หานอู่รีบมุ่งหน้าไปยังภูเขาฟีนิกซ์ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เขาจะทำได้
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เนื่องจากข่าวการปรากฏตัวของผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยอยู่ในยุคโบราณนั้นสำคัญเกินไป มันมีผลต่อสมดุลอำนาจในภูเขาฟีนิกซ์และกระทบต่อแผนการของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง
เมื่อหานอู่ไปถึงภูเขาฟีนิกซ์ สิ่งแรกที่เขาทำคือรีบมุ่งตรงไปหาชิวไป๋หยู ผู้อาวุโสกิจการภายนอกแห่งภูเขาฟีนิกซ์
ชิวไป๋หยูถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หืม? ไม่ใช่ว่าเจ้าเพิ่งกลับไปไม่ใช่เหรอ? เจ้ากลับมาทำไมอีกรอบ?”
“ผู้อาวุโส เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” หานอู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล
ชิวไป๋หยูเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรเกิดขึ้น? ทำไมเจ้าต้องทำหน้าเหมือนกับฟ้าถล่มแบบนี้?”
หานอู่รีบพูดขึ้นทันที “ก็เรื่องเกี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลเสี่ยวที่ท่านดูแล้วว่าพวกนางไม่มีรายชื่ออยู่ในชนชั้นสูงนั่นแหละท่านผู้อาวุโส สรุปแล้วพวกนางได้รับการอนุญาตจากตัวตนอาวุโสคนหนึ่งของภูเขาฟีนิกซ์ให้กลายเป็นชนชั้นสูง”
ชิวไป๋หยูเย้ยหยัน “ไร้สาระ ใครกันที่กล้าแอบอ้างเป็นผู้อาวุโส? หรือต่อให้เป็นผู้อาวุโสจริง มันก็ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนที่มีอำนาจพอที่จะอนุญาตใครก็ได้ให้เข้าร่วมกับชนชั้นสูงได้ง่าย ๆ ด้วยปากเปล่า”
“แต่ตัวตนของผู้อาวุโสคนนี้ดูแล้วไม่น่าจะธรรมดา!” หานอู่พูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ที่ข้าและท่านเจ้าเมืองหานนำทัพไปจับกุมตัวสองพี่น้องตระกูลเสี่ยว ผู้อาวุโสคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมาและใช้พลังเพลิงที่ออกมาจากสายเลือดของนางข่มพวกเราไว้จนถึงจุดที่พวกเราไม่อาจขยับตัวได้เลย จากนั้นนางก็เป็นคนพูดเองว่าสองพี่น้องตระกูลเสี่ยวจะต้องได้เป็นชนชั้นสูงตามที่นางสั่ง”
สีหน้าของชิวไป๋หยูเริ่มเปลี่ยนเป็นตึงเครียดเมื่อฟังถึงจุดนี้ “เจ้าแน่ใจเหรอ?”
“ผู้อาวุโส ข้าเองก็อยู่ที่นั่นด้วยข้าแน่ใจแน่นอน ในตอนนั้นที่ผู้อาวุโสคนนั้นปรากฏทั้งข้าและคนอื่น ๆ ทุกคนไม่อาจขยับตัวได้เลย!” หานอู่ตอบกลับทันที
ชิวไป๋หยูขมวดคิ้วและพูดขึ้น “เล่ามาให้ข้าฟังทุกอย่างแบบละเอียด ห้ามมีอะไรตกหล่น!”
หานอู่รีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาเผชิญมาทั้งหมดทันทีโดยไม่มีอะไรตกหล่นถึงการปรากฏตัวของหลิงไช่หยุน
เมื่อฟังจนจบ ชิวไป๋หยูก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “เป็นนาง? นี่นางกลับมาแล้วงั้นเหรอ?”
