บทที่ 473.3 เรื่องเล็กๆ เกี่ยวกับฝักกระบี่ไม้ไผ่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

พอมาถึงเมืองเล็ก ยังไม่มีควันไฟจากการทำอาหารใดๆ มีเพียงเสียงหมาเห่า เสียงไก่ขันดังขึ้นสองสามที ยิ่งขับให้เห็นถึงความเงียบสงัด

ซ่งอวี่เซาเคาะประตูใหญ่ของร้านอาหารอย่างแรง ไม่ใช่เถ้าแก่ผู้เฒ่าคนนั้นที่เฉินผิงอันคุ้นเคยอีกแล้ว แต่เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่ยังสะลึมสะลือเป็นผู้มาเปิดประตู เพียงแต่พอเห็นอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่ามาทำอะไรหรือ?”

ซ่งอวี่เซาชี้ไปยังมือกระบี่ชุดเขียวสวมงอบที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าหมอนี่อยากกินหม้อไฟ รบกวนพวกเจ้าช่วยจัดให้สักโต๊ะ”

ทั้งบนสีหน้าและในใจของชายฉกรรจ์ต่างก็ไม่มีคำบ่นแม้แต่น้อย ความผูกพันระหว่างร้านอาหารกับหมู่บ้านล้วนสืบทอดมาจากรุ่นบิดาของเขา แม้จะบอกว่าตอนนี้บิดาเสียชีวิตไปแล้ว และว่ากันว่าอีกไม่นานหมู่บ้านก็จะต้องย้ายไป แต่ชายฉกรรจ์ยังคงเห็นแก่ความดีของหมู่บ้านและเจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่า จึงยิ้มเอ่ยว่า “ได้เลย ข้าจะไปเตรียมให้เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าเดี๋ยวนี้ พอดีเลย ตอนนี้บนชั้นสองเงียบสงบนักล่ะ ไม่มีแขกคนอื่นๆ”

ซ่งอวี่เซาพาเฉินผิงอันไปนั่งตรงข้างหน้าต่างชั้นสองเหมือนเดิม

ร้านอาหารแห่งนี้รู้รสปากของอริยะผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงหรือผักเครื่องเคียงก็ล้วนจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดมาให้อย่างคุ้นเคย

เพียงไม่นานบนโต๊ะก็จัดเรียงจานชามน้อยใหญ่ไว้จนเต็ม น้ำร้อนในหม้อไฟก็เริ่มเดือดปุดๆ

ซ่งอวี่เซาสั่งเหล้าสองกามาจากทางร้าน เขาดื่มกับเฉินผิงอันคนละกา เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “วันนี้พวกเราดื่มแค่พอเป็นพิธีก็พอ ดื่มให้น้อย กินอาหารให้เยอะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ซ่งอวี่เซาชำเลืองตามองถ้วยน้ำจิ้มที่เฉินผิงอันปรุงเองซึ่งวางอยู่ตรงข้ามกับเขา แดงฉานน่าดู ลำพังเพียงแค่พริกสับก็มีอยู่ครึ่งถ้วยแล้ว ไม่เลว เจ้าเด็กน้อยนี่ใช้ได้แล้ว

เมื่อเทียบกับเมื่อวาน เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องบนภูเขาบางส่วนได้อย่างเปิดเผยเต็มที่มากกว่า

หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการเดินทางไปเยือนภูเขาเหมิงหลง

