ท่าป๋าหั่นหลินกำลังจะโต้กลับ คำสั่งเสียของฮ่องเต้รัฐอิงองค์ก่อนก็ผุดขึ้นมาทันที ‘ที่พี่ใหญ่ของเจ้าต้องมาพบจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้ เพราะท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉีแห่งรัฐอู่นั่น ปลอมตัวเป็นชายมาทำให้พี่ใหญ่ของเจ้าตายใจ และพ่อของนางเป็นคนฆ่าพี่ใหญ่ของเจ้า ที่พ่อยกตำแหน่งให้เจ้าสืบทอด ก็เพราะในบรรดาพี่น้องทั้งหลายของเจ้า มีเพียงเจ้าที่ใกล้ชิดกับพี่ใหญ่ของเจ้ามากที่สุด เจ้าจะต้องคิดหาวิธีเพื่อมาแก้แค้นให้กับพี่ใหญ่ของเจ้าให้ได้ พ่อจึงจะตายตาหลับ’
ปากที่อ้าออกก็หุบลง แล้วก้มหน้า
ท่านอ๋องฉีเห็นท่าทางของเขา ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงมีอะไรก็ตรัสออกมาเถอะ ข้ากำลังรอฟังอยู่”
“ท่านอ๋องคิดมากไปแล้ว ท่าป๋ามารัฐอู่ครั้งแรก เรื่องกฎระเบียบอาจจะมีผิดพลาดกันบ้างเล็กน้อย เลยทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจ เป็นความผิดของท่าป๋าเอง ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย” ท่าทีของท่าป๋าหั่นหลินยิ่งนอบน้อมเข้าไปใหญ่ นอบน้อมเสียจนทำให้คนจับผิดไม่ได้เลย
ท่านอ๋องฉีหรี่ตามองด้วยสายตาอันเฉียบคม “การถอยเพื่อดูเชิงโต้กลับของท่านนั้นทำได้ดีเลยทีเดียว เกรงว่าหลังจากวันนี้ ก็คงมีข่าวว่าข้า อ๋องผู้นี้มาวางอำนาจบาดใหญ่ด้วยความอาวุโส รังแกฮ่องเต้แห่งรัฐอิงเสียนี่”
พูดจบ ก็มองไปที่ทูตจากหลากหลายรัฐที่มา
ทูตต่างก้มหน้าลง ไม่มีใครกล้ามองหน้าเขาตรงๆ แต่ในใจน่ะ อยากเงยหน้าขึ้นมองให้มันรู้แล้วรู้รอดเสีย
แล้วท่านอ๋องฉีก็พูดขึ้นอีก ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เสียดแทงเข้าไปในใจของทุกคนว่า “ข้ามันคนวางอำนาจบาตรใหญ่ ชอบรังแกคนแล้วจะทำไม ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้รัฐอิงหรอก ทุกคนฟังให้ดี จากนี้ถ้าใครยังกล้ามาอาจเอื้อมหลานสาวของข้าอีกล่ะก็ รอข้านำทหารไปตีได้เลย”
พูดเสร็จ ก็ลุกขึ้น ทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่นแล้วขอลา ออกไปจากตำหนักชิงเหอง่ายๆ เช่นนั้น เหลือก็แต่ภาพจำที่น่าเกรงขาม ดูสูงส่งน่ายกย่อง
ในตำหนักกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ครั้งนี้หวงฝู่ซวิ่นอยากกระแอมก็กระแอมไม่ออก
พอออกมาจากพระราชวัง ก็ขึ้นม้า กลับจวนอ๋องฉีไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วสั่งนายประตูว่า “ปิดประตู ไม่ต้อนรับแขก ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ว่าใครมา ไม่ต้องให้เข้า ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่ให้เข้า”
นายประตูตอบรับ แล้วรีบปิดประตูทันที
การกระทำของท่านอ๋องฉีในวันนี้ ก็เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่พวกชนชั้นสูงที่จับกลุ่มคุยเรื่องนี้กันเท่านั้น ขนาดประชาชนคนธรรมดา หรือไม่ว่าผู้ใดต่างก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดยเฉพาะวันนั้น ตั้งแต่ที่ประตูจวนอ๋องปิดตาย ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ เลยทำให้คนต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นาๆ
