ทั้งสุสานเทียนซูและถนนในจิงตูจมอยู่ในความเงียบงัน
หลายคนตกตะลึง อ้าปากค้าง ไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็เชื่อว่าตนได้ยินผิดไป บางทีเสียงลมอาจพลันดังขึ้น ทำให้พวกเขาได้ยินไม่ถนัดกระมัง
ดวงเนตรจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่งามยิ่งนัก สุกกาวราวดาวเดือน ดุจดั่งดวงตาหงส์สวรรค์
ประกายแสงแวบขึ้นบนดวงตานาง ความคิดของนางกำลังทำงาน
นางมองไปที่บางจุดในสุสานเทียนซู ไม่เข้าใจชัดเจนนัก แต่ก็เห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ ยังอยู่ตรงนั้นมาตลอด อยู่ในที่แห่งนั้นเสมอมา
เปรี้ยง! สายฟ้าหนาเท่าต้นไม้หลายสายฟาดลงมาจากท้องฟ้าราตรี ฟาดลงรอบยอดเขาสุสานเทียนซู เผยให้เห็นรายละเอียดอันชัดเจนหาใดเปรียบ
เมฆดำด้านบนม้วนวนรุนแรง บิดเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งว่ามีมังกรนับไม่ถ้วนกำลังรัดสู้กันอยู่ ประดุจดังสวรรค์อันลึกลับได้เริ่มเคลื่อนไหว และเจตจำนงสวรรค์ก็กำลังจะร่วงลงมา
ปราณอันบางเบาอย่างมากซึมออกมาจากร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ลอยขึ้นทะลวงไปยังชั้นเมฆ กลับเข้าสู่ส่วนลึกของฟ้ากว้างที่ไม่อาจมองดูได้ด้วยตาเปล่า
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร่างดาว สีหน้าเฉยชาไม่มีแม้แต่คำเดียวที่หลุดออกมาจากปากนาง
……
……
“หมายความว่าอย่างไร”
“เฉินฉางเซิงไม่ใช่บุตรจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับจักรพรรดิเซียนอย่างนั้นหรือ”
“เขาไม่ใช่รัชทายาทเจาหมิงหรอกหรือ”
ทั่วทั้งจิงตูตกอยู่ในสภาพตกใจอย่างที่สุดด้วยคำพูดของนักพตรจี้
ตอนที่เริ่มมีข่าวลือแพร่ไปเมื่อปีก่อน หลายคนไม่เชื่อเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม มีหลายอย่างเกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ผู้คนต้องเชื่อ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทีของนิกายหลวงกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เพื่อเขาแล้ว วังหลวงกับนิกายหลวงเกิดความขัดแย้งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สองฝ่ายถึงขนาดตัดสินใจลงมือตัดสินกันในคืนนี้ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไม่ลังเลที่จะลดระดับการบำเพ็ญเพียรลงเพื่อช่วยเขาท้าลิขิตพลิกโชคชะตา เพื่อที่นางจะได้ทำลายคำสาบานที่นางเคยให้ไว้ และทำให้ดวงจิตของนางสมบูรณ์ ทว่าหากเขาไม่ใช่รัชทายาทเจาหมิง แล้วการกระทำของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ไร้ความหมายหรอกหรือ
คนที่ตกใจที่สุดย่อมเป็นเฉินฉางเซิง
เขาดึงเอาความแข็งแกร่งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน ฝืนยืนขึ้น ใช้ฝักกระบี่ยันกายและมองไปยังจิงตูที่มืดมิด
ปรารถนาจะรู้ว่าอาจารย์อยู่ที่ไหน อยากรู้ว่าคำพูดพวกนี้หมายความว่าอย่างไร
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หันกลับมา หรือให้ความสนใจกับเขา
ความเงียบลอยอยู่เหนือโลก เหมือนจะยาวนานไร้สิ้นสุด
ใบหน้าเขาขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเยาว์วัยและซื่อสัตย์เปี่ยมด้วยความขุ่นข้อง
