หวงฝู่จิ้งนั่น แข็งแรงจะตายไปใครก็รู้ แม้จะมีป่วยบ้าง แต่นี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว ควรจะหายดีได้แล้ว จะไม่ออกจากบ้านนานขนาดนั้นเลยหรือไร แล้วหลานสาวสองคนนั่น แต่ก่อนก็ไปจวนเมิ่งที่นอกเมืองนั้นอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว จะต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ๆ ไม่ได้แค่ป่วยแค่นั้นหรอก
คิดได้ดังนั้น นายท่านอู่โหวจึงสั่งให้คนไปตามนายน้อยมา แล้วบอกในสิ่งที่ตนคาดเดากับเขาอย่างลับๆ
นายน้อยโหวรีบลุกขึ้น ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อหมายความว่าหวงฝู่จิ้งนั่น ไม่ได้อยู่ที่จวน แต่ออกไปข้างนอกงั้นรึ”
“เป็นไปได้ เจ้ารีบส่งคนไปสืบมาเดี๋ยวนี้ ดูสิว่าเจ้าหวงฝู่จิ้งมันอยู่ที่จวนหรือไม่”
คุณชายตอบรับ แล้วรีบส่งองครักษ์เงาของตนออกไปทันที
แต่จวนอ๋องฉีมีหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวดูแลอยู่ ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปได้หรอก อย่าว่าแต่นายประตูเลย ขนาดแม่บ้านที่คอยออกไปซื้อผักยังไม่ปริปากเรื่องในจวนเลยสักนิด การไปสืบครั้งนี้ เลยใช้เวลาค่อนข้างนาน
ส่วนพวกท่านอ๋องฉีเที่ยวเหนือล่องใต้กันไปแล้ว
อากาศตอนสิ้นเดือนสาม ทางเหนือจะเป็นฤดูปลายหนาว ตอนนี้จึงเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว ดอกไม้ใบหญ้าเริ่มผลิดอกออกใบ แต่ทางใต้อากาศค่อนข้างร้อน ทุกคนเปลี่ยนเป็นเสื้อบางๆ นั่งกินลมชมวิวทิวทัศน์กันในรถม้า
ระหว่างการเดินทาง ไม่ได้มีเพียงหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ดีใจเท่านั้น ขนาดพระชายาฉียังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นสาววัยรุ่นแรกแย้ม
ท่านอ๋องฉีได้แต่ยิ้มมองพวกนาง เป็นรอยยิ้มแห่งความพอใจอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตเขา อยู่แต่ในเมืองหลวง คอยช่วยเหลือเสด็จพี่ดูแลอาณาประชาราษฎร์ จนเกือบจะเสียพระชายาและลูกชายของตนไป มาวันนี้ พอวางทุกอย่างลง แล้วเดินออกมาจากจุดนั้น เพิ่งจะรู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แล้วยังได้เห็นอีกมุมหนึ่งของพระชายาอีกด้วย พอนางเห็นอะไรแปลกตาก็จะร้องเรียกออกมาพร้อมกับเด็กๆ พอเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ก็จะถามออกมาด้วยความสงสัย แล้วยังได้ทำตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปเลือกซื้อของต่างๆ ที่ตนเองชอบ และสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งของเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ซื้อให้เขาทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีค่าราคามาก แต่มีคุณค่าทางจิตใจ แสดงให้เห็นว่านางมีแต่เขาทั้งหัวใจ ขนาดหลานสาวทั้งสองยังเป็นรองลงมา
คิดได้เช่นนี้ มุมปากของท่านอ๋องฉีก็ยกขึ้นยิ้มออกมามากกว่าเดิมเสียอีก แล้วเงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้น มองพระชายาฉีด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยน
