ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 141 วาจาดุจโลหิต

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ครั้นผังลายจักรพรรดิถูกเปิดใช้และกองทัพใกล้มาถึง สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงและตกอยู่ในการควบคุมของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

นางยืนอยู่บนยอดเขาสุสานเทียนซู มองไปยังที่แห่งหนึ่งในจิงตูแล้วถาม “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”

นับจากยามที่ประมุขตระกูลชิวซานและผู้พิทักษ์เข้าสู่จิงตู พวกเขาก็เก็บตัวอยู่เงียบๆ ทำให้ผู้คนลืมการมีอยู่ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

ทว่าเมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวออกมาในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่อาจแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปได้

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลชิวซานของข้า”

ประมุขตระกูลชิวซานมองไปที่ยอดเขาสุสานเทียนซู ท่าทีนอบน้อมผิดปกติ “ฝ่าบาทรู้ว่าเรามายังจิงตูเพื่อเตรียมชื่นชมใบเฟิง”

ไม่มีใครเชื่อคำอธิบายนี้ มันช่างไร้ประสาจนถึงขั้นโง่เขลา

แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ต้องการแค่คำอธิบายเท่านั้น ต้องการดูท่าทีเท่านั้น

ประมุขตระกูลชิวซานมีท่าทีที่ตรงไปตรงมา ยิ่งเหตุผลโง่เขลาเท่าไร ก็ยิ่งตรงไปตรงมาเท่านั้น

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พึงพอใจอยู่เงียบๆ หันไปยังอีกสองที่ในจิงตู นางถาม “แล้วพวกเจ้าล่ะ มาชมใบเฟิงเหมือนกันหรือ”

รถม้าหยุดลงนอกประตูเฉียนชิง หญิงชราจากตระกูลมู่ท่ายืนอยู่ข้างรถ มือถือไม้เท้าหัวมังกร

เท้าหญิงชราถูกรัดจนเล็ก แต่ยืนหยัดอยู่บนถนนเหมือนตะปูสองตัว ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย ทว่าน้ำเสียงนางสั่นอยู่บ้าง

“ผู้ชราไม่ได้มาจิงตูนานแล้ว จึงได้ขึ้นเหนือมาดูสักหน่อย แล้วก็บังเอิญมีเรื่องอื่นที่จำเป็นต้องทำอีกด้วย จักรพรรดินีก็รู้ว่าหลานสะใภ้ข้าใกล้จะคลอดแล้ว”

ประตูเต๋อเซิ่งปิดสนิท ประมุขตระกูลอู๋ยืนตรงหน้าประตูอธิบายอย่างจริงจังไปทางสุสานเทียนซู “จักรพรรดินี อย่าได้เข้าใจผิด ข้ามาเยี่ยมลูกเขย”

พวกเขาก็มีคำอธิบายที่โง่เง่าเต่าตุ่นเช่นเดียวกัน แต่ต่างไปจากประมุขตระกูลชิวซาน พวกเขาล้วนพูดถึงคน

แม่เฒ่าตระกูลมู่ท่ากับประมุขตระกูลอู๋ได้ออกจากจิงตูไปในความมืด

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไม่ได้พูด นางกำลังคิดอะไรอยู่หรือ นางคิดว่าคำพูดของสองตระกูลนี้ไม่ตรงไปตรงมาพอ หรือนางคิดถึงตระกูลถัง สมาชิกหนึ่งเดียวของสี่ตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นกันแน่

แต่อย่างไรก็ไม่สำคัญ ต่อให้สี่ตระกูลใหญ่ประกาศอย่างชัดเจน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ในปัจจุบัน

นางไม่ได้สังหารเฉินฉางเซิง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินเขา เช่นนั้นไม่ว่ากับดักของนักพรตที่จัดวางอยู่ในความมืดมานานกว่ายี่สิบปีจะลึกล้ำเพียงใดก็ไม่มีผลต่อนาง

เมื่อผังลายจักรพรรดิถูกเปิดใช้ ปราณน่าเกรงขามก็แผ่คลุมไปทั่วจิงตู นอกจากนักพรตจี้รวมถึงหญิงชราตระกูลมู่ท่ากับประมุขตระกูลอู๋ที่ไม่กล้าก้าวเข้าสู่จิงตูแล้ว คนอื่นนั้นไม่อาจจากไปได้

แม้แต่ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้าสุสานเทียนซูก็ไม่อาจทำได้

