช่นนั้น

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้ถามออกไปตรงๆ ต่อให้ดื่มเหล้าไปมากแค่ไหน เขาก็ไม่ได้ถาม

คนเราไม่ใช่ว่าสนิทกันแล้ว พอดื่มเหล้าจนเมามาย แล้วจะสามารถพูดจาหรือกระทำอะไรอย่างไร้ความเกรงใจได้

เพราะถ้อยคำที่ไร้เจตนาของคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดจะต้องกลายมาเป็นปมในใจไม่มากก็น้อยไปตลอดชีวิต

ดื่มมาจนถึงช่วงสุดท้าย

จู่ๆ ซ่งอวี่เซาก็ชำเลืองตามองงอบที่วางไว้บนโต๊ะ จากนั้นค่อยมองกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ถามว่า “สะพายกระบี่เล่มนี้ ดี?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดี”

ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “งั้นก็ดี”

เฉินผิงอันมึนงง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเขาดันเรอขึ้นมาเสียก่อน จึงไม่มีเวลามาสนใจ

ซ่งเฟิ่งซานกับหลิ่วเชี่ยนกลับมีสีหน้าหงอยซึม เพียงแต่ว่าปกปิดได้ดี เพราะเพียงแค่แวบเดียวสีหน้านั้นก็หายไป

เฉินผิงอันดื่มจนปวดหัวมากจริงๆ สุดท้ายก็แค่พึมพำแล้วหลับลึกไป

มีเหล้าดื่มวันนี้ก็เมาวันนี้ เมาจนล้มข้าก็คือเทพเซียน ความกลัดกลุ้มของพรุ่งนี้ก็ค่อยกลุ้มพรุ่งนี้ ต่อให้กลัดกลุ้มเป็นทุกข์เพียงใดก็ยังมีเหล้าให้ดื่ม

……

เช้าตรู่ เฉินผิงอันลืมตาตื่นมาก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินเลียบทางเส้นเล็กที่เงียบสงบไปยังน้ำตก

แน่นอนว่าไม่ได้ไปฝึกหมัด แต่แอบไปดูตัวอักษรที่ปีนั้นเขาแอบสลักไว้บนก้อนหิน

ผลคือพอไปถึงศาลาภูเขาแม่น้ำ กลับได้พบซ่งเฟิ่งซาน ไม่ใช่ซ่งอวี่เซา

เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ตรงไปหา ซ่งเฟิ่งซานลุกขึ้นยืนต้อนรับ

ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “นานๆ ทีท่านปู่จะได้ดื่มเหล้าอย่างเต็มที่เช่นนี้ เขายังไม่ตื่นเลย”

เฉินผิงอันรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาเงียบงันไป กวาดตามองไปรอบด้าน “จะต้องย้ายไปจากที่นี่ ไม่เสียดายจริงๆ หรือ?”

ซ่งเฟิ่งซานอืมรับหนึ่งที “แน่นอนว่าต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของท่านปู่ เขาเป็นคนส่งคนไปหาหานหยวนซ่านด้วยตัวเอง อันที่จริงตอนนั้นข้ากับหลิ่วเชี่ยนไม่ได้อยากจะตอบตกลงสักเท่าไหร่ ความคิดตอนแรกของพวกเราก็คือถอยหนึ่งก้าว อย่างมากสุดก็ให้หวังอี้หรานที่ท่านปู่เองก็ไม่ดูแคลนผู้นั้นชนะในการประลองดาบและกระบี่ไปสักครั้ง จะได้ผลักให้หวังอี้หรานขึ้นเป็นผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ยได้อย่างราบรื่น หมู่บ้านวารีกระบี่จะไม่ย้ายไปไหนเด็ดขาด ถึงอย่างไรหมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็นชีวิตและจิตใจทั้งชีวิตของท่านปู่ แต่ท่านปู่ไม่ยอม บอกว่าหมู่บ้านตาย แต่คนมีชีวิตอยู่ จะยังมีอะไรที่วางไม่ลงอีก นิสัยของท่านปู่ เจ้าเองก็รู้ดี ดื้อดึงยิ่งกว่าอะไร”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสเป็นอย่างนี้จริง ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่มีทางไปขวางกองทัพทหารม้านับพันนับหมื่นของแคว้นซูสุ่ยเพียงลำพัง”

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว

ซ่งอวี่เซา สำคัญอย่างยิ่ง

คนบางคนขอแค่เขายังอยู่ในยุทธภพ ทุกเรื่องที่เขาทำก็เหมือนในมือถือกาเหล้าอย่างยุทธภพนี้เอาไว้ เมื่อรินเหล้าให้คนอื่นหนึ่งจอก ในจอกก็จะเต็มไปด้วยความกล้าหาญองอาจ สามารถทำให้คนที่รับเอาถ้วยเหล้าไป แค่ต้องดื่มอย่างสบายใจก็พอ

ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “ท่านปู่ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อยุทธภพในทุกวันนี้แม้แต่น้อยแล้ว มักจะบอกว่าทุกวันนี้จะหาสหายดื่มเหล้าสักคนยังยาก เขาถึงได้เป็นเช่นนี้”

ราวกับว่าเรื่องที่พูดคุยกันพาให้อารมณ์หนักอึ้งเกินไป เพียงไม่นานซ่งเฟิ่งซานก็เอ่ยสัพยอกว่า “เฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าถูกท่านปู่มอมเหล้าเจ้าครั้งนี้ แล้วคราวหน้าจะไม่กล้ามาดื่มเหล้าที่หมู่บ้านใหม่ของพวกเราอีกเล่า บอกตามตรง ก็ต้องโทษเจ้าด้วย จะพูดว่ารีบจากไปทำไมกัน ท่านปู่ของเราย่อมไม่มีทางถ่วงรั้งธุระสำคัญของเจ้าจริงๆ แต่อยู่บนโต๊ะเหล้านี่นะ คนแก่ก็มักจะเป็นเช่นนี้ แถมยังอยู่ต่อหน้าลูกหลานในบ้านตัวเองด้วย จะยอมลงให้ก็คงไม่ใช่เรื่อง จึงได้แต่ยุให้เจ้าดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”

ซ่งเฟิ่งซานกล่าว “บอกตามตรง อยู่ดีๆ เมื่อคืนวานเหวยเว่ยก็ส่งกระบี่บินมาหาหลิ่วเชี่ยน แต่แค่ถามว่าตอนนี้เจ้าได้อยู่ในหมู่บ้านหรือไม่ ดูท่าแล้วหากตอบไปตามตรง นางก็คงจะมาที่นี่ทันที ข้าก็เลยบอกให้หลิ่วเชี่ยนแสร้งทำเป็นไม่ได้รับกระบี่บิน รอให้เจ้าไปจากหมู่บ้านเมื่อไหร่ค่อยตอบกลับไปตามจริงว่าเจ้าแค่มาดื่มเหล้ากับท่านปู่ของข้าเท่านั้น”

เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยขอบคุณ

เมื่อคืนดื่มเหล้าเยอะเกินไป เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเขากับเหวยเว่ยหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยคร่าวๆ เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเทพภูเขาที่มาเยือนในภายหลัง

นั่นเป็นเรื่องเละเทะที่ต้องให้เขาเฉินผิงอันไปเก็บกวาดด้วยตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่นหลังจากไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลงแล้ว ก็จะต้องหาโอกาสส่งกระบี่บินไปให้เว่ยป้อที่ภูเขาพีอวิ๋น สอบถามถึงระดับความใหญ่เล็กของเรื่องนี้ รวมไปถึงปฏิกิริยาตอบสนองของขุนนางต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในพื้นที่และราชสำนักในท้องถิ่นภายใต้สถานการณ์ที่ปกติทั่วไป

เว่ยป้อคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่ห่างไกลออกมา แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในเขตการปกครองของขุนเขาเหนือ แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้ออกกระบี่อย่างเฉียบขาดขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องออมมือ เปลี่ยนไปใช้วิธีการที่คลุมเครือกว่านั้นจริงๆ

ซ่งเฟิ่งซานชี้ไปยังทิศทางของเมืองเล็ก “ซูหลางพาสาวใช้ผู้ถือกระบี่คนนั้นจากไปแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องเล่าลือที่น่าตะลึงแพร่ไปทั่วยุทธภพของหลายสิบแคว้น ซูหลางกับเซียนกระบี่บนภูเขาที่แท้จริงคนหนึ่งเปิดศึกตายต่อกัน แม้จะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ”

เฉินผิงอันไม่ถือสาข่าวลือที่พูดกันไปปากต่อปากจนหาความจริงไม่ได้พวกนี้ เขาเพียงยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงต้องมีบุคคลอย่างข้ารับใช้ถือกระบี่นี่อยู่ด้วย”

เมื่อก่อนเหนียงเนียงในวังก็เป็นเช่นนี้ ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน

สีหน้าของซ่งเฟิ่งซานกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เฉินผิงอันถาม “พี่ใหญ่ซ่งก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ?”