วันนี้ซ่งอวี่เซาค่อนข้างจะควบคุมตัวเองในการดื่มเหล้า ส่วนใหญ่เขาจะเพียงจิบเหล้าคำเล็กๆ ฟังเฉินผิงอันเล่าเรื่องตอนฝ่าค่ายกลภูเขาแม่น้ำของภูเขาเหมิงหลงแล้วแล่นไปเล่นงานศาลบรรพจารย์ของที่แห่งนั้นจบ เขาก็คลี่ยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้ารับ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ควันธูปของศาลบรรพจารย์ถึงจะขาดสะบั้นอย่างแท้จริง นับแต่นี้ไปบิดาและบุตรกลับกลายมาเป็นศัตรู ต่อให้จะยังไม่แตกหักกันในทันที ไม่แน่ว่าอาจจะยังระบายทุกข์ให้กันและกันฟัง หลังจบเรื่องใบหน้าเปื้อนยิ้มหัวเราะร่า แสร้งทำเป็นบิดาผู้มีเมตตา บุตรผู้กตัญญูกันต่อไป แต่ลวี่อวิ๋นไต้และลวี่ทิงเจียวกลับรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ยากที่บิดาและบุตรจะร่วมแรงร่วมใจกันได้อีกครั้ง วิธีการนี้ของเจ้าใช้ได้ผลยิ่งกว่าไปรื้อศาลบรรพจารย์ของอีกฝ่ายจริงๆ เสียอีก เจ้าเด็กน้อย ใช้ได้นี่นา ไม่ฆ่าคน แต่พิฆาตใจของเขา เจ้าไปเรียนรู้มาจากใคร?”

เฉินผิงอันเองก็จิบเหล้าคำเล็ก “เรียนรู้มาจากบนภูเขาส่วนหนึ่ง แล้วก็เรียนรู้มาจากยุทธภพส่วนหนึ่ง”

เฉินผิงอันคุยถึงเรื่องอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงและยังมีเด็กหนุ่มจ้าวซู่เซี่ยกับเด็กสาวจ้าวหลวน ยิ้มบอกว่าเคยเล่าเรื่องหมู่บ้านวารีกระบี่ให้พวกเขาฟัง ไม่แน่ว่าวันหน้าพวกเขาอาจจะมาเยี่ยมเยือน หวังว่าทางหมู่บ้านจะไว้หน้าเขาบ้าง ต้องรับรองให้ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้อาจารย์และศิษย์สามคนรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนขี้โม้ เป็นสหายข้ามรุ่นกับอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยกะผายลมอะไร แท้จริงแล้วก็แค่รู้จักกันผิวเผินเท่านั้น ชอบแต่งเรื่องคุยโวไปทั่ว คิดจะแปะแผ่นทองบนหน้าตัวเองหรืออย่างไร?

ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ช่วยลวกผ้าขี้ริ้ว (กระเพาะอาหารของวัว) ให้ชิ้นหนึ่งแล้ววางลงในจานของเฉินผิงอัน

เครื่องเคียงหม้อไฟมื้อหนึ่งกินกันจนเกลี้ยง เหล้าหนึ่งกาก็ดื่มหมดแล้ว

ซ่งอวี่เซามาส่งเฉินผิงอันที่นอกเมืองเล็กอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันคอแข็งแล้ว และก็กินเผ็ดได้แล้ว ไม่ได้มีสภาพน่าอนาถเหมือนอย่างในปีนั้นอีกต่อไป นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เฉินผิงอันสวมงอบ ยืนนิ่งแล้วกุมหมัดกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าไปแล้วนะ”

ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ สุดท้ายเอ่ยว่า “หน้าตาก็ไม่หล่อเหลา จะสวมงอบบังอะไรกัน”

เฉินผิงอันประคองงอบ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ประโยคนี้ท่านพูดไม่ถูก บุรุษหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องให้สตรีเป็นผู้ตัดสินเอาเอง”

ซ่งอวี่เซาด่าอย่างขันๆ “ตัดสินกะผีอะไรเล่า เจ้าเด็กบ้า!”

