หากเทียบกันระหว่างหลิงตู้ฉิงและหลิงไช่หยุน เสี่ยวเยว่เฟิงนั้นเทใจให้หลิงไช่หยุนมากกว่า

กับหลิงตู้ฉิง นางรู้สึกซาบซึ้งและชื่นชม

นางรู้สึกซาบซึ้ง เนื่องจากหลิงตู้ฉิงเป็นผู้รับนางเข้ามาอยู่ด้วยและสอนนางให้แข็งแกร่งขึ้น ส่วนความรู้สึกชื่นชมนั้น นางชื่นชมหลิงตู้ฉิงเพราะความแข็งแกร่งอันไร้เทียมทานของเขา

แต่สำหรับหลิงไช่หยุน นางเชื่อฟังเด็กสาวผู้นี้อย่างหมดใจโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลรองรับ เพราะนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของบรรพบุรุษของนางที่แผ่ออกมาจากตัวของหลิงไช่หยุน

ดังนั้นถึงแม้ว่าหลิงไช่หยุนจะถามคำถามที่น่าจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอกเรือนเพราะเสียงมันเอะอะโวยวายขนาดนี้ เสี่ยวเยว่เฟิงก็ยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สัตย์จริง

หลิงไช่หยุนยิ้มและพูดว่า “อะไรกัน? คำอนุญาตของข้าที่ให้สาวใช้ของข้าเข้าร่วมกับชนชั้นสูงในภูเขาฟีนิกซ์ เดี๋ยวนี้มันไม่มีน้ำหนักแล้วงั้นเหรอ? ใครกันที่กล้าขัดใจข้า?”

ถึงแม้ว่าสีหน้าของหลิงไช่หยุนจะยิ้ม แต่ท่าทีของนางที่แสดงออกมันกลับสื่อได้ว่าคำพูดของนางคือประกาศิต!

ในตอนนี้หลิงไช่หยุนกำลังทำตามบทที่พ่อของนางคอยบอกผ่านทางโทรจิตทุกอย่าง ซึ่งนางเองก็รู้สึกว่ามันเหมาะกับตัวตนของนางเป็นอย่างมาก ดังนั้นท่าทีที่นางแสดงออกมาจึงดูเป็นธรรมชาติ

ทางด้านฝั่งตรงข้าม หานฉีที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดของกองทหารก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยหลิงไช่หยุน “นังหนู เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันถึงได้มาโอ้อวดว่าจะสามารถอนุญาตใครก็ได้ให้เข้าร่วมกับชนชั้นสูง?”

หลิงไช่หยุนยิ้มและค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหานฉี

เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูดขึ้นทันที “นายหญิง…”

ฝั่งตรงของนาง หานฉีเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับนภาคราม การที่หลิงไช่หยุนเดินเข้าไปแบบนี้มันเท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนไม่ใช่เหรอ?

แต่แล้วในขณะที่เสี่ยวเยว่เฟิงกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปห้าม ทันใดนั้นวิญญาณของหานฉีก็สั่นกลัวอย่างรุนแรงจนร่างของเขาอ่อนย้วยลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น

ในเวลานี้ร่างของหลิงไช่หยุนทั้งร่างมีเพลิงสีแดงสดลุกท่วมจนมิดหัว ซึ่งมันเป็นเพลิงที่ปลดปล่อยออกมาจากสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของนาง

หลิงไช่หยุนเดินไปอยู่ตรงหน้าของหานฉี ที่กำลังสั่นกลัวสุดขีดอยู่ในท่าคุกเข่าบนพื้นและพูดว่า “หากราชาผู้นี้ต้องการให้สาวใช้เข้าร่วมกับชนชั้นสูง มันจำเป็นต้องให้ใครเห็นชอบด้วยงั้นหรือ? ที่พวกเจ้าตรวจสอบไม่พบรายชื่อสาวใช้ของข้าก็เพราะว่าข้าเพิ่งจะกลับมาที่อาณาเขตฟีนิกซ์ และยังไม่ได้พาพวกนางไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่พวกเจ้าจะไม่พบอะไร!”

“แต่ถ้าเจ้ายังข้องใจ เจ้าจงกลับไปถามพวกบรรพบุรุษของเจ้าที่ภูเขาฟีนิกซ์ซะว่าข้าผู้เป็นราชาหากต้องการทำอะไรจำเป็นต้องถามความเห็นของพวกมันไหม? เมื่อตอนที่ข้าราชาผู้นี้ทำสงครามกับมหาพิภพไร้จุดจบ ไอ้พวกบรรพบุรุษของเจ้ามันยังไม่เกิดกันด้วยซ้ำ!”

