GGS:บทที่ 1054 ปั่นป่วน
ในขณะที่โลกภายนอกกำลังพูดคุยกันเรื่องสวนสัตว์จงหยุนกันอย่างดุเดือด แต่ซูจิ้ง กลับสนใจอยู่กับขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างใจจดใจจ่อ เอาจริงๆที่เขาทำในตอนนี้อยู่ก็คือการจำแนกพืชและสัตว์เหล่านี้อยู่
ความจริงแล้ว สัตว์ที่เขานำออกไปจัดแสดงนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเอาไปเฉพาะตัวที่เขาหาข้อมูลเได้เท่านั้น เพราะต่อให้พวกมันเป็นสัตว์สูญพันธุ์แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีข้อมูลเอาไว้อ้างอิงได้
สำหรับสัตว์ที่ไม่มีข้อมูลนั้น แน่นอนว่าพวกมันเป็นสัตว์ที่โลกนี้ไม่สมควรจะได้เห็น ตัวอย่างเช่นลงจนยาวหูขาว พวกมันนั้นมีหางที่กลมมนยาวราวกับหางแมว
หรืออย่างนกสีฟ้าที่ตาและหางที่แดงแป๊ดตัวนั้นก็ตาม นี่ยังไม่รวามถึงนกที่สีเขียวอมแดงที่มีเพียงปีกและตาข้างเดียวแต่ก็ยังบินได้เสียอีก
หลังจากที่ซูจิ้งได้คิดไตร่ตรองดูแล้ว ซูจิ้งจึงคิดว่าอย่าเอาพวกมันออกไปให้ใครเห็นดีกว่า ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เป็นลมล้มพับกันไปทั้งโลกแหงๆ
นอกจากสัตว์เหล่านี้แล้ว ซูจิ้งยังได้พบพันธุ์ไม้ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้แล้วเช่นเดียวกัน และยังมีบางส่วนที่เขาเองก็ยังหาข้อมูลไม่เจอ
“เพียงแต่ขยะกองนี้เทลงมา พื้นที่รองรับของสถานีก็กลายเป็นป่าขนาดย่อมๆไปได้แบบนี้ ด้วยการที่มีความหลากหลายทางชีวภาพพสูงแบบนี้แล้ว ห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมาสมควรจากเป็นดินแดนที่ความหลากหลายของเผ่าพันธุ์มากแน่ๆ
คงได้แต่ลองหาตัวอักษรที่น่าจะหลงมาดูก่อนล่ะนะว่าขยะฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่” ซูจิ้งได้ใช้ความคิดอยู่อีกสักพักก่อนที่จะเริ่มจัดการาขยะฯต่อไป
ในขยะกองนี้ ซูจิ้งยังไม่เห็นวี่แววของกระดาษเลยแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมานั้นยังไม่มีกระดาษใช้
อย่างไรก็ตาม ในกองขยะฯที่คัดแยกเอาไว้นั้นเขาได้พบม้วนหนังสัตว์ และมีตำราใบไผ่ที่มีตัวอักษรเขียนเอาไว้อยู่
ซูจิ้งได้รีบคัดแยกพวกมันออกมาแล้วตรวจดูเนื้อหาอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่หนึ่ง เขาก็พบกับคำมากมายอย่าง ตงซาน, หนานซาน, ซีซาน, เป่ยซาน, จงซาน, ไห่นี, ดินแดนโพ้นทะเล, ต้าฮวง, ลิลเริน, ชิงฉี, คุนหลุน, กัวฟู่, ซวนหยวน, หวงตี้, ชิโย, ซิงเตียน, ยูชิ, จูหลง, จ้วงจี้
ซูจิ้งในตอนนี้กำลังใช้ความคิดสุดกำลัง และทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ได้แวบเข้ามาในหัวสมองของเขา “พระเจ้า ขยะฯพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรงั้นเหรอ”
ยิงซูจิ้งคิดทบทวนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากยิ่งขึ้น ห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมค่อนข้างล้าหลังแต่กลับมีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก มีแม้แต่สัตว์ในตำนานปรัมปราและสัตว์ในโลกเทพนิยายอยู่มากมาย นี่หมายถึงที่นั่นมีสัตว์วิเศษอยู่ทั่วไป
สำหรับคำว่า ตงซาน, หนานซาน, ซีซาน, เป่ยซาน, จงซาน, ไห่นี, ดินแดนโพ้นทะเล และต้าฮวงนั้น ชื่อเหล่านี้คือดินแดนบางส่วนของประเทศซวนหยวน ประเทศลิลเริน ประชิงฉี ประเทศสตรี และประเทศที่มีคุณลักษณะพิเศษอื่นๆอีกมากมาย ตัวอย่างเช่นกัวฟูจูไร จักวรรดิ์ชิหยู จูล่ง และดินแดนลี้ลับอีกมากมาย