เฉินผิงอันหัวเราะพลางหมุนตัวเดินจากไป

ซ่งอวี่เซารอให้เฉินผิงอันเดินจากไปไกลมากแล้วถึงได้หมุนตัวกลับ เดินไปตามถนนที่เงียบสงบแห่งนั้น กลับไปยังหมู่บ้าน

ผู้เฒ่าเดินผ่านซุ้มประตูหินที่ก่อนหน้านี้ซูหลางพุ่งทะยานผ่าน คิดจะไปประชันกระบี่กับตนเพียงลำพัง

คำพูดบางอย่าง เฉินผิงอันอยากถามแต่ไม่สะดวกให้ถาม เจ้าเด็กนั่นพูดอ้อมไปอ้อมมาตอนอยู่บนโต๊ะกินข้าว พูดเรื่องที่ฟังดูคล้ายไม่เกี่ยวข้องกันเลย ยกตัวอย่างเช่นมาดและบารมีของเขาตอนอยู่บนภูเขาเหมิงหลง

เขาซ่งอวี่เซาวิชากระบี่ไม่สูงส่ง แต่หลายปีที่อยู่ในยุทธภพมาล้วนเสียเวลาเปล่าอย่างนั้นหรือ? จะไม่รู้จักนิสัยของเฉินผิงอันหรือไร? จะไม่รู้เลยหรือว่าถ้อยคำที่แสดงถึงความสงสัยไม่มากก็น้อยพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เฉินผิงอันอยากจะพูดในเวลานั้น? เพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะอยากให้ตาแก่อย่างเขาปล่อยใจให้กว้าง บอกกับเขาซ่งอวี่เซาว่าหากเกิดเรื่องจริงๆ ขอแค่เขาเฉินผิงอันเปิดปากถามก็ขอให้พูดมาได้เต็มที่ อย่าเก็บกลั้นไว้ในใจเด็ดขาด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่งอวี่เซาได้ใช้ทุกคำพูดทุกการกระทำแสดงให้รู้อย่างชัดเจน เท่ากับเป็นการบอกเฉินผิงอันว่า ตนไม่มีเรื่องอะไรในใจ ทุกเรื่องล้วนดีหมด เป็นเด็กน้อยอย่างเจ้าที่คิดมากไปเอง

ซ่งอวี่เซาเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้า

ดวงอาทิตย์ส่องแสงเรืองรองหมื่นลี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆ วันนี้เป็นวันที่อากาศดี

หวังว่าบนเส้นทางที่เจ้าเด็กนั่นเดินอยู่ในยุทธภพวันหน้า ทุกวันจะเป็นวันที่อากาศดีเช่นนี้

……

เที่ยงวันของวันนี้ เป็นวันที่สามที่เฉินผิงอันไปจากหมู่บ้านบนภูเขา

หมู่บ้านวารีกระบี่ก็ได้ต้อนรับเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่ง สวมรองเท้าปักลายบุปผาคนหนึ่งที่มาเยือนอย่างรีบร้อน

พบหลิ่วเชี่ยนกับซ่งเฟิ่งซาน พอได้ยินว่าเฉินผิงอันจากไปแล้ว นางก็พลันโอดครวญไม่หยุด บอกว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่มีคุณธรรม ไม่รู้จักรั้งเขาให้อยู่ต่อสักหลายๆ วัน

หลิ่วเชี่ยนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถามนางว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ภูเขาใช่หรือไม่ ก็เลยอยากจะขอให้เฉินผิงอันช่วยเหลือ? จากนั้นหลิ่วเชี่ยนก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับเทพภูเขา ขอแค่เจ้าเหวยเว่ยเปิดปาก หมู่บ้านวารีกระบี่ของเราสามารถออกแรงช่วยเหลือ แต่ทางหมู่บ้านจะไม่ยอมให้เฉินผิงอันเป็นผู้ลงมือเด็ดขาด”

เหวยเว่ยมีสีหน้าประหลาด “เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดร้างให้พวกเจ้าฟังหรอกหรือ?”

หลิ่วเชี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “เล่าสิ เล่าว่าเจ้ายังกล้ากลับมาทำอาชีพเดิม ปีนั้นเจอกับความยากลำบากด้วยน้ำมือท่านปู่ของพวกเรายังไม่รู้จักหลาบจำ ยังจะไปหลอกเอาพลังหยางจากบุรุษที่วัดร้างอีก ทำไม หรือว่าหลังจากพวกเจ้าเจอกันแล้วยังมีเรื่องอะไรที่ปิดบังไว้อีก?”

