GGS:บทที่ 1055 ผลไม้จีนโบราณ
หลังจากได้ยินคำพูดของซูจิ้งเอี้ยป๋อก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา เขาคิดไว้แล้วว่าซูจิ้งต้องเก็บงำของดีไว้กับตัวอย่างแน่นอน
เอี้ยป๋อยังไม่ทันวางสายดีเขาก็ได้เร่งเดินทางไปยังบ้านของซูจิ้งอย่างรวดเร็ว ในคราวนี้ไม่มีรถติดแต่อย่างใด แต่จะมีติดอยู่อย่างเดียวคือการที่โจวซือเซียนมาถึงก่อนเขา
“คุณโจวคุณมาทำอะไรที่นี่กัน” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสงสัย
“ฮ่าฮ่าฮ่า พอดีว่าฉันได้กลิ่นวัตถุโบราณน่ะ” โจวซือเซียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับสวนสัตว์เมืองจองหยุนแล้ว ถึงแม้เขาจะสนใจเกี่ยวกับสัตว์สูญพันธ์เหล่านั้นไม่น้อย
แต่ด้วยการที่เขานั้นเป็นนักสะสมสายของเก่าไม่ใช่สายสัตว์หายาก ถึงแม้เขาจะได้ศึกษาหาความรู้ไว้บ้างแต่แน่นอนว่าความนิยมชมชอบไม่ลึกซึ้งเท่าเอี้ยป๋อ
แต่อยู่ๆทำไมเขาถึงมีความคิดบางอย่างขึ้นก็ไม่รู้ ความคิดที่ว่านั่นก็คือในเมื่อเจอสัตว์สูญพันธุ์มามากมายขนาดนี้แล้วเขาจะมีโอกาสเจอวัตถุโบราณของอารยธรรมที่สาบสูญไปในช่วงร้อยปีกว่ามั่งรึเปล่านะ
นั่นเองจึงเป็นเหตุผลที่เขามา
“อ่ะแฮ่มมมม แค้กแค้กแค้ก คุณคิดมากไปเองล่ะม้างงงงง” ซูจิ้งพูดออกมาแบบไม่มีพิรุธเลยสักนิด
“เฮ้เฮ้เฮ้ ฉันเองก็เชื่อในสัญชาติญาณของตัวเองเหมือนกันนา” โจวซือเซียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างรู้แกว
“ก็ดี ในเมื่อคุณมาแล้วก็ถ้าไม่ว่าอะไรก็รอคุณเย่หน่อยก็แล้วกันเพราะว่าผมมีของอยากจะให้เขาช่วยดูหน่อย เอ้านี่ผมขอเสริฟชาให้คุณจิบฆ่าเวลาไปก่อนแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“โอ้…ตาแก่นั่นมาด้วยแบบนี้ฉันต้องยิ่งรีบร้อนเข้าไปใหญ่” โจวซือเซียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและสายตาที่เปล่งประกายทันทีที่ได้ยินว่าซูจิ้งจะเซริฟชาของเขา เอาจริงตาของเขาเป็นประกายกว่าจับพิรุธซูจิ้งได้ก่อนห้านี้ซะอีก
ถึงจะบอกว่ามีใครบ้างที่ไม่เคยดื่มชาก็ตาม แต่กับชาของซูจิ้งแล้วแน่นอนว่าพวกมันนั้นล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ของธรรมดา แม้แต่ชาดาฮงเป่าที่เป็นชาชั้นดีที่สุดก็ยังหากินได้ทั่วไป แต่กับชาของซูจิ้งนั้นมีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
เขานั้นยังไม่เคยลืมรสชาติของชาที่ของซูจิ้งที่เคยดื่มได้เลย แม้แต่ที่พิ้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาคาร์ฟทะยานฟ้านั่นเขาก็ไม่มีโอกาส
นั่นก็เพราะที่นั่นถึงจะมีชาเขียวหกนิ้วขายก็จริง แต่ราคาของมันคือหนึ่งหมื่นหยวน ด้วยราคาแบบนั้นทำให้คนธรรมดาเช่นเขานั้นยากที่จะเอื้อมถึงได้เลย แต่ตอนนี้ชานั่นถูกเอามาเสริฟให้แขกแบบเขาคนนี้ คนยินดีแม้แต่จะต้องดื่มจนเลยให้หมดทุกหยาดหยดอย่างมีความสุข
เป็นจริงตามที่โจวซือเซียนคาดไว้ ซูจิ้งได้เสริฟชาเขียวหกนิ้วให้เขาพร้อมกับเทลงในถ้วยชาให้ เขานั้นไม่ได้เร่งรีบที่จะดื่มแต่อย่างใดแต่เขาเลือกที่จะจิบช้าๆเพื่อทราบซึ้งถึงรสชาติถึงทรวงใน
ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกสดชื่นมาก ต่อให้คนที่ไม่เคยดื่มชาก็ยังสามารถรู้สึกได้ไม่ต่างจากเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ดื่มเลยทีเดียว