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือเป็นห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยเรื่องพิศวงแห่งยุคบรรพกาล
ในนิยายเรื่องอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรที่เขาเคยอ่านมานั้น เขาจำได้ว่าในภูเขาและแม่น้ำต่างๆล้วนแล้วแต่มีสิ่งมีชีวิตที่มากมายหลากหลายจนเรียกได้ว่านับกันไม่หวาดไม่ไหว แน่นอนว่าที่นั่นมีแม้กระทั่งสัตว์ที่โลกนี้ได้แต่ร่ำลือกันอย่างนกกระสาขาเดียว และผีเสื้อยักษ์
จึงไม่แปลกแม้แต่น้อยที่ที่นั่นจะมีสัตว์อย่างหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาว เต่ายักษ์เกาะเซเชล ผีเสื้อจุดทองคำ ผีเสื้อนางไม้ ผีเสื้อพาพิเลีย นกโดโด้ และสัตว์โบราณอย่างอื่น แต่สำหรับในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ทั่วไปที่ไม่ใครคิดจะสนใจแม้แต่น้อย บางตัวก็ไม่ได้มีชื่อแบบนี้ซะด้วยซ้ำไป
ยกตัวอย่างเช่นหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาว พวกมันถูกตั้งชื่อมาแบบนี้เพราะมีเฉพาะที่ออสเตรเลีย สำหรับที่นั่นจึงไม่ใช่ชื่อเรียกของพวกมันแต่อย่างใด
หรืออย่างผีเสื้อนางไม้ที่ถูกต้องชื่อจากชาวต่างประเทศแบบนั้นยิ่งไม่มีทางถูกเรียกแบบนี้ในห้วงเวลาฯนั้นอย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้ชื่อจะต่างออกไป แต่ถ้าสายพันธุ์มันใช่หรือแค่ลักษณะคล้ายๆกันเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะในความเป็นจริงนั้น มนุษย์นั้นมักจะเคยเห็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วบนโลกใบนี้จากโครงกระดูกไม่ก็ฟอสซิลเท่านั้นเอง
ตัวอย่างเช่นนกโดโด้ที่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเจ็ดหรือก็คือสูญพันธุ์ไปนานกว่าสามร้อยถึงสี่ร้อยปีแล้ว ด้วยเวลาที่นานขนาดนั้นจะหาคนมาจำได้คงไม่มีอย่างแน่นอน
สำหรับจินตนาการของนกโดโด้ที่ถูกพูดถึงกันนั้นพวกมันล้วนดูอ้วนพีและมีท่าทีที่โง่เขลา มันมีภาพลักษณ์แบบนี้จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ในปี2002
องค์กรที่ชื่อว่าเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคก็ได้เผยแพร่ออกมาว่า แอนดู คิทเชเนอร์ ที่เป็นนักชีววิทยาของพิพิธภัณฑ์หลวงแห่งประเทศสก็อตแลนด์ที่ได้หลงไหลในเรื่องราวของนกโดโด้ ได้ประกาศออกมาว่าภาพของงนกโดโด้ที่เผยแพร่กันออกมานั้นเป็นภาพของนกโดโด้ที่ถูกขุนเอาไว้กินจนอ้วนพีเท่านั้นเอง
ด้วยสภาพอากาศของเกาะเมาลีที่แห้งสุดขั้วและชื้นสุดขีดแบบนั้น นกโดโด้สำควรจะมีลักษณะแบบนั้นเฉพาะตอนช่วงฤดูฝนเท่านั้นเพราะพวกมันต้องกินอาหารสะสมไว้เพื่อต้านทานอาหารที่ขาดแคลนยามฤดูแล้ว
และเหตุผลที่ภาพวาดของพวกมันเป็นแบบนั้นก็สมควรจะเป็นเพราะด้วยการที่พวกมันเป็นนกที่จับง่ายและบินไม่ได้ มนุษย์ในช่วงนั้นย่อมเห็นมันเป็นอาหารอันโอชะและจับขุนเอาไว้เป็นอาหารในยามไม่มีอะไรจะกินเท่านั้นเอง
สำหรับนกโดโด้ป่านั้น นอกจากพวกมันจะดูผอมเพรียวแล้ว พวกมันยังดูแคระแกนไปเลยที่เดียว แต่ถึงจะว่ามาแบบนั้น ยังไงซะต่อให้จับพวกมันมารวมๆกันไว้ ก็ไม่มีใครแยกออกอยู่ดีว่านกโดโด้ตัวไหนเป็นนกป่า ตัวไหนเป็นนกเลี้ยงแต่อย่างใด
“อืมมมมหากเป็นห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรก็ไม่แปลกเลยล่ะนะที่มีนกคู่แฝดแบบนี้ เจ้านี้สมควรจะเป็นนกคู่แฝดตามที่ร่ำลือกัน” ซูจิ้งพูดในขณะที่จ้องมองไปยังนกสีสันสีแดงสดและสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่ง หากว่ามีการพบเจอนกสายพันธุ์นี้เพียงตัวเดียวล่ะก็คงจะถือว่าแปลกตาแน่นอน
