ไม่ได้เจอกันหนึ่งปี ผมสีขาวของย่าหลี่เยอะขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังอารมณ์ดี หน้าสีแดงชาด ไม่มีความอิดโรยหรือดูแก่ชราขึ้นเลยสักนิด พอเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงเหมือนเดิม ดูสนิทชิดเชื้อกับตนดังเดิม ก็อดที่จะยิ้มแก้มปริออกมาไม่ได้ “โยวเอ๋อร์ มานี่ มาให้ย่าดูหน่อย เจ้าผอมลงหรือไม่” 

 

 

ย่าหลี่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นซื่อจื่อเฟย จัดการเรื่องทุกอย่างในจวน แล้วยังต้องมาเป็นห่วงเรื่องร้านบะหมี่มันฝรั่งอีก จะต้องยุ่งตัวเป็นเกลียวทุกวันอย่างแน่นอน ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน ต้องผอมลงไปมากแน่ๆ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือ ยืนตรง เพื่อให้นางมองหน้าตนเองชัดๆ  

 

 

เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว ย่าหลี่ก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่ผอมไม่อ้วน กำลังดี” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาก็ออกมากล่าวทักทาย  

 

 

หลี่ต้าฉุยและภรรยาตอบรับ  

 

 

และทุกคนก็ล้อมรอบเขาทั้งสองเดินเข้าเรือนไป 

 

 

คนที่เหลือก็ออกมาต้อนรับ หลังจากที่ทุกคนได้พูดคุยกันเสร็จ หลี่ต้าฉุยและภรรยาก็ไปที่เรือนของเมิ่งจงจวี่ 

 

 

อยู่จนกระทั่งฟ้ามืด เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้กลับถึงจวน ส่วนพวกหวงฝู่สือเมิ่ง นอนค้างที่จวนนั้นไป 

 

 

ในเมื่อตัดสินใจเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งที่รัฐเพื่อนบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวอาศัยโอกาสที่ยังว่างอยู่ในช่วงนี้ เรียกเมิ่งเสียน เมิ่งฉี และเมิ่งอี้มาปรึกษา  

 

 

เมิ่งเสียนไม่ค่อยเห็นด้วยนัก คิดว่าแค่เปิดร้านในรัฐอู่ก็พอแล้ว เหตุใดต้องไปเปิดที่รัฐอื่นด้วย  

 

 

เมิ่งฉีกับเมิ่งอี้ก็คิดหนัก ตระกูลเมิ่งของพวกเขาไม่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เรื่องเงินทองนั้นมากมายเสียจนพูดได้ว่าใช้เท่าไรก็ไม่หมด ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงแล้ว อีกทั้งยังไม่รู้ธรรมเนียมของรัฐเพื่อนบ้านว่าเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเอาเวลาและกำลังไปลงทุนเปิดร้านใหม่ แล้วไม่มีคนกิน นั่นก็ไม่เท่ากับเสียเปล่าหรือ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลองโน้มน้าวอยู่นานสองนาน แต่ทั้งสามก็ยังคงคิดหนัก จึงกดเสียงต่ำลง แล้วเล่าเรื่องตอนที่พวกนางอยู่ในเขตแดนของรัฐอิงกับรัฐหมิงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง “ที่ข้าต้องไปเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งตามเขตชายแดนแต่ละรัฐ เพราะคิดว่าถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก พวกเราจะได้มีที่ซุกหัวนอน” 

 

 

ไม่คิดว่านางจะเจอเรื่องเช่นนี้มา พอทั้งสามคนฟังจบ ทุกคนก็กลัวจนเหงื่อแตก เลยไม่คิดหนักอีกต่อไปพยักหน้าเห็นด้วยโดยทันที บอกกับนางว่า ส่วนที่เหลือนางไม่ต้องจัดการแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาเถอะ 

 

 

วันเวลาผ่านไป จะถึงวันสิ้นปีแล้ว เถ้าแก่แต่ละร้านจะเข้าเมืองหลวงมารายงานร้าน ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยุ่งจนหัวปั่นกันเลยทีเดียวเชียว 

 

 

เพราะเถ้าแก่ทุกคนจะมาพร้อมๆ กันในสองสามวันนี้ ดังนั้นเมิ่งอี้จึงจองโรงเตี๊ยมเอาไว้แล้วหนึ่งโรงเพื่อให้เถ้าแก่ที่เข้ามาทั้งหลายได้มีที่ให้พักผ่อน 