หลังจากเสริฟชาแล้ว ซูจิ้งก็ได้นำบุหรี่มาให้ นี่ทำให้โจวซือเซียนแทบคลั่งเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบุหรี่ของซูจิ้งนั้นเป็นที่เล่าขานกันมากขนาดไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขานำออกมานั้นไม่ใช่เกรดปกติที่ราคาห้าสิบหยวนแต่เป็นระดับคัดพิเศษที่มีราคาซองละหนึ่งหมื่นหยวน
ด้วยราคาของมันนี้ทำให้โจวซือเซียนไม่สามารถเร่งสูบได้แต่อย่างใด เขาเรื่องที่จะดื่มด่ำกับบุหรี่คัดพิเสษของซูจิ้งอย่างช้าๆ โดยความรู้สึกที่ว่าอยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ก็ให้ไหลไปช้าๆที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โจวซือเซียนอดจะมีความรู้สึกที่ว่าอยากเป็นเพื่อนสนิทของซูจิ้งไม่ได้เลยทีเดียว เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะหาโอกาสมาเยี่ยมเยียนซูจิ้งบ่อยๆอย่างไม่มีปัญหา
จะให้ดีที่สุดคือการเป็นครอบครัวของเขา นั่นก็เพราะจะทำให้เขานั้นสามารถดื่มด่ำกับความรู้สึกแบบนี้ได้อย่างมิรู้ขาดเลยทีเดียว
หลังจากผ่านาสักพัก ในที่สุด เอี้ยป๋อและชายหนุ่มฝึกงานก็มาถึง หลังจากที่ทั้งสองต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันในการนั่งรถไปสวนสัตว์จงหยุน หลังจากนั้นก็มาที่นี่ ทำให้ทั้งสองดูเหนื่อยมากๆ
แต่หลังจากที่ได้ดื่มชาเขียวหกนิ้วทำให้ทั้งสองรู้สึกสดชื่นและมีพลังงานเต็มเปี่ยมขึ้นมาในทันที แต่อย่างไรก็ตาม เอี้ยป๋อในตอนนี้ไม่ได้มีอารมณ์ในการดื่มด่ำกับชาแม้แต่น้อย
ทันทีที่เขาฟื้นคืนความสดชื่นจึงได้พูดออกมาว่า “อาจิ้ง อะไรที่นายอยากให้ฉันดู รีบเอาออกมาเร็วๆเข้า”
“ฉันมานั่งรอนายต้องนานแล้วยังไม่เห็นเร่งรีบอะไรเลย นายจะรีบไปไหนเนี่ย” โจวซือเซียนพูดออกมา
“ก็อาจิ้งมีของอยากจะให้ฉันช่วยดูนี่ แน่นอนว่าฉันก็อยากจะรีบเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ว่าแต่นายเหอะ มาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย กลับไปสถาบันโบราณคดีเลยไป๊” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
ความจริงแล้วทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจนเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยเรื่องของหน้าที่การงานนั้นค้ำคอทำให้ทั้งสองกลายเป็นศัตรูไปโดยปริยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เอี้ยป๋อกำลังตื่นเต้นเพราะซูจิ้งอยู่ จึงไม่แปลกที่จะพูดออกมากันแบบนี้ นี่คือสิ่งเรียกกันว่าคู่หูคู่กัดกันอย่างแท้จริง
“อย่าอารมณ์เสียใส่กันสิครับ โตๆกันแล้วนา เดี๋ยวผมจะนำของออกมาให้คุณทั้งสองเห็นด้วยกันนี่แหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านและนำกระถางที่มีต้นไม้ปลูกอยู่ออกมาเป็นอย่างแรก
แน่นอนว่าซูจิ้งยังมีต้นไม้อีกหลากหลายสายพันธุ์ที่ได้จากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร แต่เขาเลือกที่จะนำต้นไม้นี้ออกมาก่อนเป็นอย่างแรก
“นี่คือ?” ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกอึ้งๆไปกับต้นไม้ที่ซูจิ้งนำออกมา ในกระถางนี้มีน้ำคอยหล่ออยู่ข้างใน มันเป็นไม้น้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ลำต้นของมันนั้นสูงประมาณยี่สิบเซ็นติเมตรเห็นจะได้ รากของมันยังไม่ออกมาดีและใบของมันเรียวยาวและแยกเป็นแฉก
ในกระถางมีต้นไม้ชนิดนี้อยู่เกือบโหลและยังมีหน่อที่พึ่งจะแตกออกมาด้วยซ้ำ หากมองดีๆแล้วจะเห็นว่ามันมีผลอยู่ ผลของมันนั้นดูเรียวและแข็งมาก
