ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 140 อ๋องสกุลเฉิน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เชื้อพระวงศ์คืออะไร คนผู้หนึ่งอาจได้รับขนานนามว่าจักรพรรดิด้วยการขึ้นสู่บัลลังก์ และจากมุมมองนี้ การที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สามารถปลุกผังลายจักรพรรดิได้นั้น ก็ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ

แต่จูลั่วได้คบค้ากับราชสกุลเฉินมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ จึงรู้ความลับมากมาย เขารู้ว่าการเปิดใช้ค่ายกลจักรพรรดินั้นต้องใช้สายเลือดแท้ของราชวงศ์

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ปกครองมานานกว่าสองร้อยปี ทว่านางเพิ่งจะนั่งบัลลังก์เมื่อยี่สิบปีก่อน ย่อมไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้ผังลายจักรพรรดิยอมรับเลือดของนางเป็นสายเลือดราชวงศ์

นางยืนอยู่บนยอดสุสานเทียนซู ปรายตามองลงมาบนโลก ยังค่ายกลใหญ่ในจิงตู ใบหน้างามนั้นไม่แยแสอย่างที่สุด ไม่มีอารมณ์ใดให้เห็น

ใช่แล้ว นางมิได้แซ่เฉิน เลือดแท้หงส์สวรรค์ซึ่งไหลอยู่ในกายนาง มิใช่เลือดราชวงศ์ และนางก็หาได้มีเวลามากพอจะทำให้ผังลายจักรพรรดิยอมรับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีวิธี

นักพรตจี้ก็รู้ดีว่านางต้องมีวิธี เขาจึงไม่มีคำถามแบบที่จูลั่วมี

อันที่จริง ชั่วขณะต่อมา หลายคนรวมถึงจูลั่วก็คิดได้ถึงจุดนี้

ค่ายกลใหญ่ของผังลายจักรพรรดิถูกสร้างขึ้นหลายปีมาแล้ว มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อย่างน้อยก็ยาวนานกว่าราชวงศ์เฉิน

จิงตูเป็นเมืองหลวงของต้าโจวในตอนนี้ แต่ก่อนหน้าต้าโจว ที่แห่งนี้ก็เป็นเมืองหลวงอยู่ก่อนแล้ว

ก่อนราชวงศ์เฉิน ก็มีราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายอย่างบริสุทธิ์ และดำรงมาจนถึงปัจจุบันนี้

จูลั่วมองไปทางวังหลวงและกล่าวอย่างเคร่งเครียด “เหลียงหวังซุน เจ้าช่างกล้าทำเรื่องไร้ยางอาย!”

……

……

ในจิงตูมีจุดสูงอยู่สามแห่ง

สองแห่งก็คือสุสานเทียนซูและแท่นกานลู่ อีกแห่งก็คือหอหลิงเยียน

หอหลิงเยียนอยู่ลึกเข้าไปในวังหลวง เป็นหอคอยสูง

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดซึ่งต้าโจวทำต่อผังลายจักรพรรดิ ก็คือการสร้างหอหลิงเยียน นี่ยังเป็นหัวใจของค่ายกลอีกด้วย

เหลียงหวังซุนนั่งอยู่ที่ใจกลางหอหลิงเยียน

คืนนี้ มือเขาไม่ได้จับไปที่วัชระ แต่เป็นคบเพลิง

คบเพลิงนี้ไม่ได้ทำจากทองหรือหยก แต่โปร่งใสแวววาว ที่ปลายมีเปลวเพลิงสีขาว

ที่คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามาร บุปผาเพลิงพิสุทธิ์

ดวงตาเหลียงหวังซุนปิดสนิท ใบหน้าขาวซีด มือที่กำคบเพลิงมีเลือดไหลออกมาอยู่ตลอด

เลือดไหลไปตามบุปผาเพลิงพิสุทธิ์ แทนที่จะหยดลงพื้น กลับถูกดูดกลืนเข้าไป

แส่งที่แผ่ออกมาจากบุปผาเพลิงพิสุทธิ์ไม่ได้มีสีเลือดย้อมอยู่ มันยังคงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เสมือนบรรจุไว้ด้วยพลังไร้สิ้นสุด

แสงนี้รุนแรงมากที่แม้แต่ภายนอกของหอหลิงเยียนที่มืดมัวอยู่ตลอดก็ยังส่องสว่างขึ้นมาในคืนนี้

