GGS:บทที่ 1057 บ้าคลั่ง
เอี้ยป๋อ โจวซือเซียนและผู้ติดตามคนอื่นๆต่างก็จ้องมองไปยังต้นไม้ต้นอื่นที่ซูจิ้งนำมา หลังจากจ้องมองอยู่นาน เอี้ยป๋อก็ได้จับจ้องไปที่ต้นไม้ต้นเล็กๆต้นหนึ่งเป็นพิเศษ
ลำต้นของมันเล็กมากราวกับว่าที่มันเล็กเพราะอยากให้สังเกตที่ใบคู่ตรงยอดของมันเป็นพิเศษ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างแปลกตาเลยทีเดียว
นั่นก็เพราะอย่างแรก มันมีลำต้นที่แตกแขนงออกมาฐานรากอยู่สี่ต้น แต่ละต้นก็มีกิ่งก้านแยกออกไปอีกหลายกิ่ง แต่ละกิ่งมีใบที่มองไม่ออกว่าจะเรียกว่าใบหรือกิ่งก้านสาขาของมันดีเหมือนกัน
เอี้ยป๋อจ้องมองอยู่นานจึงถึงชั่วขณะหนึ่งเขาก็สะดุ้งเฮือกแล้วพูดออกมาว่า “ฉันนึกออกแล้ว เจ้าต้นนี้สมควรจะเป็นไม้ผิวมันที่อยู่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัสจนถึงช่วงเพอร์เมียน”
“ห้ะ แน่ใจเหรอ” โจวซือเซียนตกใจที่ได้ยินจนสะดุ้งเฮือกและได้ถามออกมา
“คือรูปลักษณ์มันก็ตรงตามข้อมูลที่มีล่ะนะ แต่จะถามว่าแน่ใจรึเปล่าฉันก็ไม่สามารถยืนยันได้หรอก แต่แค่มันตรงตามข้อมูลนี่ก็มหัศจรรย์มากแล้วนะ” เอี้ยป๋อที่พูดออกมาแบบนี้นั่นก็เพราะว่าอายุของมันนั้นเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านปีก่อนเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าต้นไปผิวมันนี่สมควรจะอยู่ในยุคสองร้อยล้านปีก่อนเป็นอย่างน้อย
พวกเขาได้ลองหาภาพฟอสซิลของต้นไม้ผิวมันที่เป็นฟอซซิลมาดูก็พบว่ามันมีความเหมือนกันอย่างมาก เหมือนชนิดที่ว่าไม่ว่ามองยังไงก็ต้องมองว่ามันเป็นต้นไม้สายพันธุ์เดียวกัน
ต้นไม้ที่อยู่ต่อหน้าเขานี้คือต้นไม้ที่อยู่ยุคคาร์บอนิเฟอรัสจนและยุคเพอร์เมียนนอกจากอายุจะเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านปีแล้วยังบอกได้อีกว่ามันอยู่มาก่อนยุคไดโนเสาร์ซะอีก
“อาจารย์ครับ นั่นมันต้นมะพร้าวเต่ารึเปล่า” ชายหนุ่มคนหนึ่งชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ลักษณะโดยทั่วไปของมันนั้นเหมือนต้นปรงปกทั่วไป ลำต้นของมันนั้นเป็นป้อมใหญ่ๆ มีเส้นก้านใบที่เข็งเรียวยาวและมีใบที่แข็งและเรียงตัวกันเป็นซี่ๆอย่างสวยงาม และส่วนยอดต้นนั้นมีเมล็ดของพวกมันอย่างเห็นได้ชัด หากมองดูแล้วก็แทบไม่ต่างจากไม้ตระกูลปรงทั่วไปเลย จะมีต่างกันก็ตรงที่ใบบนก้านของมันแต่ละก้านมีสองชั้น และมีตุ่มๆที่ห้อยลงมา
“ใช่รึ” เอี้ยป๋อที่ได้ยินดังนั้นก็ได้สำรวจต้นที่ว่าในทันที ไม่นานเขาก็พูดขึ้นมาว่า “วูน้อยนี่ช่างสังเกตจริงๆ เท่าที่ดูแล้วมันคือมะพร้าวเต่าจริงๆ”
“ก่อนหน้านี้ฉันก็ว่าใช่เหมือนกันนะ แต่ฉันแค่คิดว่าแค่เหตุบังเอิญเท่านั้น” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งได้พูดออกมาพลางเกาหัวตัวเอง
ชายหนุ่มคนนั้นได้เปิดสมาร์ทโฟนตัวเองก่อนที่จะอ่อนข้อมูลที่ปรากฏออกมาว่า “ในเดือนสิงหาคมปี 2012 ตวนเว่ยที่เป็นนักธรณีวิทยาได้ค้นพบและเก็บฟอซซิลของพืชยุคจูแรสซิคตอนต้นมาได้จำนวนหนึ่ง ในแถบดาเป็งเพนิซูลาที่อยู่เชินเจิ้น