พอรู้สึกได้ถึงสายตาของท่านอ๋องฉี พระชายาฉีก็หน้าแดง หลังจากเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาคราหนึ่ง ก็พูดกับหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ ที่นี่ดูคึกคัก พวกเราลงไปเดินเล่นกันเถอะ”
ทั้งสองคนอดใจแทบไม่ไหวแล้ว ตอบรับทันที แล้วเปิดม่านรถม้าลง เสร็จแล้วก็ยื่นมือมาประคองพระชายาฉีลงจากรถม้า
ท่านอ๋องฉีจะลงไปด้วย แต่พระชายาฉีห้ามเขาไว้ว่า “ท่านพี่ ที่นี่คนเยอะ ท่านนั่งรอในรถรอพวกเราไปเถิดเจ้าค่ะ” เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ สรรพนามการเรียกขานก็ถูกปรับเปลี่ยนไปด้วย ยิ่งทำให้ดูสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น
การที่ลงมาเดินเล่นเช่นนี้แม้ว่าท่านอ๋องฉีจะไม่ได้คัดค้านอะไร แต่นางรู้ว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังไม่ชินกับการลงมาคลุกคลีกับชาวบ้าน จึงห้ามเขาเอาไว้
“ได้ พวกเจ้าระวังๆ หน่อยแล้วกัน ข้าจะไปรอพวกเจ้าตรงด้านหน้าที่คนน้อยๆ” ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้ดึงดัน พูดด้วยเสียงอ่อนโยน
พระชายาฉีพยักหน้า “เจ้าค่ะ พวกเราจะรีบดู แล้วรีบตามไป”
พระชายาฉีสั่งให้คนรถไปด้านหน้าก่อน แล้วพาเด็กทั้งสองเดินตลาดจนทั่ว แถมยังหยิบสิ่งของต้องตาต้องใจขึ้นมาดูตลอดเวลาอีกด้วย แต่ที่พวกเขาไม่ได้สังเกตก็คือ มีชายหนุ่มคนหนึ่งคอยจ้องมองพวกนางอยู่ห่างๆ
เมื่อเห็นท่านอ๋องฉีนั่งรถม้าออกไปแล้ว คุณชายหนุ่มน้อยคนนั้นก็แสยะยิ้มออกมา แล้วโบกมือให้กับคนที่อยู่ด้านหลัง
แล้วก็มีชายฉกรรจ์เดินออกมา โค้งคำนับอยู่ด้านหน้าเขา แล้วเรียก “เจ้านาย!”
“รู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไร” วันรุ่นคนนั้นยืนตัวตรง มีรังสีผู้ทรงสง่าแผ่ออกมา น้ำเสียงไพเราะ แต่มีความดุดันซ่อนอยู่
“ข้าน้อยทราบขอรับ!”
“ไปเถอะ จัดการให้รวดเร็ว อย่าให้พวกนางจับผิดสังเกตได้”
“ขอรับ!”
คุณชายผู้นั้นตอบรับ แล้วโบกมือ
เสร็จแล้วก็มีออกมาอีกสามคน แล้วเดินตามพวกพระชายาฉีไป
พระชายาฉีไม่รู้มาก่อนว่าชาวบ้านจะมีของเล่นแปลกๆ มากมายขนาดนี้ ขณะนั้นก็กำลังถือตะกร้าที่สานด้วยฟางขึ้นมาแล้วชมไม่ขาดปาด “เมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ ดูนี่สิ ตะกร้าเหล่านี้สวยยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ทำมาจากหญ้าฟางเท่านั้น”
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เพิ่งเคยเห็น เลยตื่นตาตื่นใจมาก “สวยมากจริงๆ ท่านย่าเจ้าคะ พวกเราซื้อได้หรือไม่”
“ได้สิ” พระชายาฉีตอบรับ แล้วหันไปหาเจ้าของร้าน “เถ้าแก่ ตะกร้านี้เท่าไหร่รึ”
เจ้าของร้านทำค้าขายที่นี่มานาน พอฟังสำเนียงของทั้งสาม มองเสื้อผ้าที่พวกนางสวมใส่ ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคนรวย หลังจากที่คิดเสร็จ ก็ชูขึ้นมาห้านิ้ว “ห้าสิบตำลึง!”