 

 

วันนี้ เมื่อฟังรายงานจากเถ้าแก่ทั้งหลายเสร็จ ก็บอกให้พวกเขาพักผ่อนให้เต็มที่ หลังจากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้ก็ออกมาจากโรงเตี๊ยม คิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ไปร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงนานแล้ว เลยแยกกับเมิ่งอี้ แล้วสั่งคนรถให้ไปที่นั่น  

 

 

แล้วก็มาถึงร้านแพรไหมอวิ๋นเสียง รถม้าหยุดลง เปิดม่านออก เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งลงจากรถม้า มีคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากร้าน “ข้าเพิ่งสั่งให้เถ้าแก่เตรียมของขวัญไปเยี่ยมเจ้าที่จวนอ๋องอยู่พอดี แต่ดันมาเจอเจ้าที่นี่เสียก่อน” 

 

 

พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้ตอบ เขาคนนั้นก็กวักมือเรียกคนในร้านบอกว่า “อี้เอ๋อร์ มานี่สิ มาทำความเคารพว่าที่แม่ยายของเจ้าเสีย” 

 

 

มุมปากของเมิ่งเชี่ยนโยวขยับขึ้นลงอย่างไม่รู้ตัว ความดีใจที่ได้เจอซุนเหลียงไฉก็หายไปในพริบตา ยกขาขึ้น ถีบเข้าไปทีหนึ่ง “ซุนเหลียงไฉ อยากโดนอีกหรืออย่างไร” 

 

 

แต่ละปีที่เข้าเมืองไป ก็โดนต้อนรับแบบนี้ทุกปี ซุนเหลียงไฉชินไปเสียแล้ว จึงเตรียมการเอาไว้ ดังนั้นพอเมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าขึ้น เขาก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วพูด “นี่ๆ โตจนป่านนี้แล้ว นิสัยนี้แก้ไม่หายจริงๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็ใช้ความรุนแรง อย่างกับแม่เสือสาว ไม่รู้ว่าเจ้าอี้เซวียนนั่นทนเจ้าไปได้อย่างไรเป็นสิบกว่าปี” 

 

 

พูดจบ ก็มีมีดพกชี้ไปที่หน้าของเขา  

 

 

สีหน้าของซุนเหลียงไฉเปลี่ยนแทบไม่ทัน รีบถอยหลังไปทันที อีกนิดเดียวก็แทบสะดุดธรณีประตูหงายหลังอยู่แล้ว 

 

 

ซุนอี้เดินออกมาจากร้าน เดินเข้าไปกันซุนเหลียงไฉกับเมิ่งเชี่ยนโยวไว้หน้าตาเฉย แล้วทำความเคารพ “ท่านอาขอรับ”  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บมีดพก แล้วยิ้มตอบรับกลับไปว่า “ไม่ได้เจอกันปีหนึ่ง อี้เอ๋อร์โตขึ้นไม่น้อย” 

 

 

ซุนเหลียงไฉที่กำลังตกใจก็ลูบอกตัวเองเบาๆ แล้วเดินออกไปอย่างไม่กลัวตาย ชี้ไปที่ซุนอี้ลูกชายของเขา แล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่ามองแค่หัวสิ มองรูปร่างของเขาด้วย สง่างามกว่าข้าตอนหนุ่มๆ เสียอีก เป็นอย่างไรล่ะ ยกลูกสาวของเจ้าให้อี้เอ๋อร์สักคนเป็นไง” 

 

 

ซุนอี้หน้าแดง ไม่รู้จะพูดอะไร เลยได้แต่เรียก “ท่านพ่อ” เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พ่อของเขาคนนี้ เวลาทำการค้า ฉลาดหลักแหลมหัวไวเป็นที่สุด แต่พอเจอเมิ่งเชี่ยนโยวทีไร ก็เปลี่ยนไป เวลาพูดเวลาจา เหมือนคนไม่มีสมองอย่างใดอย่างนั้น ก็ไม่แปลกที่เวลาท่านอาเมิ่งเจอเขาเลยต้องสั่งสอนเสียหน่อย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า “เรื่องแต่งงานของเมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ เสด็จพ่อเป็นคนจัดการ ถ้าหากเจ้ามีปัญญาไปขอให้เขาตอบรับล่ะก็ ข้าจะคิดดูอีกที” 

 

 