เหวยเว่ยหัวเราะหึหึ “ไม่มีเรื่องปิดบังอะไรทั้งนั้น ก็แค่เขาถูกใจข้า แต่ไม่กล้าจะพูดออกมา อันที่จริงข้าเองก็หวั่นไหวอยู่บ้าง เลยอยากจะขอให้ท่านผู้เฒ่าซ่งช่วยเป็นพ่อสื่อให้…”

ซ่งเฟิ่งซานกระตุกยิ้มมุมปาก พูดจาเหลวไหลอะไร คิดจะหลอกผีจริงๆ หรือไง เจ้าเหวยเว่ยชอบทำอะไรกันแน่ ข้าจะไม่รู้เลยหรือ อีกอย่างด้วยนิสัยและตบะของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ ตอนนั้นไม่ได้ใช้หนึ่งกระบี่กำจัดปีศาจปราบมารก็ถือว่าเจ้าเหวยเว่ยดวงแข็งแล้ว

หลิ่วเชี่ยนก็ยิ่งหัวเราะพลางพูดเปิดโปงเหวยเว่ยโดยตรง “พอเถอะน่า คำพูดล้อเล่นที่รังเกียจว่าตัวเองดวงแข็งเช่นนี้พูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า หากท่านปู่ของพวกเราหรือเฉินผิงอันได้ยินเข้าจริงๆ เจ้านั่นแหละที่จะเดือดร้อน!”

เหวยเว่ยชำเลืองตามองสองสามีภรรยาที่มีสีหน้าผ่อนคลายแล้วขมวดคิ้วถาม “ซูหลางคงจะไม่ได้เดินไม่ระวังแล้วสะดุดล้มระหว่างทางหรอกกระมัง เหตุใดเขาถึงไม่มาหาเรื่องหมู่บ้านของพวกเจ้าแล้วเล่า? ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเจ้าถึงยังยิ้มออก? คงไม่ใช่ว่าใช้น้ำตาอาบหน้าทุกวันกระมัง? เจ้าหลิ่วเชี่ยนเช็ดน้ำตาให้ซ่งเฟิ่งซาน ส่วนซ่งเฟิ่งซานก็ร้องว่าเมียจ๋า อย่าร้องไห้ๆ แล้วก็หันกลับมาเป็นคนเช็ดน้ำตาให้เจ้าบ้าง…”

ซ่งเฟิ่งซานทนรับคำหยอกล้อของผีสาวแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ไม่ได้ จึงหาข้ออ้างลุกขึ้นจากไปก่อน

หลิ่วเชี่ยนจึงเล่าเรื่องที่ซูหลางถูกเล่นงานให้ถอยร่น และภายหลังยังมาเยือนที่หมู่บ้านอีกครั้งให้เหวยเว่ยฟังคร่าวๆ

ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ล้วนเป็นนางที่มานะขันแข็งจัดการกิจธุระต่างๆ ในหมู่บ้านวารีกระบี่ อะไรที่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรพูด นางล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ

ไม่อย่างนั้นสองปู่หลานก็คงไม่มีทางวางใจปล่อยให้นางจัดการบ้านเรือนเช่นนี้

เหวยเว่ยร้องอ้อหนึ่งที แต่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย พอเห็นสายตาครุ่นคิดของหลิ่วเชี่ยน เหวยเว่ยถึงได้ร้องโอ้ยหนึ่งที แล้วยกมือขึ้นกุมหัวใจ “ที่แท้คุณชายเฉินก็มีวิชากระบี่เลิศล้ำเกินเทพเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ สมกับคำว่าไม่พบกันสามวันต้องมองเสียใหม่จริงๆ (เปรียบเปรยว่าคนอื่นมีพัฒนาการ ไม่อาจใช้สายตาหรือความคิดเดิมๆ ไปมองเขาได้อีก) ข้าตกใจจะตายอยู่แล้ว หากข้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนอยู่ที่วัดร้างก็ควรเสนอตัวนอนเคียงหมอน ต่อให้ไม่ชอบบุรุษ แต่หลับหูหลับตาก็พอจะผ่านไปได้อยู่เหมือนกัน”

หลิ่วเชี่ยนขว้างเมล็ดแตงกำหนึ่งใส่นาง “เลิกพูดจาชั้นต่ำไม่รู้จักละอายแบบนี้เสียที!”