ซ่งเฟิ่งซานพูดเสียงเบา “ก็แค่กล้าคิดอยู่ในใจเท่านั้น”

เฉินผิงอันคลึงปลายคางตัวเอง เดิมทีเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เพียงแต่เมื่อเขาลองมาใคร่ครวญในมุมของคนที่อยู่ในสถานการณ์ก็เข้าใจซ่งเฟิ่งซานขึ้นมาได้ทันที

ถึงอย่างไรเขาเฉินผิงอันก็ไม่มีทางนึกถึงเด็ดขาด

เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว ซูหลางผู้นี้ตอแยไม่เลิกราจริงๆ

และเวลานี้เอง พ่อบ้านแซ่ฉู่ผู้นั้นก็เดินเร็วๆ เข้ามา หยุดยืนอยู่นอกศาลาหลังเล็ก ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวแอบมาเยือนเงียบๆ เขาอยู่นอกประตูใหญ่ บอกว่าจะขอพบคุณชายเฉิน ด้วยมีเรื่องอยากจะขอรบกวนคุณชายเฉินสักเรื่อง ในอนาคตเขาจะต้องตอบแทนอย่างงาม”

ซ่งเฟิ่งซานใคร่ครวญเพียงนิดก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราวได้ทันที จึงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ได้คืบจะเอาศอกสองครั้งแล้วนะ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม โบกมือกล่าวว่า “ไม่เป็นไร แค่มาเยือนก็ได้ดื่มสุราดีๆ ของหมู่บ้านไปตั้งมากมายขนาดนั้น”

ซ่งเฟิ่งซานส่ายหน้า “มันคนละเรื่องกัน!”

เฉินผิงอันเอ่ยหยอกเย้า “พี่ใหญ่ซ่ง ท่านห้ามข้าไม่อยู่หรอก”

ซ่งเฟิ่งซานยิ้มบางๆ “สิบซ่งเฟิ่งซานก็รั้งไม่อยู่ แต่เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ซ่งแล้ว…”

ไม่รอให้ซ่งเฟิ่งซานพูดจบ

“ไป!”

เฉินผิงอันกลับประกบสองนิ้วแล้ววาดลงบนฝักกระบี่เบาๆ แล้ว “จำไว้ว่าอย่าทำร้ายคนอื่น แต่เล่นใหญ่หน่อยก็ไม่มีปัญหา”

เจี้ยนเซียนออกจากฝัก

อ้อมออกไปจากศาลาภูเขาแม่น้ำ พุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ ทิ้งเส้นสีทองลอยแขวนไว้กลางอากาศ

ที่ใดที่ปราณกระบี่พุ่งผ่าน เสียงฟ้าคำรามสั่นสะเทือน ทะเลเมฆที่อยู่เหนือหมู่บ้านภูเขาถูกปราณกระบี่ปั่นป่วนจนแตกแยกเบาบาง

บางครั้งเส้นสีทองเส้นนั้นก็จะพุ่งขยับเข้าใกล้หมู่บ้านบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่นานก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าต่ออีกครั้ง

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็เงยหน้ายิ้มกล่าว “กลับมาได้แล้ว”

กระบี่ยาวที่เหมือนมังกรพลิกตัวเล่นน้ำฝนบนทะเลเมฆราวกับได้รับคำสั่งจากเซียนจึงพุ่งดิ่งลงเบื้องล่างอย่างว่องไว แล้วสอดตัวกลับเข้าฝักไปอีกครั้ง

ซ่งเฟิ่งซานอึ้งงันพูดไม่ออก

เขารู้ว่าเฉินผิงอันในทุกวันนี้ต้องมีตบะวิถีวรยุทธที่น่าตะลึงมากเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถเล่นงานให้ซูหลางถอยร่นไปได้ แต่เขาซ่งเฟิ่งซานคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตบะของอีกฝ่ายจะทำให้คนตกใจตายได้แบบนี้

เฉินผิงอันพลิกข้อมือ ยื่นเหล้าอีกาครวญกาหนึ่งส่งไปให้ กลั้นยิ้มเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าดีของหมู่บ้านไปแล้ว ก็ลองดื่มของข้าบ้าง ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสที่หลอกคนอื่นว่าดื่มเหล้าแก้เผ็ดได้ เหล้านี้สามารถใช้ดื่มดับกระหายได้จริงๆ”

ซ่งเฟิ่งซานเปิดผนึกดินออกดมกลิ่น “เหล้าหมักตระกูลเซียนที่แท้จริง นี่ต่างหากถึงจะเป็นสุราดี”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เหล้าแบบนี้ก็แค่อร่อยเท่านั้น ข้าไม่เคยหวนคำนึงถึง ดื่มได้ก็ดื่ม ไม่มีให้ดื่มก็ไม่อยากดื่ม แต่เหล้าของหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกพี่ใหญ่ซ่ง ข้าอยากดื่มมานานหลายปีแล้ว”

ซ่งเฟิ่งซานยกกาเหล้าขึ้น เฉินผิงอันก็ยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ พูดขึ้นพร้อมกันว่า “ดื่ม!”

