ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 71 มิอาจปฏิเสธได้

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ทุกคนเข้านั่งประจำที่ ชายหญิงแยกกันคนละฝั่ง แล้วทุกคนก็อาศัยโอกาสนี้พูดคุยถามไถ่ซึ่งกันและกัน 

 

 

ท่านอ๋องฉีนั่งประจำที่ตนเอง ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ  

 

 

เมื่อหวงฝู่ซวิ่นเสด็จมาถึง ทุกคนก็ลุกขึ้นต้อนรับ 

 

 

“วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง ไม่ต้องพิธีรีตองมากมายนักหรอก ทุกคนตามสบายเถอะ” หวงฝู่ซวิ่นพูดเช่นนี้ทุกปีไม่เคยเปลี่ยน 

 

 

ทุกคนตอบรับ นั่งลง แต่ไม่กล้าทำตัวสบายมากนัก ฮ่องเต้ตรัสเป็นพิธีไปเช่นนั้น หากมีคนทำเช่นนั้นจริงๆ อาจต้องปลดเกษียณกลับบ้านเกิดไปเลยก็เป็นได้ 

 

 

แต่ว่า ปีนี้ทุกคนดูแปลกไป ตอนที่ต้องยกสุราดื่มพร้อมกันนั้น ทุกคนต่างเดินมาดื่มกับท่านอ๋องฉีทั้งนั้น แม้ว่าปีก่อนๆ จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ปีนี้แปลกไปกว่าแต่ก่อนอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงนั่งสังเกตทุกอย่างเงียบๆ  

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ว่าใครเดินเข้ามา ก็ให้เกียรติจิบสุราด้วยทั้งนั้น  

 

 

ร่ำสุรากันอยู่นาน ขุนนางน้อยใหญ่ต่างมีความสุขถ้วนหน้า ท่านอ๋องฉีดื่มไปไม่น้อย จึงโซเซลุกขึ้นมาบอกว่าตนเองอายุมากแล้ว เริ่มไม่ไหวแล้ว อยากกลับจวนพักผ่อน 

 

 

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่า อายุมากกว่าท่านอ๋องฉีก็มีไม่น้อย ดื่มมากกว่าท่านอ๋องฉีก็มี แต่ไม่มีใครเอ่ยปากก่อนเลยว่าจะกลับก่อน มีแต่ท่านอ๋องฉีที่เป็นเสด็จอาแท้ๆ ของฮ่องเต้ เป็นพระญาติเพียงผู้เดียวในรัฐอู่แห่งนี้ กล้าที่จะบอกว่าอยากกลับจวนก่อนในขณะที่ฮ่องเต้กำลังสำราญพระทัย  

 

 

เห็นท่านอ๋องฉีเซไปมา หวงฝู่ซวิ่นได้ยินดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้า  

 

 

พระชายาฉีอาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้น พยุงท่านอ๋องฉีออกจากวังหลวงไป ท่ามกลางสายตาอิจฉาและผิดหวังเพราะยังไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด ท่านอ๋องก็กลับไปก่อนเสียแล้ว 

 

 

ยามดึก นอกวังหลวงมืดสนิท มีก็แต่แสงไฟจากโคมแดงไม่กี่โคมส่องสว่างนำทางไป 

 

 

เมื่อทั้งสองคนออกพ้นวังหลวงมา ท่านอ๋องฉีก็ยืดหลังตรง ถอนหายใจที่มีกลิ่นสุราคลุ้งออกมา ดวงตาใสแป๋ว ดูไม่เมาเลยสักนิด  

 

 

คนรถจวนอ๋องเมื่อเห็นเจ้านายของตนออกมา ก็รีบเอารถเข้าไปรับ หลังจากที่ท่านอ๋องฉีกับพระชายาขึ้นรถม้า คนรถก็รีบขับกลับจวนอ๋องโดยทันที  

 

 

“ท่านอ๋อง ไหวไหมเพคะ” พอขึ้นรถมา พระชายาฉีถึงเอ่ยถาม  

 

 

“ไม่ได้เป็นอะไร สุราแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ท่านอ๋องฉีตอบ ด้วยสีหน้าหนักใจ  

 

 

“คืนนี้ทุกคนต่างยกสุรามาดื่มกับท่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด” 