ในตอนนี้หานฉีมีเหงื่อท่วมไปทั่วร่างกาย

ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถฆ่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าที่มีระดับการบ่มเพาะยังไม่ถึงขอบเขตสวรรค์ได้อย่างสบาย ๆ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่กล้าเพราะพลังสายเลือดที่หญิงสาวตรงหน้าเขาปลดปล่อยออกมามันข่มเขาเอาไว้จนเขากลัวจนแทบจะไม่กล้าขยับ

และสิ่งที่มันทำให้เขากลัวมากยิ่งไปกว่าก็คือ นางเป็นใครกัน?

แต่ถ้าหากตัดสินจากท่าทีของนาง นางน่าจะเป็นตัวตนที่โด่งดังมากในอดีต!

อันที่จริงสิ่งที่หานฉีไม่รู้ก็คือ หลิงไช่หยุนถึงแม้จะมีรูปร่างเป็นมนุษย์แต่แท้จริงแล้วนางคือฟีนิกซ์

ที่สำคัญนางไม่ใช่ฟีนิกซ์ธรรมดา แต่นางคือฟีนิกซ์ที่มีสายเลือดของฟินิกซ์เพลิงสวรรค์ ที่แม้แต่ฟีนิกซ์ที่แท้จริงที่อยู่บนโลกเบื้องบนยังต้องคุกเข่าสรรเสริญ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงหานฉีที่เป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญที่บ่มเพาะด้วยสายเลือดของฟีนิกซ์หางแถวที่เจือจาง

แน่นอนว่าในตอนนี้สายเลือดของหลิงไช่หยุนยังไม่แข็งแกร่งมากนัก นางจึงสามารถใช้มันข่มได้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่มีสายเลือดฟีนิกซ์ระดับต่ำ เช่น หานฉี ได้เท่านั้น

ส่วนประโยคที่เรียกตัวเองว่า ‘ราชาผู้นี้’ หลิงไช่หยุนได้รับการสอนมาจากหลิงตู้ฉิง

หลิงไช่หยุนจ้องไปที่หานฉี และพูดว่า “กลับไปบอกไอ้พวกตาแก่ของเจ้าซะว่าอีกไม่นานข้าจะไปเยือนภูเขาฟีนิกซ์ เพื่อพบกับพวกมัน”

หลังจากพูดจบ หลิงไช่หยุนก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือน

หลังจากกลับเข้าไปในเรือนตระกูลเสี่ยวเรียบร้อย หลิงไช่หยุนก็รีบเก็บเพลิงสีแดงที่ลุกท่วมตัวนางและรีบวิ่งมาหาหลิงตู้ฉิง และถามว่า “เป็นไงบ้างท่านพ่อสำหรับการแสดงของข้า?”

เนื่องจากนี่มันเป็นการเผชิญหน้ากับฝั่งตรงข้ามครั้งแรกของนาง นางจึงรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อยและไม่แน่ใจว่าตัวเองทำดีพอหรือเปล่า

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เจ้าทำได้ดีมาก ตอนนี้พวกเราก็เหลือแค่รอให้เหยื่อเข้ามาติดเบ็ดของพวกเรา”

“ท่านพ่อ ท่านให้ข้าแสดงเป็นตัวแทนของใครกัน?” หลิงไช่หยุนถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “พ่อให้เจ้าแสดงเป็น จื้อซุน ซึ่งเป็นคนดังของประวัติศาสตร์ภูเขาฟีนิกซ์และยังมีฉายาว่า ‘ราชันสงคราม’ ซึ่งด้วยอุปลักษณะนิสัยของจื้อซุนที่ชอบทำสงครามเป็นอย่างมาก มันจะต้องมีพวกผู้คนของภูเขาฟีนิกซ์ที่ชอบความสงบไม่พอใจในการปรากฏตัวขึ้นของเจ้าแน่นอน และยิ่งพวกที่มีประสงค์ร้ายแอบแฝงกับภูเขาฟีนิกซ์ด้วยแล้วล่ะก็พวกมันยิ่งไม่ต้องการให้เจ้าปรากฏตัวมากเข้าไปใหญ่”