ตอนนั้นที่ท่านอ๋องฉีสั่งสอนเขาไป ซุนเหลียงไฉยังจำได้ขึ้นใจ พอคิดภาพตอนที่ท่านอ๋องฉีฟาดท่อนไม้นั้นลงบนตัวเขาทีไร ซุนเหลียงไฉก็ขนลุกโดยไม่รู้ตัวทุกที เขาเลยไม่ได้โต้ตอบกลับไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเลยไม่ได้สนใจเขาอีก ถามว่า “อี้เอ๋อร์ พวกเจ้ามาถึงเมื่อใดล่ะ ไปหาท่านอาของเจ้าหรือยัง” 

 

 

“ตอนเช้าครับ ท่านพ่อบอกว่าวันพรุ่งพวกเราจะไปหาท่านอาขอรับ” ซุนอี้ตอบ  

 

 

“ปู่ย่าของเจ้าแข็งแรงดีไหม” 

 

 

“ขอบพระคุณท่านอาที่ถามไถ่ขอรับ ปู่ย่าของข้าสบายดี ถ้าไม่เป็นเพราะย่าไม่ค่อยสบาย ปู่คงมากับพวกเราด้วยขอรับ” 

 

 

ตั้งแต่ที่ตระกูลเมิ่งย้ายมาอยู่เมืองหลวงหมด เมิ่งเชี่ยนโยวได้กลับบ้านเกิดเป็นจำนวนนับครั้งได้ เลยเจอซุนซ่านเหรินเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น นางจึงคิดถึงเขาตลอด 

 

 

“เหล่าฮูหยินซุนไม่ได้เป็นไรมากใช่หรือไม่” 

 

 

“เป็นไข้หวัดธรรมดา หมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากขอรับ กินยาเดี๋ยวก็หาย ท่านอาไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” 

 

 

ทั้งสองคนถามตอบกันพักหนึ่ง ก็เดินเข้าร้านไป ทิ้งให้ซุนเหลียงไฉยืนงงอยู่ด้านนอก  

 

 

ซุนเหลียงไฉได้สติ ก็รีบเดินตามเข้ามา แล้วตอบกลับคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อครู่ “ข้าว่า โยวเอ๋อร์ พวกเราคุยยังพอเจรจากันได้นะ เจ้ากลับไปโน้มน้าวท่านอ๋องของเจ้าให้หน่อย ดูสิว่าจะตอบรับยกลูกสาวเจ้าให้กับอี้เอ๋อร์หรือไม่ ถ้าหากได้ เดี๋ยวข้าจะไปสู่ขอเดี๋ยวนี้เลย” 

 

 

ตานี่ ยิ่งแก่ ยิ่งรั้น ไม่ว่าเรื่องใดถ้าไม่สำเร็จจะไม่ยอมเลิกรา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากฟังอีกต่อไป จึงถามว่า “อี้เอ๋อร์เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง เจ้าจะรีบให้แต่งงานไปเพื่ออะไร” 

 

 

ซุนเหลียงไฉก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่รีบไม่ได้น่ะสิ พอข้าเข้าเมืองมาก็ได้ยินว่าขนาดไท่จื่อแห่งรัฐหมิงยังมาสู่ขอเลย อย่างเราๆ สู้เขาไม่ได้หรอก ทำได้เพียงลงมือชิงตัวมาก่อนเท่านั้น ถึงจะได้มาครอบครอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มแล้วถามกลับอย่างช้าๆ “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอ เจ้าก็คงจะรู้แล้วสิว่าเขามีจุดจบเช่นไร” 

 

 

สายตาของซุนเหลียงไฉก็ลอกแลกขึ้นมาทันที แล้วตอบว่า “นั่นก็สมควร เป็นถึงไท่จื่อ ในรัฐของเขามีผู้หญิงมากมายให้เลือก แต่กลับมาที่จวนอ๋องสู่ขอการแต่งงาน ถ้าหากว่าข้าอยู่ด้วยล่ะก็ จะตีให้ขี้เล็ดเลยทีเดียว” พูดถึงตรงนี้ ก็หยุดแล้วพูดต่อว่า “แต่อี้เอ๋อร์ไม่เหมือนกัน อี้เอ๋อร์เนี่ยเป็นเด็กที่เจ้าก็เห็นมาแต่เล็ก นิสัยใจคอเจ้าก็รู้ดี ไม่ต้องกังวล ลูกสาวเจ้าแต่งเข้ามาบ้านข้าได้เลย จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” 

 

 