“นี่มันต้นอะไรกันแน่”
“ไม่รู้จักเหมือนกัน ไม่เคยเห็นต้นไม้แบบนี้มาก่อน”
“ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆนะ คุ้นๆว่าจะเคยเห็นในตำรารึไงนี่แหล่ะ”
ชายหนุ่มฝึกงานจ้องมองและครุ่นคิดอยู่จนแสดงออกมาให้เห็น หากคนธรรมดาทั่วไปมาเห็นล่ะก็คงจะหัวเราะพวกเขากันอย่างนัก เพราะไม่ว่ามองยังไงเจ้าต้นนนี้ก็แค่ต้นไม้น้ำ แล้วจะไปมีอะไรน่าสนใจได้กัน
“เดี๋ยวนะ การที่ผลของมันหุ้มไว้ด้วยเปลือกแข็งแบบนี้สมควรจะเป็นหนึ่งในวิธีแพร่พันธุ์ของมัน แต่ว่าเจ้าต้นนี้มันเป็นต้นไม้น้ำ ปกติแล้วลูกไม้ที่ออกมาสมควรจะต้องบางนี่นา แถมเจ้านี้ดูยังไงก็ไม่ใช่ไม้ยืนต้นแต่ดูเหมือนสมุนไพรซะมากกว่า …… นี่มัน….” เอี้ยป๋อใช้ความคิดอยู่พักใหญ่จนในที่สุด เขาก็หันไปมองด้วยความตื่นเต้นพร้อมทั้งอุทานออกมาว่า “พระเจ้าช่วย ไม่ผิดแน่”
“ดูเหมือนว่านายจะคิดแบบเดียวกับฉันนะ” โจวซือเซียนพูดออกมาในเชิงคิดแบบเดียวกัน
“แต่มันไม่น่าเป็นไปได้” เอี้ยป๋อพูดออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ แต่ยังไงซะมันก็มาปรากฏต่อหน้าพวกเราแล้วนี่นา” โจวซือเซียนได้พูดออกมาก่อนที่จะหันไปมองซูจิ้ง
ชายแก่ทั้งสองมองไปยังซูจิ้งราวกับเห็นสัตว์ประหลาด พวกเขานั้นรู้ดีว่าซูจิ้งมีความวิเศษกับเรื่องอย่างวัตถุโบราณหรืออะไรทำนองนี้อยู่แล้ว
แต่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาจะไม่ใหญ่กว่าวัตถุจากดินแดนที่สาบสูญแอตแลนติส หรือแม้แต่สัตว์สูญพันธุ์มากไปหน่อยเหรอ
“คุณเอี้ย ที่คุณพูดนี่คุณหมายถึงอะไรกัน” ชายฝึกงานได้ถามออกมา
“คุณโจว ต้นนี้คือต้นอะไรหรือครับ” เหล่าผู้ช่วยของโจวซือเซียนได้ถามออกมาอย่างสงสัย
เอี้ยป๋อและโจวซือเซียนนั้นยังไม่แน่ใจเหมือนกันจึงได้ลองหาข้อมูลจากสมาร์ทโฟนของตัวเองเพิ่มเติม แต่ยิ่งเห็นก็ยิ่งหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและพูดออกมาว่า “ถ้าข้อมูลที่พวกเราดูไม่ได้ผิดอะไรล่ะก็ เจ้าต้นนี้สมควรจะเป็นผลไม้จีนโบราณ”
“ผลไม้จีนโบราณเหรอ….เดี๋ยวนะ คงไม่ใช่ต้นไม้ที่ว่า”
“ฉันจำได้ มันเหมือนจะเป็นต้นไม้เมื่อสักร้อยล้านปีก่อนนะ”
“ห้ะ ต้นไม้นั่นไม่ใช่ว่าจะเหลือแค่ซากฟอสซิลหรอกเหรอ”
เหล่าผู้ติดตามของทั้งสองมองหน้ากันไปมาอย่างโง่งม พวกเขารู้แล้วว่าทำไมทั้งเอี้ยป๋อและโจวซือเซียนถึงได้ตกใจมากนัก พวกเขาเองก็หันไปมองซูจิ้งราวกับเป็นสัตว์ประหลาดไม่ต่างกับทั้งสองคน
นั่นก็เพราะ ต่อให้คุณโชคดีขนาดไหนก็ตาม แต่กับการเจอสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วในหลักร้อยปีก็สมควรจะคือที่สุดแล้ว
แต่นี่หนึ่งร้อยล้านปีก่อนเลยนะ นั่นคือยุคโบราณกาลเลยด้วยซ้ำ ช่วงเวลาที่ร้อยล้านปีนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนแล้วแต่วิวัฒนาการมามากมายหลากหลาย ไม่มีทางเลยที่ต้นไม้โบราณแบบนั้นจะคงอยู่มาถึงตอนนี้ได้
นี่เขาไปได้มันมาได้ยังไงกัน อย่าบอกนะว่าเขาทะลุเวลาไปเมื่อร้อยล้านปีก่อน หรือเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่คงอยู่มาร้อยล้านปีแล้วนำพืชพันธุ์และสัตว์เหล่านี้ติดตามมาด้วยกัน
แค่เขาค้นพบหลักฐานทางอารยธรรมเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนหรือแม้แต่สัตว์สูญพันธุ์เมื่อร้อยปีก่อนก็อัศจรรย์จนยากจะเชื่อแล้ว แต่กับต้นไม้นี้มันจะมหัศจรรย์เกินไปแล้ว