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่ได้ตอบ แต่แสดงสายตาอันล้ำลึกออกมา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็คงอยากอาศัยจังหวะนี้มาผูกมิตรกับข้าน่ะสิ อยากมาแต่งงานกับหลานสาวของเราสองคนนั้นยังไงล่ะ 

 

 

หลังจากท่านอ๋องฉีลาไป เลยไม่รู้ว่าจะเอาใจใครต่อ บรรยากาศในตำหนักก็เงียบลง บางคนก็ไม่ย่อท้อ คิดหนักว่าควรจะไปดื่มกับหวงฝู่อี้เซวียนหรือไม่ ค่อยๆ หาจังหวะเข้าใกล้ แต่ตรงหน้าเขามีแต่น้ำชา พอเห็นว่าเขาไม่ดื่มสุราสักหยด ก็แอบถอนหายใจ ยกเลิกความคิดนั้นไป แล้วแอบไปเสียใจกับตัวเองว่าเหตุใดตอนที่ท่านอ๋องฉีอยู่ถึงไม่พูดออกไป 

 

 

วันตรุษจีน จวนท่านอ๋องฉีคึกคักกว่าที่เคย เพราะขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็พาครอบครัวของตนมาอวยพรปีใหม่ที่จวนอ๋องฉีแห่งนี้อย่างมิได้นัดหมาย  

 

 

พระชายาฉี เมิ่งเชี่ยนโยวและเจียงจิ่นยุ่งกันจนหัวปั่น พอพ้นวันไป สามคนนี้ก็เหนื่อยจนแทบล้มเลยทีเดียว  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวกำชับไว้ให้อยู่แต่ในเรือนของตน ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น ดังนั้นทั้งสองคนเลยว่างมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก หนีไม่พ้นสายตาของท่านหญิงสองคนนี้หรอก  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ถามด้วยความสงสัยว่า “พี่ใหญ่ ทำไมคนถึงมาอวยพรปีใหม่ที่จวนของเราเยอะเพียงนี้เจ้าคะ” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราต้องทำตามคำสั่งของท่านแม่ อย่าออกไปไหนดีที่สุดนะ” 

 

 

“อืม” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเป็นที่สุด นางมีนิสัยร่าเริง ปีก่อนๆ คนที่มาอวยพรปีใหม่ไม่ได้เยอะขนาดนี้ พูดคุยกันประเดี๋ยวเดียวก็ไป ดังนั้น เวลานี้พวกเด็กๆ ก็จะได้ออกไปเล่นกันที่นอกเรือน แต่ปีนี้ไม่ได้เลย ต้องทำตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเดียว เลยต้องอยู่แต่ในเรือนที่น่าเบื่อแห่งนี้ 

 

 

วันที่สองก็แล้ว วันที่สามก็แล้ว หน้าจวนอ๋องฉีก็ยังคงมีรถม้าจอดเต็มไปหมด ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย  

 

 

วันที่สี่ เช้าตรู่ หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมพร้อมที่จะพาเด็กๆ ทั้งสามคนไปบ้านยาย 

 

 

ในที่สุดก็ออกมาสูดอากาศข้างนอกได้สักที หวงฝู่เย่าเย่ว์เหมือนนกที่ได้บินออกจากกรง ดีใจเป็นที่สุด ระหว่างทางก็เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด  

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยานั่งรออยู่หน้าบ้านตั้งนานแล้ว พอเห็นรถม้าสองคันแล่นเข้ามา ยังไม่ทันจอดดี ก็รีบเดินเข้าไปทันที 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เปิดม่านรถม้าออก กระโดดลงมา เข้าสู่อ้อมอกของเมิ่งซื่อ แล้วพูดเอาใจว่า “ท่านยาย ข้าคิดถึงท่านจังเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

เพิ่งจะเจอกันหยกๆ คำพูดของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็แค่คำพูดเอาใจตนเท่านั้น แต่นางกลับดีใจเป็นอย่างมาก ได้แต่ยิ้มแล้วตบหลังของนางเบาๆ “ยายก็คิดถึงเจ้า ปีนี้เลยเตรียมซองอั่งเปาให้เจ้าไว้แล้วด้วย” 

 

 

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านยาย” 

 