ส่วนภายในนั้น หอหลิงเยียนสว่างราวทิวาวาร เฉกเช่นภาพที่คนมักจินตนาการถึงแดนเทพ

แสงสว่างส่องภาพวาดบนผนังอย่างชัดเจน เหล่าขุนนางสร้างชาติของต้าโจวมองมาที่เหลียงหวังซุนอย่างเงียบงัน

หากพวกเขาล่วงรู้ว่านี่คืออ๋องน้อยผู้สืบสายเลือดมาจากราชวงศ์เหลียงที่พวกเขามุ่งหมายจะโค่นล้ม พวกเขาคงรู้สึกเวทนา

เหล่าคนในตำนานบนภาพวาดเหล่านี้ประสงค์จะประทานพรให้กับใครกัน

หลายศตวรรษที่ผ่านมา หอหลิงเยียนอยู่ในส่วนลึกของวังหลวงอย่างเงียบงัน ผสานรวมกับความมืดมิดมิยอมให้ผู้ใดได้มองเห็น

คืนนี้ มันกลับส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ

หลายศตวรรษที่ผ่านมา บันไดหินและลานตรงหน้าหอหลิงเยียนถูกทิ้งร้างไร้ผู้คน

คืนนี้ ที่แห่งนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คน

กองทัพหลินอวี่เฝ้าระวังอยู่ทุกทิศทาง

เซวียสิ่งชวนนั่งอยู่บนกิเลนเมฆาแดง มองลงมาอย่างเฉยชา

ตรงไปด้านหน้าในความมืดมิดก็คือประตูใหญ่ของเขตวังหลวง

คืนนี้ ประตูได้ถูกเปิดออก ราวกับกำลังเตรียมตัวต้อนรับแขก

ในตอนนี้ ทวนหิมาลัยเทวาอยู่ในวังหลวง แผ่ปราณที่กดขี่หาใดเปรียบออกมา

เขาอยู่ที่นี่

แล้วจะมีใครกล้าเข้ามา

……

……

ในคืนฝนพรำต้นฤดูใบไม้ร่วง คนที่ต่อต้านการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มายังจิงตูจากทั่วต้าลู่ หมายจะล้มนางลงในคราเดียว

กระนั้นก็มีคนอีกมากที่ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

นอกเหนือจากขุนพลคนสำคัญของกองทัพต้าโจวอย่างเซวียสิ่งชวน ก็ยังมีคนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด บางทีอาจเป็นอย่างที่ประมุขรองตระกูลถังกล่าว แม้ว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์จะไม่อาจต่อต้านการเสื่อมโทรมตามกาลเวลาหลังจากการต่อสู้บนหานซานจนบัดนี้จวนใกล้ตาย แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ที่มีมิตรภาพกับผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ยังได้รับการช่วยเหลือจากหอความลับสวรรค์อยู่ดี

ก่อนหน้านี้ในคืนนี้เฉินฉางเซิงได้บุกเข้าไปในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งและทำลายลานต้นไห่ถัง แต่การปฏิบัติการของกรมอาญาก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เมื่อโจวทงฟื้นขึ้น เขาก็ฝืนอาการบาดเจ็บออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปพบกับมือสังหารจากหอความลับสวรรค์ และซ่อนตัวอยู่ในความมืด เตรียมลงมือเมื่อพวกเขาได้จังหวะโจมตีเป้าหมาย

ด้วยการช่วยเหลือและอำพรางของผังลายจักรพรรดิ มือสังหารหลายร้อยคนก็ได้มาถึงภายนอกจวนขุนนางและตระกูลชั้นสูง เฝ้ามองราชรถของอ๋องทั้งสิบห้าคนจากเมืองรอบนอก เมื่อพวกเขาได้รับคำสั่ง มือสังหารพวกนี้ก็จะลงมือในนามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เพื่อกวาดล้างเหล่าขุนนางและทายาทที่บังอาจไม่ภักดีต่อนาง

ผู้ที่สามารถออกคำสั่งเช่นนี้ได้ ย่อมเป็นตัวจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เอง

ทั้งหมดนี้ต้องการเพียงคำเดียว หรือการมองครั้งเดียว แล้วทั่วทั้งจิงตูก็จะอาบไปด้วยเลือด กระบวนการอาจจะยากแต่จุดจบได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

เมื่อพูดถึงสาเหตุและผลจากการกระทำ ผลไม้ที่ชื่อเฉินฉางเซิงก็ย่อมเป็นสาเหตุของเรื่องนี้

ฝ่ายตรงข้ามที่รอให้นางรับการสะท้อนกลับจากวิถีสวรรค์หรือเดินเข้าสู่กับดัก กำลังทยอยเข้าสู่จิงตูมาแล้วทีละคน