ฟอซซิลดังกล่าวมีอายุอยู่ที่ 180-200ล้านปี ในหมู่ฟอสซิลเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วอยู่ในสกุลซิมบิเดียมบิวนิซิ
รูปร่างของมันนั้นเป็นพวกพืชใบเลี้ยงเดียว มีดอกที่รูปล่างคล้ายปากอ้า ขนาดของมันอยู่ที่ประมาณ 5 x 3.5 เซนติเมตร
สภาพโดยรวมของมันแล้วแสดงให้เห็นว่ามีโครงสร้างเป็นดอกที่สมบูรณ์ หลังจากที่มอบฟอสซิลนี้ให้นักธรณีแห่งสถาบันปฐพีและพืชพรรณแห่งเมืองหนานจิ้งตรวจสอบดูก็พบว่าพวกมันมีอายุกว่าสองร้อยล้านปี”
ทุกคนที่เห็นชายหนุ่มคนนี้เปิดสมาร์ทโฟนขึ้นมานั้นต่างก็คิดว่าเขานั้นต้องการที่จะบอกข้อมูลเพื่อยินยันสมมติฐานของเสี่ยวหวู่ แต่กลายเป็นว่าเขากลับบอกข้อมูลของไม้อีกต้นขึ้นมาแทน
“พระเจ้า ต้นนี้สมควรจะเป็นต้นโตเลซโกที่พบอยู่ในช่วงทราสซิคตอนปลายแถวยูเคลน และอยู่ในยุคครีตาเซียสตอนต้นที่เคยผมที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแน่ๆ”
“ต้นนี้เองก็สมควรจะเป็นเฟรินโบราณ(มะพร้าวเตา)ที่พบในช่วงปลายยุคดีโวเนียนและมีเยอะที่สุดในยุคคาร์โบนิเฟเรียสและยุคเปอร์เมียน และค่อยๆลดลงในยุคเมโสโซอิคและสูญพันธุ์ไปในยุคครีเตเซียส”
“นี่มันคือเฟร์นโบราณ ไม่สิต้นกำเนิดแห่งเฟรินแน่ๆ มันมีกิ่งก้านใบเลี้ยงอย่างเดียวและไม่มีใบและรากเลย นี่แสดงว่ามันอยู่ในยุคสี่ร้อยล้านปีก่อน”
แค่พืชต้นหนึ่งที่มีอายุกว่าร้อยล้านปีนั้นก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนตกใจจนชาชินได้แล้ว นั่นก็เพราะมันเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
แต่ต่อหน้าพวกเขาที่เปรียบได้ดั่งตกอยู่ในความฝันอย่างมาก นั่นก็เพราะมีพืชที่สูญพันธุ์ไปแล้วหลายต้น และที่อายุมากที่สุดก็คือสี่ร้อยล้านปี เรียกได้ว่าสายพันธุ์ของมันนั้นยืนยาวข้ามผ่านมาตั้งแต่โบราณกาลเลยทีเดียว
“อาจิ้ง นายไปได้พืชพวกนี้มาจากไหนกันแน่ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่างน้อยๆก็บอกกันหน่อยว่านายเป็นใครกันแน่” เอี้ยป๋อในตอนนี้พูดออกมาในขณะที่ตื่นเต้นจนปากสั่นไปหมดแล้ว
“อาจิ้ง นายคือตัวตนที่อยู่ในหนังเรื่องนั้นใช่รึเปล่า เรื่อง The Man from Earth (คนอมตะฝ่าหมื่นปี) ไม่สิ นายต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตข้ามผ่านยุคโบราณกาลนั้นมาแน่นอนใช่ไม๊ ต่อให้นายบอกมาว่าใช่ฉันก็จะไม่แปลกใจเลยสักนิดล่ะนะ” ฌจวซือเซียนเองพูดออกมาอย่างจริงใจ
“เฮ้เฮ้เฮ้ นี่คิดกันไปถึงไหนเนี่ย” ซูจิ้งทำตัวไม่ถูกเลยในทันทีที่ได้ยินคำถามของทั้งสองคน เขาเองก็อ่านนิยายมาไม่น้อยเหมือนกันจึงทำให้มีความคิดที่มากมายและหลากหลายแนวทาง
แต่เมื่อมาเจอคนที่ใช้แนวคิดทางนวนิยายกับตัวเขาเองแบบนี้ทำให้เขาทำตัวไม่เป็นเช่นเดียวกัน ยังดีหน่อยตรงที่ว่าความคิดของทั้งสองคนนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริงทำให้เขานั้นไม่จำเป็นต้องโกหกแต่อย่างใด