ไม่ว่าข้างนอกจะว่าอย่างไร แต่ในจวนกลับมิใช่อย่างนั้น ทุกคนต่างใช้ชีวิตปกติ เด็กๆ ก็ยังคงเล่นกันสนุกสนาน ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เลยสักนิด
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ท่านอ๋องฉีก็อดคิดไม่ได้ เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ก็กำลังเติบโตเป็นสาวงาม การที่มีคนมาสู่ขอจะต้องมากขึ้นมิใช่น้อยลง ปฏิเสธหนึ่งครั้งไม่เป็นไร สองครั้งไม่เป็นไร แต่ปฏิเสธไปมากครั้ง เกรงว่าจะโดนคนติฉินนินทาเอาได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจ แต่อย่างไรเสียก็ส่งผลต่อเกียรติของเด็กน้อยทั้งสองคนเช่นกัน คิดไปคิดมา หลังจากที่คิดอยู่ห้าหกวันได้ ก็ส่งคนไปเรียกหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องหนังสือ แล้วพูดกับเขาสองคนว่า “หลายวันมานี้ข้าคิดแล้วว่า ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่ทางออก เช่นนี้แล้วกัน ข้าอยากพาเสด็จแม่ของเจ้ากับยัยหนูสองคนนี้ออกไปท่องโลก ในขณะที่พวกนางสั่งสมประสบการณ์ ยังสามารถหลบสายตาพวกที่คอยจ้องจะจับผิดพวกนางในเมืองหลวงได้อีกด้วย”
หลายวันมานี้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่คิดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เมื่อฟังท่านอ๋องฉีพูดจบ จึงมองหน้ากัน พยักหน้า แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็พูดว่า “วิธีนี้ของเสด็จพ่อดียิ่งนัก อีกทั้งยังได้พาเสด็จแม่ออกไปดูโลกภายนอกอีกด้วย”
ในเมื่อทั้งสองคนเห็นด้วย ท่านอ๋องฉีก็ไม่รอช้า มาที่เรือนของพระชายาด้วยตนเอง แล้วพูดกับนางเหมือนที่พูดกับลูกๆ ว่า “หลายปีมานี้ เจ้าไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลย เลยอยากอาศัยโอกาสตอนที่พวกเรายังไม่แก่ ได้พาเจ้าออกไปดูโลกภายนอกบ้าง”
พระชายาฉีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก มีก็แต่ตอนเด็กที่เคยออกไปนอกเมืองกับท่านแม่ทัพไม่กี่ครั้ง ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ไปไหนแล้ว มีความคิดอยากออกไปดูโลกภายนอกตั้งนานแล้ว พอได้ยินดังนั้น จึงยิ้มแก้มบาน พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “หม่อมฉันอยากจะออกไปเที่ยวเล่นตั้งนานแล้ว ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”
พระชายาฉีเห็นด้วย เช่นนั้นก็ดีเลย ทุกคนเริ่มเตรียมของกันเงียบๆ พอหมดเดือนหนึ่ง ต้นเดือนสองอากาศดี ก็เริ่มออกเดินทาง
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ต้องดีใจยู่แล้ว กั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่ต้องไปแล้ว เอาแต่อยู่เรือนเตรียมของที่ตนจะเอาไปด้วย
หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยก็อยากไป ทั้งสองคนนัดกันมาปรึกษาแบบลับๆ แล้วแอบพ่อของตนและท่านอ๋องฉี ไปหาพระชายาฉี “เสด็จย่าขอรับ พวกเราก็อยากไปกับพวกท่านด้วยขอรับ”
จะให้ทั้งสองคนไปด้วยได้หรือไม่นั้น พระชายากับท่านอ๋องฉีเคยปรึกษากันแล้ว ท่านอ๋องฉีบอกว่า “รุ่ยเอ๋อร์เป็นผู้สืบสกุลของจวนอ๋อง การไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนเฮ่าเอ๋อร์จะต้องช่วยเขาแบ่งเบาภาระกิจการของจวนอ๋องแห่งนี้ การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก แล้วการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อใด หากว่าทำให้พวกเขาไม่ได้เรียนล่ะก็ มันจะเสียหายเปล่าๆ”