 

ครอบครัวตระกูลเมิ่งปกติอยู่กันแต่ในเรือน มีแต่เมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งเหริน และเมิ่งอี้ที่ออกไปทำงาน นานๆ ทีจะมีโอกาสได้รวมตัวกัน วันนี้พอได้รวมตัวกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว จึงพูดคุยกันสนุกสนานกันเลยทีเดียว  

 

 

เมิ่งจงจวี่กับเหล่าเมิ่งซื่ออายุมากแล้ว ลุกก็โอยนั่งก็โอย แต่สุขภาพจิตยังดี พอเห็นครอบครัวมากันพร้อมหน้า ก็ยิ้มออกมาด้วยความปีติ 

 

 

พอกินข้าวกลางวันเสร็จ เด็กๆ ออกไปวาดภาพกันที่นอกเรือน ส่วนที่เหลือรวมตัวพูดคุยกันอยู่ที่ห้องของเมิ่งจงจวี่ พูดไปพูดมา ก็พูดถึงเรื่องงานแต่งงานของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ 

 

 

เมิ่งซื่อ ลอบถอนหายใจเล็กน้อย “ทำไมเด็กถึงได้โตไวขนาดนี้ พริบตาเดียวก็สิบสามเข้าแล้ว คงอยู่ที่เรือนได้อีกไม่นานแล้วสิ” 

 

 

“ท่านแม่ แม้พวกนางจะออกเรือนไป ก็คงต้องอยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละเจ้าค่ะ ถ้าคิดถึงพวกนาง ก็ส่งข่าวให้นางรู้ ให้นางกลับมาหาก็พอแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” 

 

 

เมิ่งซื่อ พยักหน้า “ว่าไปก็ถูก เมืองหลวงก็มีอยู่แค่นี้ ต่อให้พวกนางไปอยู่บ้านสามี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็รู้ได้ทั้งนั้น” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำออกมา “ท่านแม่ ยังไม่ทันได้แต่งงานเลย ท่านก็คิดถึงตอนที่พวกนางไปอยู่บ้านสามีแล้ว ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ” 

 

 

เมิ่งซื่อ รู้สึกว่าตนตีตนไปก่อนไข้ จึงหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ข้าน่ะแก่แล้ว จึงชอบคิดมาก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา แล้วหันไปฟ้องเหล่าเมิ่งซื่อว่า “ท่านย่า ท่านแม่บอกว่านางแก่แล้ว” 

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อหัวเราะ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “อืม แม่เจ้าแก่แล้ว ย่ายังสาวอยู่น่ะ” 

 

 

ทุกคนหัวเราะกันเฮฮา หลี่ต้าฉุย เมิ่งต้าจินทั้งสองครอบครัวต่างหัวเราะกันจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว  

 

 

บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความสุข  

 

 

แล้วก็มีเสียงรายงานดังมาจากด้านนอก “นายท่าน มีคนมาจากจวนอ๋องฉีขอรับ บอกว่าฮ่องเต้เรียกตัวซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเข้าวังโดยด่วนขอรับ” 

 

 

เสียงหัวเราะของทุกคนชะงักลง แล้วมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

“มีเรื่องอะไรงั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วถาม  

 

 

“ไม่มีขอรับ บอกแค่ว่าให้ท่านกับซื่อจื่อเฟยเข้าวังโดยด่วน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วลุกขึ้น  

 

 

แล้วเวลาแห่งความสุขก็หมดลง ทุกคนมองพวกเขาด้วยความเป็นห่วง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น บอกลากับทุกคน ให้เด็กๆ ทั้งสามอยู่เล่นที่จวนนี้ก่อน ส่วนพวกเขาสองคนขี่ม้าควบไปที่วังหลวง เอาเชือกผูกม้ายื่นให้กับนายประตู แล้วเดินเข้าไปทันที 

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลยืนรออยู่ที่ประตูนานนานแล้ว พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็รีบออกไปรายงานว่า “วันนี้มีทูตจากหลายรัฐมาอวยพรปีใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ของรัฐอิงจะเสด็จมาด้วยตนเอง แล้วยังบอกว่าจะมาสู่ขอแต่งงาน ฮ่องเต้ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร จึงเรียกตัวซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเข้ามา ปรึกษาเรื่องนี้ขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยุด ขมวดคิ้วถามว่า “ขออะไรนะ” 