เหวยเว่ยพลันเอ่ยว่า “เดิมทีข้าควรมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน เฮ้อ ภูตผีอย่างพวกเราฝืนบังคับลมเดินทางไกล ไม่อาจเทียบกับความเร็วราวสายฟ้าแลบเวลาเซียนกระบี่ขี่กระบี่ได้จริงๆ ช่างเถิด ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าผู้อาวุโสฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายร้อยปี ยังสู้บุรุษคนหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำไม่ถึงสิบปีไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ช่างน่าเศร้านัก เชี่ยนเอ๋อร์ การที่ข้ามาหาเจ้าคืนนี้ก็เพราะไปเยือนที่เมืองมาแล้วรอบหนึ่ง คิดจะวางแผนทำเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาเรื่องหนึ่ง รายละเอียดคงไม่เล่าให้เจ้าฟังแล้ว ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องได้รู้ แต่ท่ามกลางขั้นตอนนี้ ข้าค้นพบเงาร่างของหมู่บ้านเหิงเตา นังเด็กน้อยหวังซานหูผู้นั้น ตอนนี้ช่างจองหองนัก อยู่ห่างไปไกลหลายลี้ ข้ายังได้กลิ่นเครื่องประทินโฉมจากตัวนางเลย”

“คงเป็นเพราะซูหลางมาเสียเปรียบอยู่ที่นี่ สายลับที่หานหยวนซ่านทิ้งไว้ในเมืองเล็กจึงส่งกระบี่บินส่งข่าวไปให้ ดังนั้นหมู่บ้านเหิงเตาถึงทำท่าจะลงมือในทันที”

เหวยเว่ยใช้ฝ่ามือนวดคลึงหัวใจ แสร้งทำสีหน้าเศร้ารันทด “เจ้าต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ หากเฉินผิงอันคนรักของข้ายังอยู่ในหมู่บ้านย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้เจ้า…คนใจร้ายผู้นี้หนีไปซะแล้ว หากหานหยวนซ่านไล่ตามมาถึงที่นี่ ถึงเวลานั้นข้าจะไม่มีทางเข้าข้างพวกเจ้าเด็ดขาด อย่างมากก็แค่ไม่ช่วยทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์ฉันท์สหายก็ส่วนความสัมพันธ์ฉันท์สหาย หากหานหยวนซ่านคิดจะจัดการกับพวกเจ้าจริงๆ ข้าก็คงได้แต่แอบไปหลั่งน้ำตาแล้ว”