ท่านอ๋องฉีพูดมีเหตุผล พระชายาก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ จึงได้แต่ลูบหัวเด็กน้อยทั้งสองอย่างรู้สึกผิด “รุ่ยเอ๋อร์ เฮ่าเอ๋อร์ พวกเจ้ากับเมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์นั้นไม่เหมือนกัน ในอนาคตพวกเจ้าจะต้องสืบทอดจวนอ๋องแห่งนี้ มีภาระหน้าที่ใหญ่หลวง เอาแต่ใจไม่ได้ ฟังย่าเถิด ตัดใจเสีย แล้วตั้งใจเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนให้ดี วันข้างหน้า พวกเจ้าก็จะมีโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาได้”
นี่เป็นการปฏิเสธ สีหน้าที่ตั้งตารอของทั้งสองก็หายไป ไร้ชีวิตชีวา ยืนอยู่ตรงหน้าพระชายาฉี
พระชายาฉีรู้สึกสงสาร กำลังจะพูดโน้มน้าว ท่านอ๋องฉีก็เดินเข้ามา เห็นทั้งสองคนก็รู้แล้วว่าเรื่องอะไร มองไปที่พวกเขาแล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนจะทำอะไร”
“ไม่ ไม่มีขอรับ เรา เราเพียงแต่อยากไปกับพวกท่านเท่านั้น” หวงฝู่รุ่ยรวบรวมความกล้า พูดขอร้องออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เป็นการลองเชิงท่านอ๋องฉี
“พวกเจ้าเรียนหนังสือจบแล้วงั้นหรือ”
ทั้งสองส่ายหน้า
“วิชาที่กั๋วจื่อเจี้ยนเรียนสำเร็จหมดแล้วงั้นหรือ”
ทั้งสองก็ยังคงส่ายหน้า
“วิทยายุทธ์ล้ำเลิศสุดในยุทธภพแล้วงั้นหรือ”
ทั้งสองส่ายหน้าติดกันสามครั้ง
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าถามพวกเจ้าหน่อย พวกเจ้ายังเรียนไม่จบเลยสักอย่าง แล้วภายภาคหน้าจะจัดการจวนอ๋องแห่งนี้ได้อย่างไร” ท่านอ๋องฉีไม่ได้พูดเสียงดัง แต่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วก้มหน้าลง
“ไปห้องหนังสือกับข้า ข้าจะทดสอบความรู้ของพวกเจ้าเสียก่อน ในวันที่ข้ากลับมา ถ้าพวกเจ้ายังไม่มีการพัฒนาล่ะก็ รู้หรือไม่ว่าจะเป็นเช่นไร”
“ขอรับ เสด็จปู่”
ทั้งสองคนตอบรับ แล้วไม่กล้าพูดถึงเรื่องเที่ยวเล่นอีก
หลังจากที่ทดสอบกับท่านอ๋องฉีเสร็จ ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องหนังสือ แล้วเดินหาที่เงียบสงบ ถอนหายใจออกมาราวกับเป็นผู้ใหญ่ ยื่นมือออกมาตบบ่าของกันและกัน แล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยความสงสารว่า “พี่เฮ่า ทำไมเราต้องเกิดในจวนอ๋องแห่งนี้ด้วย”
นั่นสิ ทำไมต้องเกิดในจวนอ๋องด้วย ในยุคที่ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ผู้ชายจะต้องเป็นเสาหลักของบ้าน ผู้ชายจะต้องเป็นคนที่ทุกคนรักใคร่เอ็นดูสิ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูง หรือคนธรรมดา ก็ไม่ต่างกัน แต่ตัดภาพมาที่พวกเขา มันแปลกมาก ไม่ได้รับความรักไม่พอ เวลามีเรื่องอะไรดีๆ ล้วนไม่เคยถึงพวกเขาเลยสักครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนใบสั่งยา บอกให้โจวอันนำไปให้ร้านยาเต๋อเหริน เอายามาหนึ่งคันรถ หลังจากที่ให้คนในจวนมาช่วยกันบดยาเสร็จ นางกับหวงฝู่อี้เซวียนทำยาเม็ดขึ้นมาหลายชนิด ใส่เอาไว้ในขวดดินเผา เตรียมไว้ให้กับพวกท่านอ๋องฉี ไว้ใช้ตอนที่พวกเขาเที่ยวเล่นอยู่แล้วเกิดเหตุไม่คาดคิด
พอหวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นได้ยินเข้า ก็ตกใจมาก รีบวิ่งมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว พอได้คำตอบ ก็โต้แย้งทันที “หลายปีมานี้จวนเราสร้างศัตรูไว้มากมาย ถ้าหากพวกมันได้ยินเข้า แล้วถือโอกาสนี้มาทำร้ายเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ล่ะก็ ผลลัพธ์อาจเลวร้ายเกินคาดนะขอรับ”
“พวกเจ้าวางใจเถิด ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว มากสุดครึ่งปี น้อยสุดสามเดือน พวกเขาก็จะกลับมา”
ในมือของหวงฝู่อี้เซวียนมีองครักษ์ลับสามพันนาย เมิ่งเชี่ยนโยวมีร้านบะหมี่มันฝรั่งอยู่ทั่วรัฐ เมื่อพวกเขาพูดเช่นนี้ หวงฝู่อวี้ก็เบาใจ จึงกลับเรือนของตนไปพร้อมกับเจียงจิ่น นำเงินมาสองหมื่นตำลึง เสร็จแล้วก็มาที่เรือนหลัก นำเงินมาให้กับพระชายาฉี “เสด็จแม่ เงินเหล่านี้ท่านเก็บไว้ให้ดีนะขอรับ เอาไว้ใช้ระหว่างทาง”
พระชายาฉียิ้ม แล้วใส่กลับคืนไปในมือของเจียงจิ่น “ส่วนกลางมีเงินมากมาย พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าให้มาไม่น้อย พวกเจ้าเก็บส่วนนี้เอาไว้เถอะ”
ถ้าหากพูดเรื่องเงินในจวนแห่งนี้ หวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นคู่นี้มีเงินน้อยที่สุด พระชายาฉีต้องไม่รับเงินของพวกเขาแน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เงินที่จวนอ๋องมี ใช้เท่าไรก็ใช้ไม่หมด ไม่จำเป็นที่จะต้องรับเงินของพวกเขามา
เจียงจิ่นยิ้มแล้วเอาเงินยื่นคืนให้กับพระชายาฉี “เสด็จแม่เจ้าคะ นี่เป็นน้ำใจของพวกเรา ท่านรับไว้เถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นข้ากับท่านพี่คงไม่สบายใจ”
พระชายาฉีจึงไม่ได้อิดออด ยิ้มแล้วรับไว้
ทุกอย่างพร้อมเสร็จ จนถึงเดือนสอง พอผ่านวันเกิดของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ไป ก็เลือกวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส ท่านอ๋องฉี พระชายาฉี หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ขึ้นรถม้าคันใหญ่ที่สั่งทำมาเป็นพิเศษ ออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกัน หวงฝู่อี้เซวียนก็ประกาศว่า ท่านอ๋องฉีกับพระชายาไม่สบาย ไม่รับแขกเป็นการชั่วคราว อีกทั้งลูกสาวทั้งสอง ก็โตเป็นสาวแล้ว จึงไม่ไปกั๋วจื่อเจี้ยน อยู่บ้านเรียนงานเย็บปักถักร้อย แล้วคอยดูแลท่านอ๋องฉีกับพระชายา
เกิดเป็นคน ต้องมีเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ตอนแรกคนในเมืองหลวงก็ไม่ได้เอะใจอะไรมาก แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้า หนึ่งเดือนผ่านไป ก็ไม่เห็นท่านอ๋องฉีและพระชายาและสาวน้อยทั้งสอง คนที่คิดร้ายก็เริ่มคาดเดา และหนึ่งในนั้นก็มีนายท่านอู่โหว
ตั้งแต่ท่านอ๋องฉีไปหาเรื่องถึงที่เมื่อครั้งก่อน จวนของตนก็ตกต่ำ แม้จะรายงานฝ่าบาทไปแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นมาเลย นายท่านอู่โหวเจ็บแค้นเคืองโกรธเป็นอย่างมาก คอยหาโอกาสแก้แค้นมาโดยตลอด กำชับให้คนคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของจวนอ๋องฉีไว้ ดูว่ามีโอกาสเหมาะสมที่จะลงมือหรือไม่ ดังนั้น พอได้ฟังรายงานของบ่าวรับใช้จบ ก็รู้ทันทีว่ามันผิดปกติ