เพราะด้วยการที่พวกมันนั้นมีเพียงหนึ่งตาหนึ่งปีก หากมันอยู่ตัวเดียวย่อมไม่สามารถบินไปไหนได้ มันสามารถบินไปไหนได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับคู่ของมันเท่านั้น
ทันทีที่ซูจิ้งนกสองตัวนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงนกฝาแฝดที่มีคุณลักษณะตรงตามนกที่เขาเห็นทุกประการ แต่ต่อให้เห็นกับตาแบบนี้หลายๆคนก็ยังไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ดี
มันก็เหมือนกับคำพูดที่คุ้นหูอย่างบินไปด้วยกัน แต่ในโลกนี้จะเคยมีคนเห็นการบินด้วยกันแบบนี้ได้บ้างล่ะ
“ในเมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรล่ะก็ ฉันคงต้องใส่ใจพวกมันเป็นพิเศษเลยสินะ เพราะมีโอกาสที่พวกมันจะกลายเป็นสมบัติของที่นั่น”
ซูจิ้งใช้ความคิดถึงความเป็นไปได้ในหลายๆทาง ตอนนั้นเองที่ได้มีเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น เป็นเอี้ยป๋อที่โทรหาเขาทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้และรับโทรศัพท์
“อาจิ้ง นายอยู่ไหนเนี่ย” เอี้ยป๋อถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าพลางถอดถอนหายใจ
“ที่บ้านน่ะ” ซูจิ้งตอบออกไป
“นายนี่น้า…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยจริงๆ นายรู้รึเปล่าว่าสัตว์ที่นายจัดแสดงที่สวนสัตว์จงหยุนนี่มันปฏิวัติวงการนี้ขนาดไหนน่ะ” เอี้ยป๋อพูดออกมาด้วยความติ่นเต้น
“รู้สิ ไม่อย่างนั้นผมจะไปซื้อสวนสัตว์ทำไมกัน ว่าแต่คุณเห็นรึยังเนี่ย อย่าบอกนะว่ายังน่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“สิ่งที่ฉันเห็นจนจำขึ้นใจก็คือภาพรถติดน่ะ ตลอดช่วงสองถึงสามชั่วโมงมานี้ฉันติดแหง่กอยู่บนท้องถนนจนเพิ่งจะมาเห็นกับตาแล้วโทรมาหายนายเนี่ยล่ะ
ฉันอยากจะบอกว่าต่อให้เสียเวลาสองสามชั่วโมงแต่แลกกับการได้เห็นสัตว์หายากและสูญพันธุ์เหล่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว ว่าแต่ นายได้รับอนุญาตแล้วใช่ไหมเนี่ย” เอี้ยป๋อถามออกมาอย่างเป็นกังวล
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายหมดแล้ว แต่ก็มีเรื่องน่ารำคาญเหมือนกันตรงที่ฉันได้รับสายจากกระทรวงการต่างประเทศโคตรจะบ่อยเลย ดูเหมือนว่าพวกนั้นอยากจะเจอฉันล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แหงสิ ฉันนึกออกได้เลยว่าต้องเป็นเรื่องของนกโดโด้แน่ๆ พวกเมาลีต้องอยากได้กลับไปสักคู่สองคู่อย่างแน่นอน” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างรู้ดีว่าอะไรควรจะเกิดขึ้น เขาสามารถนึกภาพออกได้จริงๆว่าชาวเผ่าเมาลีนั้นมีท่าทียังไงที่เห็น เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นี่นายอยู่บ้านใช่รึเปล่า เดี๋ยวฉันจะไปหานายนะ”
“ห้ะ มาเพื่อ?” ซูจิ้งสงสัยในทันทีจึงถามออกไป
“ฉันอยากจะคุยกับนายซึ่งๆหน้าเกี่ยวกับสัตว์สูญพันธุ์เหล่านั้น แล้วก็ ฉันรู้จักนิสัยนายดีจนรู้ว่านายต้องมีของดีที่สุดแอบซุกไว้เสมอ” เอี้ยป๋อพูดออกมาราวกับคาดการณ์ได้ ตอนนี้เขาหลงลืมความคิดที่ว่าจะถามความเห็นของซูจิ้งที่ว่าจะยอมให้เขาเข้าบ้านไปรึเปล่าเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหันไปมองพวกพืชหน้าตาประหลาดแล้วพูดออกมาว่า “ตำลง นายมาก็ดีแล้วจะได้ช่วยฉันดูอะไรหน่อย”