อันที่จริงเหวยเว่ยประหลาดใจอย่างมากว่าเหตุใดหานหยวนซ่านถึงได้ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ ไม่สนใจส่วนรวม ยืนกรานจะมีเรื่องกับหมู่บ้านวารีกระบี่ให้จงได้ขนาดนี้ บีบให้ซ่งอวี่เซาต้องย้ายหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่น แล้วจะสร้างศาลเทพภูเขาขึ้นที่นี่แทน ภูตภูเขาที่ถูกเฉินผิงอันสังหารด้วยหนึ่งกระบี่ฝันหวานมาตลอดว่าวันใดวันหนึ่งจะสามารถเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ย้ายไปอยู่ตำแหน่งนั้น กลายมาเป็นเทพภูเขาคนใหม่ซึ่งมีศาลตั้งอยู่ที่หมู่บ้านวารีกระบี่แหงนี้ ส่วนเรื่องใหญ่ที่นางไม่ได้พูดถึงนั้น แน่นอนว่าก็เพื่อวางแผนให้ตัวเองได้ขึ้นไปนั่งบัลลังก์เทพภูเขาแทนเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นั้น นางเหวยเว่ยแอบงัดข้อกับหลิ่วเชี่ยนมาตลอดเวลา พี่สาวน้องสาวในโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ส่วนที่ดีต่อกันก็คือดีต่อกัน แต่เรื่องที่ว่าใครมีชีวิตได้ดีกว่ากันก็ต้องแข่งขันกันสักหน่อย ไม่มีเลอะเลือนแม้แต่น้อย เหวยเว่ยและหลิ่วเชี่ยนต่างก็เคยเป็นหนึ่งในสี่พิฆาตแห่งแคว้นซูสุ่ย ในฐานะภูตภูเขา เจ้าหลิ่วเชี่ยนยังได้เป็นถึงฮูหยินน้อยของหมู่บ้านวารีกระบี่ แล้วเหตุใดข้าเหวยเว่ยจะเป็นเทพภูเขา พลิกกลับมาเป็นฝ่ายอยู่เหนือเจ้าหนึ่งระดับบ้างไม่ได้?

เกี่ยวกับการค้าระหว่างหมู่บ้านวารีกระบี่กับหานหยวนซ่านเป็นความลับใหญ่ แน่นอนว่าหลิ่วเชี่ยนย่อมไม่พูดอะไรกับเหวยเว่ย

คำพูดที่ควักใจกันออกมา นอกจากจะพูดน้อยได้ก็ควรพูดให้น้อยแล้ว ยังต้องดูด้วยว่าพูดกับใคร

ไม่อย่างนั้นควักใจกันออกมาแล้ว ก็ไม่สามารถเอากลับไปเก็บที่เดิมได้อีก

หลิ่วเชี่ยนใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยเนิบช้าโดยเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง “คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร อย่างมากก็เป็นการลงมือของเฉินผิงอันที่ทำให้หานหยวนซ่านเกิดความกริ่งเกรง ด้วยความรอบคอบของเขา คงไม่น่าจะเดินทางมาด้วยตัวเอง มีแต่จะให้หวังอี้หรานที่เป็นหุ่นเชิดของเขามาป้วนเปี้ยนแถวหมู่บ้าน คงไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของสามฝ่ายถึงขั้นชะงักงันเกินไปนัก”

เหวยเว่ยคิดตามแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้จริง

……

บนสนามรบที่ปีนั้นเคยมีหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับกองทัพม้านับพันนับหมื่น

มีมือกระบี่ชุดเขียวสวมงอบคนหนึ่งเดินออกจากเมืองเล็ก แต่ไม่ได้ตรงไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลงทันที ทว่าถามเทพภูเขาในบริเวณใกล้เคียงท่านหนึ่งที่กำลังจะได้ ‘เลื่อนขั้น’ ในที่สุดก็เข้าใจเรื่องราวที่ซ่งอวี่เซา ซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนต่างก็ไม่ยินดีจะพูดถึง

เหตุใดปราณเฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์และปรมาจารย์กระบี่ของซ่งอวี่เซาถึงได้ร่วงดิ่งลง

นี่คือความลับที่มีแค่คนไม่กี่คนในหมู่บ้านวารีกระบี่รับรู้

เพียงแต่ว่าเทพภูเขาที่ถูกราชสำนักแคว้นซูสุ่ยฝากความหวังไว้มากท่านนี้ เนื่องจากได้ปกครองโชคชะตาของในหนึ่งพื้นที่ อีกทั้งตอนนั้นยังใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตพอดี ถึงได้รู้เรื่องนี้เข้า

เรื่องราวจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เพราะไม่มีใครตาย

แต่จะว่าเล็ก? ก็จะเล็กแล้วหรือ?