ทหารม้าต้าโจวของนางกำลังเข้าสู่จิงตู

ในจิงตู มีขุนนางและขุนพลมากมายที่ภักดีต่อนาง

บทสรุปได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ในตอนนี้ต้องการเพียงแค่สัญญาณเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในจิงตู

เสียงนี้เบามากราวกับกำลังพูดกับตัวเอง แต่จากนั้นก็ค่อยๆ ดังขึ้นจนกลายเป็นคำถามที่แหลมคมอย่างยิ่ง ยังมีเสียงหัวเราะในคำถามนี้ เต็มไปด้วยความประชดประชัน แต่เวลาผ่านไปก็จะรู้สึกว่ามันเป็นการเย้ยหยันตัวเอง เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและยำเกรงต่อบางสิ่ง ในที่สุดทั้งหมดก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบ

เป็นเสียงความคิดอันซับซ้อน แต่ความจริงเป็นเพียงประโยคง่ายๆ ประโยคหนึ่ง

“เจ้าคิดว่าเจ้าชนะจริงหรือ”

ผู้พูดคือนักพรตจี้

เขายืนอยู่ตรงหน้าเขตการค้าที่ห่างไกลของจิงตู เท้าแช่อยู่ในน้ำที่ค่อนข้างสกปรก ร้านขายเนื้อแกะส่งกลิ่นคาวเลือดอยู่ด้านหลัง

ร้านขายเนื้อมักเป็นร้านแรกที่ตื่นขึ้นในตลาด ตอนนี้ใกล้เวลาเช้ามืด แสงไฟร้านขายเนื้อจึงสว่างขึ้นเป็นแห่งแรก

ฉับฉับฉับ เสียงสับเนื้อดังมาจากร้านขายเนื้อ

คนในร้านขายเนื้อไม่รู้ว่ามีรัศมีน่าหวาดหวั่นของผังลายจักรพรรดิพวยพุ่งขึ้นอยู่ไม่ไกล หรือรู้ว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่นอกร้านของพวกเขา

นักพรตจี้มองไปทางสุสานเทียนซูและถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ข้าคิดมาเสมอว่าคืนนี้ ข้าคือผู้ที่วางกับดักท่าน แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าไม่เป็นเช่นนั้น”

บนยอดสุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงมองดูภาพนี้ในความมืดและเห็นอาจารย์อยู่บนม่านแสง ใจเขายังคงงงงวยดังเช่นก่อน ทว่ายังมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้อีกด้วย

บางทีอาจเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา และได้ทำการเปลี่ยนชะตาให้เขาแล้ว

“แต่…นี่ก็ไม่ใช่กับดักของท่านเช่นกัน

“ข้าเป็นคนติดกับ และท่านก็ติดกับเช่นกัน นี่ก็ยังคงเป็นกับดัก

“ไม่ใช่กับดักที่ข้าวางไว้ หรือกับดักที่ท่านวางไว้ หากแต่เป็นกับดักที่วิถีสวรรค์วางไว้ให้กับท่าน

“มันคือกับดักวิถีสวรรค์”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดพวกนี้

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบอย่างเฉยชา “เจ้าก็เป็นเหมือนเคยเมื่อหลายร้อยปีก่อน ชอบพูดคำพูดลึกล้ำเข้าใจยาก แต่คนหลอกลวงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าคนหลอกลวง เจ้าอยากใช้คำพูดพวกนี้สั่นคลอนเจตจำนงของเราเช่นนั้นหรือ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากับดักวิถีสวรรค์ ก็แค่แผนเจ้าเล่ห์ที่เจ้าดีดลูกคิดขึ้นมา”

“ใช่แล้ว มันเป็นกับดักของข้า ฉะนั้นมันย่อมสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าท่านจะเลือกสังหารหรือกินเขา ข้าก็ได้เตรียมแผนรองรับเอาไว้แล้ว แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะเลือกช่วยชีวิตเขา เพราะข้าไม่คิดว่าหญิงใจดำเช่นท่านจะมีช่วงเวลาที่ใจอ่อนขึ้นมาได้ และข้ายิ่งคิดไม่ถึงว่าท่านเข้าสู่ขั้นอำพรางเทพแล้ว”

เสียงนักพรตจี้และเสียงสับเนื้อแกะที่ดังมาจากร้านขายเนื้อผสมปนเปกัน ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ฟังไม่ชัดแต่อย่างไร น้ำเสียงเขากลับชัดเจนอย่างมาก ดังก้องไปยังยอดเขาสุสานเทียนซู