“ผู้อาวุโส นางเป็นใครกันเหรอ?” หานอู่เอ่ยถามขึ้น
“นางคือตัวตนยุคก่อนของภูเขาฟีนิกซ์เรา จื้อซุน และนางยังมีฉายาว่า ราชันสงคราม นางเป็นผู้หญิงที่บ้าสงครามเป็นอย่างมาก ในบันทึกที่ข้าเคยอ่าน นางคือตัวตนที่มีความแข็งแกร่งที่สุดของพวกเราในยุคนั้นแต่ด้วยความกระหายสงครามของนางมันจึงทำให้นางพบกับจุดจบ ข้าไม่นึกเลยจริง ๆ ว่านังผู้หญิงบ้าในอดีตจะกลับมาเกิดใหม่แถมยังโผล่มาในช่วงเวลานี้อีก ไม่ได้ พวกเราจะปล่อยให้นางกลับมาที่ภูเขาฟีนิกซ์ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนบ้าอย่างนางจะต้องรวมกำลังพลและเตรียมทำสงครามเหมือนเดิมแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นแผนการทุกอย่างของพวกเราคงถูกพบเจอแน่!” ชิวไป๋หยูพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
เมื่อไหร่ที่ราชันสงครามกลับมาถึงภูเขาฟีนิกซ์ ด้วยลักษณะนิสัยของนางนั้นจะต้องสั่งรวมกำลังคนของภูเขาฟีนิกซ์เพื่อเตรียมทำสงครามกับอะไรสักอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นมันจะต้องมีสับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังพลในส่วนอื่น ๆ แทบทั้งหมด ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นร่องรอยของสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาทำลงไปมันจะถูกพบเจอแน่
“จงกลับไปที่เมืองขนนกอัคคีเดี๋ยวนี้และจับตาดูราชันสงครามกับพวกของนางเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะนำกำลังพลตามไปทีหลังเพื่อกำจัดนาง!” ชิวไป๋หยูออกคำสั่งกับหานอู่
“รับทราบ!” หานอู่ตอบรับ จากนั้นก็รีบพุ่งตัวกลับไปที่เมืองขนนกอัคคีทันที
ส่วนทางด้านของชิวไป๋หยู หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็ตัดสินใจว่าถ้าหากเขาจะฆ่าราชันสงคราม เขาต้องใช้กองทหารองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
เหตุผลที่เขาจำเป็นต้องใช้องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์นั้นทำตามเฉพาะคำสั่งใน ‘ใบบงการทัพ’ เท่านั้น ดังนั้นเมื่อถึงเวลา องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์จะไม่สนใจสถานะใด ๆ ของใครทั้งนั้นต่อให้จะเป็นราชันสงครามก็ตาม หากมีใบบงการทัพสั่งมาให้พวกเขาฆ่า พวกเขาก็จะฆ่าอย่างเดียวเท่านั้น
และนอกจากนั้นองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ยังมีค่ายกลรบที่สามารถป้องกันตัวเองจากแรงกดดันของสายเลือดที่สูงกว่าได้
ต่อให้หญิงสาวผู้นั้นจะเป็นราชันสงครามที่มีสายเลือดสูงส่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ พลังสายเลือดของนางก็ไม่อาจทำอะไรได้เช่นกัน
แต่ถึงแม้ว่าเขามีฐานะเป็นถึงผู้อาวุโสดูแลกิจการภายนอก เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งการกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของภูเขาฟีนิกซ์
อำนาจสั่งการองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แต่ในมือของเหล่าตัวตนที่เป็นเสาหลักของภูเขาฟีนิกซ์เท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ชิวไป๋หยูก็มุ่งหน้าไปหาผู้อาวุโสที่เป็นหนึ่งในเสาหลักของภูเขาฟีนิกซ์ เฟิงเจียง
“ผู้อาวุโสเฟิง ข้าพบกับปัญหาสำคัญที่จำเป็นจะต้องใช้องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ในการแก้ไข ท่านช่วยอนุมัติคำขอของข้าสักหน่อยจะได้ไหม?” ชิวไป๋หยูพูดขึ้น
เฟิงเจียงถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “ปัญหาอะไรกัน ถึงขนาดที่จะต้องใช้องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์?”
หากเป็นปัญหาทั่วไป ต่อให้การส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันหรือจักรพรรดิขึ้นไปออกไปแก้ปัญหาจะทำได้ยาก แต่กองทหารปกติทั่วไปของพวกเขามีความจำเป็นขนาดไหนกันถึงต้องเรียกใช้องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์?
ชิวไป๋หยูตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ที่เมืองขนนกอัคคีมีการก่อกบฏ ผู้อาวุโสเฟิงก็รู้เรื่องนี้ใช่ไหม? แต่ตอนนี้ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าที่นั่นกำลังจะเกิดเรื่องอีกรอบเพราะความเมตตาขององค์หญิงหวงเซียะ ที่จับตัวเหล่าผู้คนที่เคยเป็นผู้ทรยศกลับมาเป็น ๆ ตอนนี้ไม่เพียงแต่คนเหล่านั้นจะไม่สำนึกบุญคุณ แต่พวกมันกลับไปพบกับผู้สนับสนุนคนใหม่และกำลังจะวางแผนก่อเรื่องอีกครั้ง”
“เพื่อเป็นการรักษาความสงบและทำให้เรื่องราวไม่บานปลายมากไปกว่านี้ มันจึงจำเป็นที่พวกเราจะต้องใช้องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ในการปราบปรามพวกคนทรยศที่กำลังจะสร้างปัญหาและเพื่อความเด็ดขาดของการปรามปราบ ผู้นำองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์รอบนี้ควรจะใช้ผู้นำทัพที่ไม่วอกแวกโดยง่าย ไม่อย่างนั้นปัญหาอาจจะลุกลามจนพวกเราควบคุมไม่อยู่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงเจียงก็รู้สึกโมโหทันที เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “หวงเซียะ ปราณีกับคนเหล่านั้นมากเกินไป อันที่จริงนางควรจะฆ่าพวกมันไปให้หมด ๆ ซะเพื่อจบปัญหา”
“ไอ้พวกสันดานเลวพวกนี้เมื่อพวกมันมีความคิดทรยศไปแล้วรอบหนึ่ง มันก็ไม่แปลกที่พวกมันจะมีความคิดแบบเดิมอีกรอบ ในเมื่อพวกมันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีที่ได้รับการไว้ชีวิตมารอบหนึ่ง ดังนั้นรอบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปราณีอะไรอีก! ข้าจะมอบองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ให้กับเจ้า 500 นาย เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบให้เร็วที่สุดอย่าให้พวกมันเหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”