“คุณซู นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำมันคุณถึงได้ครอบครองทั้งสัตว์และพืชที่สูญพันธุ์แบบนี้ได้กันล่ะ” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งได้พูดออกมา
“เรื่องนี้เป็นความลับจริงๆ ผมขอไม่พูดก็แล้วกัน” ซูจิ้งไม่สามารถบอกความจริงได้จริงๆ เพราะไม่ว่ายังไงเขาพูดออกไปมันก็ดูเหมือนเรื่องโกหกอยู่ดี หากเป็นอย่างนั้นแล้วเขาเลือกที่จะไม่บอกอะไรเลยดีกว่า
ทุกคนที่เห็นดังนั้นก็มีท่าทีที่ทำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะหากซูจิ้งไม่ยอมบอก พวกเขาก็ไม่มีทางเลยที่จะเค้นมาได้
เอี้ยป๋อและโจวซือเซียน ทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะขอนำต้นไม้ต้นหนึ่งของแต่ละสายพันธุ์ไปศึกษา แน่นอนว่าซูจิ้งย่อมยินดีอย่างยิ่ง เพราะหากว่าเก็บพวกมันไว้กับเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
หากว่าพวกเขานำไปศึกษาล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมทำให้เกิดผลบางอย่างบนโลก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
เอี้ยป๋อและโจวซือเซียนได้รีบจากไปทันทีที่ได้ต้นไม้ไป แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้กับทั้งสองแล้วไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด นี่ทำให้ข่าวนี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นที่พูดถึงกันอีกครั้ง
“พระเจ้าเถอะ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”
“นั่นสิ ไม่เพียงแค่สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปกว่าร้อยปียังกลับมามีชีวิตอยู่ได้ แม้แต่ต้นไม้ที่อายุนับร้อยล้านปีก็ยังพบว่ามีชีวิตอยู่”
“ฉันได้ยินมาว่าต้นไม้ที่พวกเขาเจอนั้นเป็นอาหารของได้โนเสาร์มากก่อน ยกตัวอย่างเช่นต้นมะพร้าวเต่านั่นเองก็สมควรเป็นอาหารของไดโนเสาร์ที่ชื่อว่าสเตโกซอรัส”
“ไม่จริงหน้า ต้นไม้ในยุคนั้นไม่ได้เหลือแค่ฟอซซิลงั้นเหรอ”
“ฉันอยากเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ฉันอยากจะรู้นักว่าอาหารของไดโนเสาร์จะมีหน้าตาเป็นยังไง”
“ฉันว่าซูจิ้งต้องพัฒนาเทคโนโลยีการโคลนนิ่งจนถึงระดับสูงได้แล้วแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะมีสายพันธุ์ที่สาบสูญมากมายได้ยังไง”
“หากเป็นอย่างนั้นจริง นี่ไม่ใช่หมายความว่าซูจิ้งสามารถจะชุบชีวิตไดโนเสาร์ได้และอาจสร้างจูแลสสิคปาร์คได้จริงๆหรอกเหรอ”
“ฉันว่าเป็นไปได้นะ”
“ฉันว่านายคิดเวอร์ไปแล้วนะ ฉันว่าตอนนี้เขายังไม่ไปถึงระดับหนังนั่นได้หรอก อย่างมากเขาก็อาจจะเจอวัตถุโบราณบางอย่างแบบตอนที่เขาเจอวัตถุโบราณจากแอตแลนติสก่อนหน้านี้ เขาจึงแบ่งออกมาเพื่อสร้างชื่อเสียงแบบนี้”
“ใครที่เห็นด้วยกับบรรทัดบนนี่แหล่ะที่เวอร์วัง”