นอกเหนือจากนี้ ในจิงตูก็ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินอีก

พระราชวังหลีเงียบงัน สุสานเทียนซูก็สงบนิ่ง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าสู่ขั้นอำพรางเทพแล้วเช่นนั้นหรือ

หลายคนคาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้วแต่คืนนี้พวกเขาก็ได้รับข้อพิสูจน์ในที่สุด ข่าวนี้จะทำให้ทั้งต้าลู่ต้องสั่นสะท้าน

“ท่านแข็งแกร่งมาก ต่อให้ท่านกินผลไม้ที่เรียกว่าเฉินฉางเซิงเข้าไป ต่อให้การลงทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากท้องฟ้าจริงๆ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะแน่ใจได้ว่าท่านจะบาดเจ็บไปจนถึงฐานราก”

เสียงนักพรตจี้ดังก้องไปในราตรี

ลมเย็นโบกผ่านยอดเขาสุสานเทียนซู พัดผมดำขลับของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ลอยขึ้น

เพียงยืนนิ่งๆ อยู่ที่แห่งนี้ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก นางก็เป็นเหมือนกับเทพมารแผ่กลิ่นอายอันไร้ผู้ต้านออกมา

ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงที่อยู่ใกล้ อู๋ฉยงปี้หรือกวนซิงเค่อที่ตีนเขาสุสานเทียนซู หรือนักบวชที่อยู่ริมลำธารห่างไปหมื่นลี้ พวกเขาล้วนมีความคิดที่คล้ายคลึงกัน ต่อให้วิถีสวรรค์เปลี่ยนไป ต่อให้ชะตาปั่นป่วน ต่อให้สายฟ้าฟาดใส่ร่างนาง นางก็ไม่สนแม้แต่น้อย

“มีสิ่งเดียวที่จะทำร้ายฐานรากของท่านได้ ทำให้ท่านอ่อนแอลง ก็คือตัวท่านเอง”

เสียงนักพรตจี้กอปรกับเสียงสับเนื้อจากร้านขายเนื้อฟังดูหยาบและโหดเหี้ยม

“ในสายตาท่าน เจตจำนงของท่านสำคัญยิ่งกว่า แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิถีสวรรค์ หากวิถีสวรรค์ต้องการให้เขาตาย ท่านก็จะยืนกรานให้เขามีชีวิตรอด ข้าต้องยอมรับว่าความมั่นใจของท่านนั้นมีค่าคู่ควรให้ชื่นชม แต่ท่านคิดหรือไม่ เมื่อท่านทำเรื่องไร้ผลอย่างให้เจตจำนงอยู่เหนือวิถีสวรรค์แล้ว วิถีสวรรค์จะตอบโต้กลับมาอย่างไร”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “เราไม่เคยมองว่าความเห็นของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ ต่อให้เป็นของท้องฟ้าพร่างดาวนี้ก็ตาม”

สุ้มเสียงนักพรตจี้เศร้าอย่างมาก “เหตุนั้น…ท่านจึงเลือกช่วยชีวิตเขา”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถาม “ถ้าข้าช่วยชีวิตเขาแล้วจะทำไม”

“ท่านแข็งแกร่งสมบูรณ์พร้อม เราไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่จะชนะ แต่คืนนี้ ท่านเลือกที่จะเปลี่ยนชะตาของเขา เชื่อว่าท่านต้องจ่ายให้กับเรื่องนี้ไปไม่น้อย”

น้ำเสียงนักพรตจี้เปลี่ยนเป็นเย็นชาและหนักแน่น “ยกตัวอย่างเช่น ระดับการบำเพ็ญเพียรของท่านลดลง และไม่ได้ไร้คู่ต่อสู้อีกต่อไป และนี่…ก็คือคำตอบของวิถีสวรรค์”

ครั้นได้ยินคำพูดนี้  ผู้คนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนอยู่ในความมืดก็เริ่มตื่นตระหนกพลางใคร่ครวญคำพูดนี้

ที่นักพรตจี้พูดเป็นจริงหรือไม่ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้จ่ายค่าตอบแทนอย่างมากมายมหาศาลเพื่อดึงเฉินฉางเซิงกลับคืนมาจากขอบเหวแห่งความตายเช่นนั้นหรือ

เฉินฉางเซิงมองหลังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ มองดูมือทั้งสองที่ไพล่อยู่ด้านหลัง ใจเขาก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง สีหน้าแสดงความสับสนอยู่บ้าง