“ถ้างั้นพวกเราจะทำอะไรกันต่อล่ะท่านพ่อ?” หลิงไช่หยุนถามขึ้น

“พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น พวกเราแค่รออยู่เฉย ๆ ก็พอ เดี๋ยวมันก็มีคนกระโดดเข้ามาติดกับพวกเราเอง” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น

ในเวลาเดียวกันที่ด้านนอกเรือนตระกูลเสี่ยว ครอบครัวของเสี่ยวเยว่เฟิงทั้งหมด หานฉีและบรรดากองทหารของเมืองขนนกอัคคีต่างก็เพิ่งจะลุกขึ้นยืนได้

ทางด้านของตระกูลเสี่ยว นอกจากเสี่ยวเยว่เฟิงที่รู้อยู่แล้วว่าหลิงไช่หยุนเป็นใคร ทุกคนต่างแสดงสีหน้าตื่นเต้นกันเป็นอย่างมากที่พวกเขามีผู้สนับสนุนเป็นถึงคนใหญ่คนโตของภูเขาฟีนิกซ์

ส่วนทางด้านของหานฉี และคนของเขานั้น พวกเขาต่างรู้สึกแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่าว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าหลิงไช่หยุนเป็นใคร แต่พวกเขาก็แน่ใจว่าหลิงไช่หยุนคือตัวตนระดับสูงมาก ๆ ของภูเขาฟีนิกซ์ที่กลับมาเกิดใหม่

เสี่ยวเยว่เฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเมืองหาน ข้าแนะนำว่าท่านจงกลับไปซะ! เมื่อไหร่ที่นายหญิงของข้ากลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ เมื่อนั้นสถานะของข้าจะถูกรับรองทันที”

หานฉีทำได้แต่แสดงรอยยิ้มขออภัยและพูดว่า “ข้าไม่นึกเลยว่าพวกเจ้าจะโชคดีขนาดนี้ ถ้างั้นทุกอย่างมันคงเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด”

“ในเมื่อทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ” เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า “เอาล่ะพวกท่านกลับไปได้แล้ว ขืนพวกท่านอยู่ต่อมันจะเป็นการรบกวนนายหญิงของข้า”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวเยว่เฟิงก็ไม่สนใจกลุ่มของหานฉีอีก นางพาน้องสาวและพ่อแม่ของนางเดินกลับเข้าไปในเรือนทันที

ทางด้านของหานฉีก็ได้แต่มองตามหลังเสี่ยวเยว่เฟิงเข้าไปในเรือนตระกูลเสี่ยวด้วยสายตาเคร่งเครียด จากนั้นเขาก็พากองทหารกลับไปที่จวนเจ้าเมือง

เมื่อกลับไปถึงจวนเจ้าเมือง หานฉีสั่งการทันที “หานอู่ เจ้าจงรีบกลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์อีกครั้ง เจ้าจงรีบกลับไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อไปเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ให้กับผู้อาวุโสชิวฟังให้หมด เจ้าต้องเล่าทุกอย่างอย่าให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียวและให้เขาตัดสินใจมาว่าพวกเราควรจะทำยังไงต่อไป”

“รับทราบ!” หานอู่ตอบกลับและพุ่งตัวออกไปทันที

จากนั้นหานฉีก็เรียกคนของเขาอีกคนหนึ่งเข้ามาหา “นับจากนี้ไป ข้าจะมอบหน้าที่เฝ้าดูการกระทำทุกอย่างของผู้คนในเรือนตระกูลเสี่ยวให้เจ้าจับตาดูไว้ แต่เจ้าอย่าเข้าไปใกล้พวกเขามากนัก หากเจ้าเห็นว่าพวกเขามีความเคลื่อนไหวอะไรให้มาแจ้งข้าทันที”

“รับทราบ!” คนผู้นั้นพุ่งตัวหายไปทันที

ในท้ายที่สุด หานฉีก็เรียกหานปิงเข้ามาและพูดว่า “บอกทุกคนให้หยุดแผนการทุกอย่างเอาไว้ก่อน และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทุกอย่าง”

หานปิงถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

หานฉีตอบกลับ “ข้าจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง? ตอนนี้พวกเราต้องภาวนาขอให้การปรากฏตัวของคนกลุ่มนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ และพวกเราเองก็ต้องไม่ทิ้งเบาะแสใด ๆ ให้คนกลุ่มนั้นเห็น ไม่เช่นนั้นพวกเราทุกคนได้เผชิญกับหายนะใหญ่แน่นอน!”

หานปิงพยักหน้าและหันหลังกลับไปทำตามที่หานฉีสั่งทันที