เป็นเรื่องจริงหรือ
เป็นการหลอกลวงตลอดมา
เขาพลันประจักษ์
ใช่แล้ว ทุกอย่างเป็นสิ่งลวง
ยามเมื่อผิดกลับกลายเป็นถูก ถูกก็จะกลายเป็นผิด
อาจารย์สร้างคำลวงมากมาย ล่อหลอกคนทั้งโลก
แม้แต่เขากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ถูกหลอก
คัมภีร์กาลเวลาอาจจะบิดเบือนเวลาได้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเวลานั้นจะอยู่บนร่างของเขา
สารานุกรมซีหลิวก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้ แต่ก็ไม่อาจหยุดแม่น้ำไม่ให้ไหลสู่ประจิม
……
……
ในเวลาสั้นๆ เฉินฉางเซิงเข้าใจเรื่องราวมากมาย อาจเข้าใจทุกอย่าง
เรื่องที่เขาเคยสับสน ถังซานสือลิ่วกับสวีโหย่วหรงก็สับสน ทำให้ทั้งสามมีความกังวลบางอย่างร่วมกัน
ใช่แล้ว หากเขาเป็นรัชทายาทเจาหมิงจริง ทำไมอาจารย์ถึงได้ให้เขามายังจิงตูและปรากฏตัวต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
สองปีครึ่งที่ผ่านมา วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ เขาได้จากเมืองซีหนิงมายังจิงตู
เขายุติการหมั้นไม่สำเร็จ ไม่อาจสอบเข้าสำนักไม้เลื้อยใดได้เลย สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่สำนักฝึกหลวงที่ถูกละทิ้ง ไม่เกี่ยวว่าสังฆราชรู้สถานการณ์หรือไม่ในตอนนั้น หรือม่ออวี่ได้จดหมายหรือไม่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเข้าสำนักฝึกหลวง เพราะอาจารย์เป็นอดีตเจ้าสำนักฝึกหลวงคนก่อน และการที่เขาเข้าสำนักฝึกหลวงก็จะทำให้เชื่อมโยงเขากับข้อเท็จจริงนี้ได้ง่ายขึ้น
ในตอนแรก สังฆราชรู้เรื่องนี้หรือไม่ อาจจะไม่ แล้วมุขนายกเหมยลี่ซาเล่า น่าจะรู้
มุขนายกชรานั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยดอกเหมยในสำนักการศึกษากลาง ต้านทานพายุให้กับสำนักฝึกหลวง ปูทางให้เฉินฉางเซิง เขาช่วยเฉินฉางเซิงให้เติบโตและสุกงอมด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ บนถนนเสิน เขาได้ประกาศในนามเฉินฉางเซิงว่าเฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่ง เขาให้เฉินฉางเซิงยืนเด่นต่อหน้าฝูงชน ได้สัมผัสถึงความรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัดหลังจากได้รับชัยชนะมาอย่างยากลำบาก
ทั้งหมดนี้ล้วนมีเป้าหมายอยู่ที่การทำให้เขาเจิดจ้ามากขึ้น ทำให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พบเขาและสนใจเขา สงสัยเขาและตรวจสอบเขาเร็วขึ้น
เพราะเขาคือเฉินฉางเซิง สมาชิกผู้สืบทอดที่ถูกต้องของนิกายหลวง เจ้าสำนักฝึกหลวง ผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญตน ผู้สืบทอดนิกายหลวง รัชทายาทเจาหมิง
แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหลอกลวง
เขาไม่ใช่สิ่งใดเลย
เขาเป็นแค่ผลไม้
เป็นแค่ผลไม้ลูกหนึ่งเท่านั้นเอง
เป็นผลไม้ที่มีพิษตามธรรมชาติ
นับตั้งแต่เขาเกิดมา ชะตาก็กำหนดชีวิตเขาเอาไว้แล้ว ว่าให้สุกแล้วถูกกิน
นี่คือชะตากรรมของเขา
เมื่อเวลาผ่านไปชะตาของเขามาถึงบทสรุปในที่สุด ผู้สืบทอดที่แท้จริงของต้าโจวก็จะก้าวขึ้นมาบนเวทีและรับทั้งหมดไป
คนผู้นั้นคือใคร อาจารย์? สังฆราช? หรือ…รัชทายาทเจาหมิงตัวจริง?
ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงควรรู้สึกเศร้า ทว่าเขาไม่รู้สึกเช่นนั้น
เขาด้านชาไปแล้ว
ตามองดูโลกเบื้องล่างสุสานเทียนซูอย่างงงงัน
หากทั้งหมดเป็นเรื่องลวง แล้วอะไรคือเรื่องจริง
ทันใดนั้น เขาก็เต็มตื้นด้วยความรู้สึกโหยหาวัดเก่าเมืองซีหนิงอย่างล้ำลึก คิดย้อนกลับไป แสร้งว่าเขาไม่เคยมาจิงตู ว่าเขายังคงนั่งอยู่ริมลำธารคู่กับศิษย์พี่กำลังท่องจำคัมภีร์…
ศิษย์พี่…เขารู้เรื่องพวกนี้หรือเปล่า
……
……
ในที่สุด คนมากมาย รวมถึงสิบห้าอ๋องสกุลเฉินที่บุกเข้ามาในจิงตูผ่านความมืด ก็เริ่มมีปฏิกิริยา และตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
แม้ยังอยู่ในความตกใจ พวกเขาก็เริ่มครุ่นคิดว่าเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ และจะส่งผลอย่างไรต่อโลกนี้ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มคิดถึงคำถามหนึ่งที่สำคัญมาก
ในเมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ลุความสมบูรณ์ รัชทายาทเจาหมิงย่อมต้องมีชีวิตอยู่ หากเฉินฉางเซิงไม่ใช่เขา แล้วรัชทายาทเจาหมิงตัวจริงอยู่ที่ไหน
ข่าวน่าตกใจนี้แพร่กระจายออกไปอย่ารวดเร็วกว่าความเร็วของอินทรีแดงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
บนถนนจากลั่วหยางสู่จิงตู เซียงอ๋องร่างอ้วนฉุพลันกระโดดขึ้นจากพื้นแล้วส่งเสียงตะโกนไปทางจิงตู
ไม่มีใครรู้ชัดว่าเขาตะโกนด่าใครกันแน่ นักพรตจี้หรือเฉินฉางเซิง แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามั่นใจว่าไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ด่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
จากนั้นเขาก็หอบหายใจและเดินกลับเข้าไปในราชรถ กล่าวว่า “หลังจากเข้าสู่จิงตู เราจะสืบว่าน้องผู้น่าสงสารของข้าอยู่ที่ไหน”
ในคลองจากเจียงหนานมาจิงตู จงซานอ๋องออกคำสั่งคล้ายคลึงกันนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เขาพูดชัดเจนกว่าเซียงอ๋อง
“หากเราลอบสังหารเขาได้ ก็สังหารเขา หากทำไม่ได้ ก็ช่วยให้อ๋องผู้นี้ได้เป็นคนแรกที่ได้แสดงความภักดีและมอบตัวเราไว้ในมือของเขา”
อ๋องหลายคนก็มีความคิดเช่นเดียวกันนี้
เซียงอ๋องเลิกม่านราชรถขึ้นแล้วมองไปทางจิงตู
จงซานอ๋องยืนอยู่ที่หัวเรือมองไปทางจิงตู
พวกเขามองไม่เห็นภาพบนยอดเขาสุสานเทียนซู แต่กลับรู้สึกว่ามองเห็น
แม้แต่อ๋องที่โหดเหี้ยมที่สุดทั้งสองก็ยังรู้ว่าเฉินฉางเซิงที่น่าอนาถจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าเจ้าสำนักซางน่ากลัวอย่างที่สุด
……
……
เมฆได้กระจายไปอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงค้นไปในความมืดมองหาร่างของอาจารย์ ทว่าความพยายามของเขาไร้ผล เขาก้มหน้าลงช้าๆ หยดน้ำฝนไหลลงมาตามผมที่เปียกโชกช้าๆ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปยังดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กล่าวออกมาห้าคำ
“เป็นเช่นนี้สินะ”
จากนั้นนางก็ละสายตามามองไปที่จิงตูอันมืดมิด เสียงเย้ยหยันของนางดังขึ้นอีกสามคำ
“แล้วจะทำไม”
……