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ไม่ปิดบัง ตอบตามตรงว่า “เขาอยากสู่ขอท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ไปเป็นฮองเฮาขอรับ” 

 

 

สายตาอันดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่หัวหน้าขันทีผู้ดูแล ถึงขั้นทำให้เขาเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก 

 

 

ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ ฮ่องเต้ยังพอปฏิเสธได้ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นแค่ไท่จื่อ จะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ที่เขามาสู่ขอแต่งงาน จริงๆ แล้วอาจจะให้จวนอ๋องฉีช่วยดันให้เขาได้ตำแหน่งฮ่องเต้ก็เป็นได้ แต่ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงไม่เหมือนกัน เขาอยู่ในตำแหน่งแล้ว ขอเพียงแค่หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ หลังจากเย่ว์เอ๋อร์อายุครบแต่งงานได้ พอออกเรือนไป ก็ได้เป็นฮองเฮาผู้ทรงสง่าแห่งรัฐอิง อีกอย่าง สองประเทศนี้ไม่เหมือนกัน รัฐหมิงเป็นรัฐที่มาผูกมิตรด้วย แต่รัฐอิงเป็นรัฐภายใต้การปกครอง อีกทั้งยังเพิ่งจะได้ยึดครองมาไม่นานนี้เอง ตามธรรมเนียมแล้ว หวงฝู่ซวิ่นที่เป็นฮ่องเต้นั้นสมควรตอบรับการหมั้นหมายในครั้งนี้ เพื่อความผาสุกของราษฎร  

 

 

แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นใคร เป็นหลานสาวของท่านอ๋องฉี เป็นลูกสาวของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นแก้วตาดวงใจของพระชายาฉี ถ้าหากว่าเขากล้าไม่ปรึกษาพวกเขาก่อน แล้วตอบรับการสู่ขอในครั้งนี้โดยพลการ เขาคงได้พ้นจากตำแหน่งฮ่องเต้แน่ แถมยังจะโดนท่านอ๋องฉีไล่ฆ่าทั่ววังหลวงอีก ดังนั้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เขาถึงได้ส่งคนไปเชิญหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา แต่ไม่กล้าเชิญท่านอ๋องฉี  

 

 

รู้จักหวงฝู่ซวิ่นมานาน ทำไมหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงหันหลังเดินออกจากวังหลวงไป แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นทูตจากหลายประเทศมา ตอนนี้ข้าแต่งตัวไม่เหมาะสม ขอกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดราชการก่อนแล้วจะรีบกลับมา” 

 

 

วันนี้เขากับเมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านแม่ยาย แต่งตัวปกติ ไม่เหมาะสมจริงๆ เพราะฉะนั้นคำพูดของเขามีเหตุผล แต่ฮ่องเต้กับทูตของแต่ละประเทศรอนานแล้ว ถ้าหากซื่อจื่อกลับไปเปลี่ยนชุด กว่าจะไปกว่าจะกลับกินเวลาไปตั้งเท่าไร อีกอย่าง ถ้าเขากลับจวนไป คงได้บอกกับท่านอ๋องฉีแน่ ถ้าอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นต่อ… … ขันทีผู้ดูแลไม่กล้าคิด รีบเดินไปขวางหวงฝู่อี้เซวียนเอาไว้ โค้งตัวคารวะ แล้วโน้มน้าวว่า “ซื่อจื่อ เรื่องวันนี้เร่งด่วนนัก ท่านไปพบทูตเช่นนี้ ฮ่องเต้ไม่ถือโทษโกรธท่านหรอกขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเหมือนโดนบังคับให้หยุด หรี่ตามองเขาแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ฮ่องเต้ไม่กล้ากล่าวโทษข้าหรอก แต่พวกทูตเหล่านั้นเล่า ข้าเข้าไปเช่นนี้ พวกเขาจะมองว่าข้าไม่ให้เกียรติพวกเขา ฮ่องเต้ไม่กลัวว่าพวกเขาจะไม่พอใจ แล้วเกิดเรื่องใหญ่งั้นหรือ” 

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลชะงักไป ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกไปเสียแล้ว