ไม่เล็ก

เคยมีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่เดินทางไกลจากแผ่นดินกลาง มาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ แล้วเอาฝักกระบี่ไม้ไผ่ฝักหนึ่งไปจากซ่งอวี่เซา

แรกเริ่มบอกว่าจะซื้อ ใช้เงินเทพเซียนก้อนใหญ่

ซ่งอวี่เซาไม่ยอมขาย

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะเขาจะมอบฝักกระบี่นั้นให้สหายคนหนึ่ง จึงไม่ขาย

จากนั้นคนต่างถิ่นที่ขอบเขตวรยุทธสูงส่งจนมิอาจจินตนาการได้ผู้นั้นบอกว่าให้เวลาซ่งอวี่เซาคิดสามวัน สามวันให้หลัง จะไม่ใช่การซื้อแล้ว

ตอนที่จากไป บุรุษผู้นั้นชำเลืองตามองซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนด้วยรอยยิ้มหยันประหนึ่งคนภูเขาที่เหยียดตามองมดตัวเล็กตัวน้อย เขาเปลี่ยนคำพูดที่พูดกับซ่งอวี่เซาเสียใหม่ บอกว่าสองชีวิตก็ยังถือว่าเป็นการซื้อเหมือนกัน

ซ่งอวี่เซาเงียบงันไปสามวัน

ซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนต่างก็ตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาถึงขั้นเกลี้ยกล่อมท่านปู่ตัวเองบอกว่า ไม่ขายก็คือไม่ขาย!

แต่วันสุดท้าย ซ่งอวี่เซากลับมอบฝักกระบี่ไม้ไผ่ไปให้ แล้วก็ไม่ได้รับเงินเทพเซียนก้อนนั้นเอาไว้

หลังจากนั้นมา

ผู้เฒ่าก็แก่ชราจริงๆ

ทว่าผู้เฒ่ากลับเป็นฝ่ายไปหาหลานชายและหลานสะใภ้แล้วชวนพวกเขาทั้งสองดื่มเหล้า ถึงขั้นยังดื่มสุราคารวะกลับคืนแก่หลานสะใภ้อย่างหลิ่วเชี่ยนด้วย บอกว่าชีวิตนี้หลานชายของตนหาภรรยาอย่างเจ้าได้ ถือเป็นบุญที่บรรพบุรุษของตระกูลซ่งเราสะสมมา เมื่อก่อนเป็นปู่อย่างเขาที่ผิดต่อนาง ดูแคลนนางมากเกินไป หลิ่วเชี่ยนดื่มสุราจอกนั้นทั้งน้ำตา สุดท้ายผู้เฒ่าเอ่ยปลอบใจเด็กรุ่นหลังทั้งสองว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ บอกพวกเขาว่าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ ก็แค่ฝักกระบี่ไม้ไผ่ฝักเดียวไม่ใช่หรือ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าเด็กน้อยเฉินผิงอันผู้นั้นอยู่แล้ว แค่ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ

เวลานี้เอง

มีขบวนรถม้าที่ยิ่งใหญ่ขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้าหามือกระบี่ชุดเขียวช้าๆ

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ตอนนั้นหลังจากได้พบกับเทพภูเขาประจำท้องถิ่นผู้นั้นแล้ว เขาก็บอกกับเทพภูเขาว่าไม่ต้องไปบอกให้ทางหมู่บ้านภูเขารู้ว่าพวกเขาสองฝ่ายเคยพบกันมาก่อน

เทพภูเขาย่อมไม่กล้าอยู่แล้ว แต่การที่ได้มานั่งดื่มเหล้าร่วมกับเซียนกระบี่หนุ่มอยู่บนยอดเขา เทพภูเขาแห่งแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ก็ยังอดรู้สึกเป็นเกียรติไม่ได้

การที่เฉินผิงอันไม่ได้จากไปทันที แล้วก็ไม่ได้ย้อนกลับไปที่หมู่บ้านวารีกระบี่ เพราะรู้สึกว่าในใจอัดอั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะดี

เขาจึงเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่คนเดียวเงียบๆ

ภายหลังจึงได้มาเจอกับคนคุ้นเคยอีกคน

—–