ด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างกันนี้ทำให้เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งและชาวเน็ตต่างก็พูดคุยกันอย่างเมามัน และด้วยเหตุนี้ทำให้ชื่อเสียงของสวนสัตว์จองหยุนเองยิ่งดังขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของพืชพันธุ์ในยุคโบราณกาลที่สร้างชื่อเสียงให้กับที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยิ่งทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้นทบๆกันไป
เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งระดับต่ำและสูงของในและต่างประเทศที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี โดยเฉพาะนักวิจัยชาวต่างชาติที่ร้องขอเข้าร่วมการวิจัยอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่านี่เป็นความตื่นเต้นในระดับโลกอย่างแท้จริง
“ลูกพี่จ้าว ซูจิ้งทำเรื่องอีกแล้ว” เฉิงหนานได้รีบเข้ามาบอกข่าวกับหวังจ้าวในทันทีที่รู้ข่าว
“โอ้…หมอนั่นทำอะไรอีกล่ะเนี่ย นึกว่าหมดแล้วซะอีก” หวังจ้าวที่ได้ยินคำนี้เขาใช้มือนวดหน้าผากของตัวเองในทันที
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าทุกสิ่งที่ซูจิ้งทำนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลดีต่อพวกเขาและไม่ค่อยจะมีอันตรายที่แอบแฝงมา พวกเขานั้นย่อมยินดีที่จะรับไว้ แต่หากบ่อยครั้งนัก พวกเขาเองก็มักจะเตรียมไม่ค่อยทันกันเสมอ
“พูดยากค่ะ พี่คงต้องดูเองแล้วล่ะ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะส่งข้อมูลให้หวังจ้าวดู
หวังจ้าวในตอนนี้กำลังจ้องมองจ้อมูลที่กล่าวถึงสายพันธุ์ของพืชที่สูญพันธุ์ไปกว่า หนึ่งร้อยล้านปี สองร้อยล้าน สามร้อยล้านปี และสี่ร้อยล้านปี
นี่ทำให้หวังจ้าวรู้สึกหัวหมุนในทันทีเสียไม่ได้ และบังเกิดความรู้สึกที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีในทันที ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ฉันรู้สึกแล้วจริงๆนะเนี่ยว่าหมอนั่นจะต้องทำฟ้าถล่มลงมาไม่สักวันใดก็วันหนึ่ง ช่างเหอะ เธอก็ไปจัดการประชาสัมพันธ์ต่อก็แล้วกัน”
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าซูจิ้งต้องการทำอะไรนั้น ในฐานะที่เขาเป็นประธานของกลุ่ม เขาจะคอยทำหน้าที่ในการควบคุมผลลัพท์และช่วยเกื้อหนุนซูจิ้งอยู่ตลอด
และเรื่องในครั้งนี้เองก็ทำให้ชื่อเสียงของกลุ่มทุนห้วงเวลาและอวกาศเป็นที่รู้จักมากกว่าซูจิ้งเสียอีก และยิ่งชื่อเสียงของกลุ่มทุนมากเท่าไหร่ ผลิตพันธุ์ของพวกเขาเองก็ยิ่งขายดีขึ้นมากเท่านั้น
ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงต่างก็ได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นเดียวกัน ตอนแรกพวกเขานั้นต่างก็คิดหาร่องรอยว่าซูจิ้งไปหาสัตว์สูญพันธุ์เหล่นั้นมาจากที่ไหนแต่ก็ไม่พบ
มาตอนนี้ที่ได้ยินเกี่ยวพืชที่สูญพันธุ์ไปแล้วก็ทำให้พวกเขาต้องนิ่งเงียบไปนานจนทำอะไรไม่ถูกและพูดไม่ออกเลยสักคำ