สายลมเย็นพัดผ่านถนน แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและกลิ่นเลือด

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สุรเสียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง อย่างเย็นเยียบ กดขี่และยังแฝงไว้ด้วยความดูถูก

“เราต้องการจะทำอะไร คนธรรมดาอย่างพวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจ”

นางมองโลกที่หุ้มไว้ด้วยความมืดและกล่าว “เจตนาของเราไม่ใช่เรื่องที่สิ่งที่เรียกว่าวิถีสวรรค์จะเข้าใจได้”

นี่ไม่ใช่พูดอย่างกดขี่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความมั่นใจอย่างที่สุดเจืออยู่ในนั้น

นางไม่ได้ปฏิเสธคำพูดนักพรตจี้ ในการสร้างเส้นลมปราณของเฉินฉางเซิงขึ้นใหม่ โดยท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ต่อให้นางเข้าสู่ระดับอำพรางเทพแล้วก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย

หากเป็นเช่นนั้นความมั่นใจของนางในตอนนี้มาจากที่ไหนกัน

“ใช่แล้ว ข้าพูดผิดไป จักรพรรดินีท่านไม่ได้ยอมสละระดับการบำเพ็ญเพียร เพื่อช่วยเขาด้วยเหตุผลน่าขัน อย่างความรักความเมตตาที่มารดามีต่อบุตรหรอก”

นักพรตจี้ยืนอยู่กลางสายฝน กล่าวอย่างใจเย็นไปยังยอดเขาสุสานเทียนซู “ท่านต้องการจะใช้การกระทำนี้ต่อต้านคำสาบานเลือดที่ท่านได้เอ่นสัตย์ไว้ ตอนบูชายัญต่อท้องฟ้าพร่างดาว ต้องการจะชะล้างเงามืดในใจที่เกิดจากคำว่า ‘ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา’ มีเพียงทางนี้เท่านั้นท่านจึงจะมีโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับมหาอิสระได้”

บทสนทนาง่ายๆ สั้นๆ นี้มิใช่สิ่งที่ใครก็เข้าใจได้

มีแต่จูลั่วกับยอดฝีมือในระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ไม่ก็ยอดฝีมือที่เกือบจะก้าวข้ามด่านเท่านั้นจึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้ได้

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เป็นยอดฝีมือในต้าลู่ยุคนี้ มีเจตจำนงที่แข็งแกร่งเหนือจินตนาการ

จุดอ่อนเดียวของนางก็คือช่องว่างในใจ พูดให้ชัดก็คือ คำสาบานที่นางให้ไว้กับท้องฟ้าพร่างดาวเพื่อที่จะท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

นี่ไม่ใช่ตัวคำสาบานเอง หากแต่เป็นการให้คำสาบาน เฉกเช่นที่นางกล่าวกับเฉินฉางเซิง นางในตอนนั้นเคยก้มหัวให้วิถีสวรรค์แล้วครั้งหนึ่ง

ที่นางต้องการจะทำก็คือชำระเรื่องเก่าในอดีต เพื่อกำจัดฝุ่นผงในใจนางทิ้งไป

นางต้องการให้เฉินฉางเซิงมีชีวิตต่อไป

หากนางทำเช่นนี้ได้ นางก็จะลุความสมบูรณ์ ไม่มีจุดอ่อนอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ต่อให้นางต้องสละระดับการบำเพ็ญเพียรจากระดับอำพรางเทพมาเป็นนักปราชญ์ นางก็ยังไร้เทียมทาน!

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ตอบ “เจ้าคิดมากไปแล้วและก็พูดมากไปด้วย ทำเช่นนี้เจ้ามีแต่จะน่าเบื่อลงเรื่อยๆ เท่านั้น”

นักพรตจี้ตอบ “เช่นนั้นหรือ แล้วถ้าหากข้าบอกว่าเฉินฉางเซิงไม่ใช่บุตรจักรพรรดิเล่า นี่จะฟังดูน่าสนใจขึ้นหรือไม่”

เสียงเขาสงบไร้อารมณ์ จึงทำให้ฟังดูโหดเหี้ยมผิดธรรมดา

ในห้องที่ลึกที่สุดของร้านขายเนื้อริมถนน มีดหนาที่ชุ่มด้วยน้ำมันสับลงบนเขียงอย่างหนัก เชือดแกะอย่างต่อเนื่อง เลือดสาดกระจายไปทั่ว

……