พูดจบ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างเดียว ไม่ได้ตอบอะไร ก็กัดฟันกรอด กระทืบเท้าบอกว่า “ถ้าหากว่าไม่ได้จริงๆ ให้อี้เอ๋อร์แต่งเข้าจวนอ๋องไปก็ได้” 

 

 

เถ้าแก่ที่อยู่ในร้านพอได้ยิน ก็สำลักน้ำลายไอออกมาไม่หยุด ถึงขั้นหน้าแดงก่ำไปหมด  

 

 

ซุนอี้ก็ได้แต่เรียก “ท่านพ่อ!” เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้อยากให้ตนแต่งงานกับลูกสาวของท่านอานัก 

 

 

“เจ้าพูดเช่นนี้ปรึกษาซุนซ่านเหรินหรือยัง” เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังยิ้มไม่เปลี่ยน ถามกลับซุนเหลียงไฉ 

 

 

ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลายลงไปแล้วก็พูดว่า “ลูกชายของข้า เรื่องแต่งงานข้าเป็นคนจัดการ ขอแค่เจ้าตอบรับ ข้าจะส่งอี้เอ๋อร์ไปจวนอ๋องโดยทันที” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ หันไปหาซุนอี้ “อี้เอ๋อร์ จับหน้าผากของพ่อของเจ้าดูหน่อยสิ ว่าวันนี้ตัวร้อนหรือไม่ เหตุใดถึงได้เอาแต่พูดจาไร้สาระเพียงนี้” 

 

 

เถ้าแก่ที่เพิ่งจะหยุดสำลักก็สำลักอีกครั้ง ไอไม่หยุดกันเลยทีเดียว 

 

 

ซุนอี้หน้าแดง 

 

 

สีหน้าของซุนเหลียงไฉยังคงเดิม พอจะพูดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นมือออกมา บอกให้เขาหุบปาก “ข้าขอแนะนำให้เจ้าหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย มิเช่นนั้น ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะไม่ได้เจอเจ้าอีก ข้าเป็นห่วงน่ะ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉมีลูกชายคนเดียว ถ้าหากซุนซ่านเหรินรู้เข้าว่าเขาจะให้ซุนอี้แต่งเข้าจวนอ๋อง ไม่เพียงแต่จะตีขาสองข้างของเขาให้หัก แต่เกรงว่าคงถือมีดปังตอไล่ฆ่าเขาไปทั่วหมู่บ้านแน่นอน 

 

 

ปากของซุนเหลียงไฉที่กำลังเปิดออกก็ปิดลง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูก ถ้าหากตนให้อี้เอ๋อร์แต่งเข้าจวนอ๋องไป ไม่เพียงแต่ปู่ของเขา พ่อของเขาเองก็คงไม่ยอมเช่นกัน  

 

 

จริงๆ แล้ววันนี้ที่มาก็เพราะมาตรวจตราร้านค้าแทนซุนเหลียงไฉ ในเมื่อเขามาแล้ว ตนก็ไม่ต้องแล้ว เลยนั่งสักพักหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับจวนอ๋องไป 

 

 

วันเวลาผ่านไป และแล้วตรุษจีนก็มาถึง ตามธรรมเนียมแล้ว ในคืนวันสิ้นปี ฮ่องเต้จะทรงจัดงานเลี้ยงฉลองให้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายมาร่วมสังสรรค์ ท่านอ๋องฉี พระชายาและหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปร่วมงานด้วยเช่นกัน  

 

 

เวลาพลบค่ำ ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนใส่ชุดราชการ พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวใส่ชุดประจำตำแหน่ง นั่งรถม้าสองคันแล่นสู่วังหลวง 

 

 

หน้าประตูวังมีรถม้าจอดอยู่เต็มไปหมด เหล่าขุนนางก็พาครอบครัวลงจากรถม้ามาทักทายกัน 

 

 

เมื่อรถม้าของท่านอ๋องฉีมาถึง ทุกคนก็หยุดพูด รอให้ท่านอ๋องฉีกับพระชายาลงจากรถม้า แล้วจึงกล่าวทักทาย  

 

 

ท่านอ๋องฉีก็ยังคงมาดสง่างามสูงส่ง พยักหน้ารับเล็กน้อย ส่วนพระชายาฉีได้แต่ยิ้มตอบรับคนที่เข้ามากล่าวทักทาย  

 

 

ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ด้านหลังของทั้งสองอย่างเงียบๆ 

 

 

หลังจากที่ทุกคนกล่าวทักทายกันเสร็จ ก็ทยอยกันเข้าพระราชวัง