ศัตรูเหล่านี้ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดนานสองร้อยปี ศัตรูเหล่านี้อดทนอย่างเงียบงันมาเป็นเวลานาน…นางตัดสินใจมานานแล้วว่านางไม่ต้องการจะพบเห็นพวกมันอีก

หลังจากคืนนี้ นางจะสังหารศัตรูทั้งหมดของนาง จากนั้นนางก็จะสามารถผ่อนคลายและทำเรื่องของนางได้อย่างสบายใจ

นี่เป็นผลลัพธ์ที่นางต้องการ นอกจากนี้ สิ่งใดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ก็ไม่มีความหมายหรือไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อนาง

นี่รวมถึงการที่นางใช้พลังยิ่งใหญ่ของโลกและปราณแรกเริ่มของสุสานเทียนซู ท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของเฉินฉางเซิง สำหรับนาง ดูเหมือนนี่จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ฝนปรอยสายอย่างอ่อนโยนในความมืดยามราตรี ไร้สุ้มเสียงและเหมือนจะไร้ตัวตน มีแต่ความชุ่มชื้นจางๆ เท่านั้น

นางเอามือไพล่หลัง ตามองไปยังจิงตูที่มืดมิด สีหน้าสุขุม

มีเพียงเฉินฉางเซิงผู้อยู่ด้านหลังที่ออกดูรางๆ ว่ามือของนางสั่นเล็กน้อย

……

……

บนถนนแห่งหนึ่งในจิงตู เสียงร้องเศร้าโศกบีบหัวใจดังขึ้นในความมืดของรัตติกาล

“เสด็จแม่ ท่านสละให้ลูกท่านได้มากมาย กระหม่อม…กระหม่อมก็เป็นลูกท่านเช่นกัน!”

ชายผู้นี้ตกลงมาจากราชรถคันที่สิบห้าซึ่งเข้ามาในจิงตูผ่านความมืด เขาสวมชุดสีเหลืองตุ่นๆ รูปลักษณ์น่าเกลียด เขาคำนับไปทางสุสานเทียนซูด้วยสีหน้าจริงใจอย่างต่อเนื่อง น้ำตาไหลพรากลงมาตามใบหน้าในยามที่กล่าว “ท่านแม่โปรดให้อภัย ลูกท่านถูกล่อลวง..ไม่สิ ลูกของแม่ถูกคนอื่นหลอกให้มายังที่แห่งนี้!”

แค่ไม่กี่ประโยค ชายผู้นี้ก็เรียกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หลายแบบ และเปลี่ยนคำเรียกถึงสามครั้ง ทำให้คนฟังอยากเอามือปิดหู

ชายผู้นี้คือหลัวหยางอ๋องที่ขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนแอไร้สามารถ เรียกได้ว่าอ๋องผู้นี้ไม่มีเกียรติเลยสักนิด ทว่าไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าเขากำลังโกหกอยู่

นับตั้งแต่ครั้งยังเด็ก เขาก็เป็นคนขลาดเขลา กลัวว่าจะต้องมีปัญหา เรื่องใหญ่เช่นการก่อกบฏเข้าจิงตู ด้วยนิสัยตามปกติของเขานั้นย่อมไม่กล้าที่จะเข้าร่วมเป็นแน่ เช่นนั้นเขาย่อมต้องถูกหลอกให้มาที่นี่ หลังจากเข้ามาถึงจิงตูแล้ว เขาถึงเข้าใจในที่สุดว่าพวกเขามีเจตนาอันใดในคืนนี้ จึงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นไปทั้งร่าง หลังจากเห็นว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย เขาก็กลัวจนขาอ่อน  ไม่กล้าอยู่ต่อ แต่ก็ไม่อาจเดินไปได้ เขาตกใจกลัวและตะกายออกจากราชรถ คุกเข่าขอความเมตตา

ไม่นานจากนั้น อ๋องอีกสองสามคนนึกได้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนเด็ดขาดเพียงใดในอดีต ก็เดินออกจากราชรถมาคุกเข่ากราบกรานไปทางสุสานเทียนซูเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อ๋องส่วนใหญ่ยังคงพุ่งตรงไปยังสุสานเทียนซู ก่อนที่จะมาจิงตูคืนนี้ พวกเขาได้ทิ้งเรื่องความเป็นความตายไปแล้ว วลีอย่าง ‘จักรพรรดินีมาร’ และ ‘ไปตายซะ’ ดังก้องในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู มองคนเหล่านั้นที่เป็นบุตรในนามของนาง ด้วยคิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อย อันที่จริง นางไม่ได้มีความประทับใจในตัวหลัวหยางอ๋องเท่าใดนัก จำได้แค่ว่าเขาโง่มาก ส่วนบุตรคนอื่นๆ นั้น นางก็ยากจะชื่นชอบได้ นางเย้ย “เห็นขยะอย่างพวกเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกเศร้าใจแทนจักรพรรดิเซียนเหลือเกิน มีลูกชายตั้งมากมายแต่หาดีไม่ได้สักคน!”