ซ่งเฟิ่งซานดื่มไปครึ่งกาก็ไม่ดื่มอีก เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนบอกว่าจะไปดูที่น้ำตกสักหน่อย

ซ่งเฟิ่งซานไม่ได้ตามไปด้วย

ออกจากศาลาภูเขาแม่น้ำมาพร้อมกัน ซ่งเฟิ่งซานเดินกลับหมู่บ้าน ในมือมีเหล้าอีกาครวญที่ว่ากันว่ามาจากทะเลสาบซูเจี่ยนเพิ่มมาหนึ่งกา เขายื่นเหล้าส่งให้กับท่านปู่ฉู่พ่อบ้านวัยชราที่จากไปแล้วก็กลับมาอีกครั้ง บอกว่าเฉินผิงอันมอบให้ เดี๋ยวหลังจากนี้เขาจะมาคุยด้วย หากดื่มหมดแล้วเขายังมีให้อีก อย่าเหลือไว้เด็ดขาด พ่อบ้านวัยชราที่สนิทสนมกับเฉินผิงอันมาตั้งแต่ปีนั้นค่อยๆ คลี่ยิ้ม รับกาเหล้ามา ขอแค่เป็นเหล้าที่เด็กหนุ่มมอบให้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเขาก็จะรับไว้ ไม่ต้องเกรงใจกัน พ่อบ้านเฒ่าบอกว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นกลับไปแล้ว ก่อนที่ซูหลางจะจากไปได้ถือกระบี่ประสานมือคารวะด้วยพิธีการที่ยิ่งใหญ่ต่อหน้าประตูของหมู่บ้าน

หลิ่วเชี่ยนมาเจอกับซ่งเฟิ่งซานและพ่อบ้านเฒ่ากลางทาง นางเรียกท่านปู่ฉู่หนึ่งคำ ชายชราก็ยิ้มรับแล้วเดินแยกออกไป

สองสามีภรรยาเพิ่งจะเดินเล่นด้วยกันได้ไม่นาน ซ่งอวี่เซาก็เดินมา

เห็นท่านปู่ของตัวเอง ซ่งเฟิ่งซานก็ยิ้มกล่าวว่า “ท่านปู่วางใจเถิด ข้าไม่ปากมากหรอก”

ซ่งอวี่เซาถึงได้ตบไหล่ของหลานชายตัวเองแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังศาลาภูเขาแม่น้ำที่ยังอยู่ห่างจากน้ำตกอีกระยะทางหนึ่ง เขานั่งลงแล้วก็เริ่มหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต คนแก่ที่อายุมากขนาดนี้ก็มักจะเป็นเช่นนี้ นอนดึกตื่นเช้า คนหนุ่มสาวมักจะไม่เข้าใจ อันที่จริงเรื่องที่คนแก่คนหนึ่งคิดไปคิดมาก็หนีไม่พ้นเรื่องในอดีตและคนในอดีต คนหนุ่มสาวมักจะไม่ชอบฟัง คนแก่จึงได้แต่คิดอยู่กับตัวเอง

เฉินผิงอันที่พอไปถึงน้ำตกก็ปล่อยหมัดต่อยให้น้ำตกขาดสะบั้น พอเห็นตัวอักษรเหล่านั้นถึงยิ้มอย่างชอบใจ

ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ากลับไป และไม่นานก็ออกมาจากน้ำตก มาหยุดอยู่นอกศาลาเล็กอีกครั้ง

ซ่งอวี่เซาเดินออกจากศาลามาแล้วเช่นกัน “ไป ไปกินหม้อไฟกัน”

เฉินผิงอันตกตะลึงนิดๆ “เช้าตรู่ขนาดนี้ ร้านยังไม่เปิดกระมัง”

ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “ต่อให้นามของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยจะไม่มีค่ามากแค่ไหน แต่คิดจะกินหม้อไฟที่บ้านตัวเองสักมื้อก็น่าจะยังได้กระมัง อีกอย่างเด็กน้อยอย่างเจ้าเป็นคนเลี้ยง ใช่ว่าจะไม่จ่ายเงินสักหน่อย หลังจบเรื่องหากเถ้าแก่แอบด่าอยู่ในใจ ก็มีแต่จะด่าเจ้า”

คนทั้งสองไม่ได้พุ่งทะยานไปด้วยความรวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต แต่เดินเล่นกันไปช้าๆ นี่เป็นความคิดของซ่งอวี่เซา

เดินมาได้ครึ่งทาง พ่อบ้านฉู่ก็ตามมาทันคนทั้งสอง เอางอบที่เฉินผิงอันทิ้งไว้ในห้องมามอบให้

เฉินผิงอันถาม “จะไล่คนแล้วหรือ?”

ซ่งอวี่เซายิ้มกล่าว “จากไปเร็วหน่อย คราวหน้าก็จะได้กลับมาเร็วหน่อย หลักการแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ? นี่เจ้าโง่หรือไง?”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

—–