นางด่าเหล่าอ๋องสกุลเฉิน ฉะนั้นเหล่าอ๋องสกุลเฉินย่อมได้ยินเสียงนาง ไม่ว่าจะอยู่ในจิงตูหรือบนถนนระหว่างทางจากลั่วหยางมาจิงตู

บนถนนหลวงที่ทอดผ่านดินแดนรกร้าง เซียงอ๋องใช้มือประคองไขมันรอบเอว พลางหอบหายใจเดินออกมาจากราชรถ มองไปทางจิงตูและกล่าว “ท่านแม่ ข้าทำได้ ข้าให้สัญญา ลูกกตัญญูต่อท่านแม่อย่างที่สุด ถึงกับเด็ดดอกไม้จากสวนร้อยหญ้ามาใส่แจกันให้ท่านแม่ ล้างผลไม้ส่งให้ถึงเตียงท่าน เล่นไปตามที่ท่านแม่ต้องการ…”

ยิ่งพูดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดมากเท่านั้น เขาประคองท้องเอาไว้และร้องออกมาอย่างขุ่นเคือง “จนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงไม่เคยเรียกท่านว่าแม่สักคำ และท่านแม่ก็ยังคงแสดงความเมตตาอย่างยิ่งต่อลูกอกตัญญูคนนี้ เหตุใดท่านแม่ไม่ปฏิบัติกับข้าให้ดีกว่านี้หน่อย ข้าเองก็เป็นลูกท่าน ให้ข้าเป็นรัชทายาทเถอะ”

คำพูดไร้ยางอายนี้ทำให้พวกผู้ติดตามอ๋องบนถนนรู้สึกอับอายอย่างมาก สับสนไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร

บนยอดเขาสุสานเทียนซูที่ห่างไกล ครั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ รัศมีโหดเหี้ยมบนร่างของนางก็ดูจะจางหายไปบ้าง “เจ้าเป็นคนที่มีแววมากที่สุด”

เมื่อเสียงนี้ผ่านอากาศมาถึงหูของเขา ใบหน้าเซียงอ๋องก็เต็มไปด้วยความยินดีจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวต่อ “แต่เจ้าอ้วนเกินไป น่าเกลียดเกินไป ตัวอย่างกับหมู”

……

……

บทสนทนาที่จริงใจเป็นครั้งแรกระหว่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับเซียงอ๋องในรอบยี่สิบปีนี้ ทำให้เหล่าอ๋องหลายคนที่มาถึงจิงตูแล้วถึงกับหัวเราะจากนั้นก็เงียบงันไป

หลัวหยางอ๋องไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขากับผู้ติดตามเดินทางผ่านความมืดไปตามตรอกที่เขารู้จักตั้งแต่เด็ก เขาไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามแผนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ว่าจะไปยังหอดูดาวแต่กลับไปยังสถานที่อื่นแทน

“ท่านอ๋อง เราจะไปที่ไหน”

“สวนส้ม” หลัวหยางอ๋องตอบด้วยหน้าขาวซีด

เขาคืออ๋องสกุลเฉินคนสุดท้ายที่ถูกขับออกจากจิงตู ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสได้ทำความรู้จักม่ออวี่ และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่แย่นัก

ในเวลาอันตรายเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือ ต้องไปพบนางและขอให้นางช่วยรักษาชีวิตเขาเอาไว้

เขาไม่เคยคิดเลยว่าม่ออวี่จะไม่อยู่ในจิงตู

ในเวลาคับขันเช่นนี้ มือขวาที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เชื่อใจที่สุดอย่างแม่นางม่อย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่อยู่

อย่างไรก็ตาม นางไม่อยู่ ประตูสวนส้มปิดอยู่ โคมส้มจี๊ดที่แขวนอยู่ด้านหน้าก็ไม่ถูกจุด

หลัวหยางอ๋องหน้าซีดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ท่านอ๋อง เราจะไปไหนต่อ”

หลัวหยางอ๋องกัดฟันกล่าว “ไปวังหลวง แม่นางม่อต้องอยู่ที่นั่น”

……