พูดจบ ก็ลุ้นมองทั้งสามคน เพราะกลัวว่าพวกนางจะมองออกว่าตนขายเกินราคา จริงๆ แล้วตะกร้าพวกนี้ขายในราคาปกติอยู่ที่สิบห้าตำลึง เพราะฟาง ที่ไหนก็มี ไม่ได้มีต้นทุนอะไร เขาเสียแค่ห้าตำลึงในการเก็บมาเท่านั้น
แค่ห้าสิบตำลึง พระชายาฉีกำลังจะตอบรับ แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ชิงพูดเสียก่อนว่า “ห้าสิบตำลึงแพงเกินไป ถูกกว่านี้หน่อยเถอะ”
พอเห็นพวกนางถือของไม่ปล่อย เจ้าของร้านก็คิดในใจ ส่ายหน้า “แม่นาง ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ ท่านดูสิ งานฝีมือแบบนี้ วิธีการแบบนี้ คนที่บ้านข้าใช้เวลาตั้งสามวันกว่าจะได้มาอันหนึ่งเชียวนา”
เจ้าของร้านข้างๆ ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อยากจะเกลียดเขาจริงๆ นี่มันของง่ายๆ ให้เมียเขาทำแค่ครึ่งวันก็ได้สองอันแล้ว แต่เขากลับทำมาเป็นบอกว่าใช้เวลาทำตั้งสามวัน แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงเขาหรืออะไร ของซื้อของขาย มันขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย แล้วอีกอย่างแม่นางกลุ่มนี้ดูท่าแล้วก็คงรวยไม่น้อย นานๆ ทีจะมีคนรวยๆ มาซื้อของ อีกอย่าง เจ้าของร้านก็ไม่ได้โลภมาก แค่ห้าสิบตำลึงเอง สำหรับพวกนางแล้ว ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก
หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า แล้วทำทีต่อรองอย่างชำนาญ “สามสิบตำลึงเท่านั้น มากไปกว่านี้พวกเราไม่เอาแล้ว” ก่อนที่พวกนางจะออกเดินทาง พวกนางศึกษามาก่อนแล้วว่าสินค้าแผงลอยตามตลาดแบบนี้ สามารถต่อรองราคาได้ อีกทั้งนางยังทำแบบนี้มาตลอดทางอีกด้วย
เจ้าของร้านข่มความตื่นเต้นเอาไว้ ส่ายหน้า โบกมือ “ไม่ได้ๆ น้อยเกินไป ต่ำสุดได้แค่สี่สิบห้าตำลึง”
ก็นึกว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะให้สักสี่สิบตำลึง เพราะเห็นแม่นางผู้นี้ชอบตะกร้านี้ยิ่งนัก แต่ผิดคาด เพราะหวงฝู่เย่าเย่ว์พูดกับพระชายาฉีว่า “ท่านย่า พวกเราไม่เอาแล้ว เดี๋ยวรอกลับไปก่อน แล้วข้าจะสานให้ท่านนะเจ้าคะ”
“อ่อ ดีเลย” พระชายาฉีเห็นด้วยแล้ววางลง
ไม่ใช่ว่านางสนใจเงินไม่กี่สิบตำลึงนั้นหรอก แต่สนใจท่าทางการต่อรองราคาของหลานสาวตนที่มันแปลกตาต่างหาก
“ไปกันเถอะ!” หวงฝู่เย่าเย่ว์จงใจพูดขึ้นมา
พระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งกำลังจะหันกลับ
เจ้าของร้านก็รีบพูดขึ้นมาว่า “สามสิบก็สามสิบ ขายก็ขาย”
ทั้งสามคนหยุด หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบตะกร้าใบนั้นขึ้นมาใหม่ ใส่มือของพระชายาฉี “ท่านย่า นี่ของท่าน เดี๋ยวข้าจ่ายเองเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีรับไว้
หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา เปิดออก แล้วหยิบเหรียญออกมานับให้กับเจ้าของร้านสามสิบอัน
“แม่นาง ต่อรองเก่งยิ่งนัก ของๆ ข้ายังไม่เคยขายราคานี้มาก่อนเลย” ในขณะที่เจ้าของร้านรับเหรียญมา ก็พูดพึมพำออกมาด้วยความเสียดาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินเข้า ก็ดีใจเป็นอย่างมาก เก็บกระเป๋าสตางค์ห้อยไว้ที่เอว แล้วพยุงพระชายาฉีเดินออกไป
หวงฝู่สือเมิ่งที่ตามอยู่ด้านหลังได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า
ทั้งสามคนเดินไปไม่เท่าไร ก็มีชายฉกรรจ์เดินเข้ามาทางด้านหน้า ผ่านหวงฝู่เย่าเย่ว์ไป แล้วกระตุกกระเป๋าสตางค์ของนางอย่างแรง แล้ววิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกมีแรงกระตุก ใช้มือคลำดู พบว่ากระเป๋าสตางค์หายไปแล้ว จึงรับหันกลับมาดู พอเห็นกระเป๋าสตางค์ของตนอยู่ในมือชายผู้นั้น ก็ปล่อยพระชายาฉี วิ่งตามชายผู้นั้นไป “กลางวันแสกๆ แบบนี้ ยังจะกล้าดีมาขโมยกระเป๋าสตางค์ของข้าอีกงั้นรึ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
พอหวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกตัว ก็ยื่นมือออกไปห้ามนาง แต่จับนางไว้ไม่ทัน ได้แต่ยืนมองนางวิ่งออกไปต่อหน้าต่อตา เลยตะโกนว่า “เย่ว์เอ๋อร์ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ กระเป๋าสตางค์น่ะไม่เอาก็ได้”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เจอขโมย หวงฝู่เย่าเย่ว์นึกสนุก จะฟังที่นางพูดได้อย่างไรกัน ในหัวมีแต่ความคิดจะจับขโมยนั่นให้ได้
พระชายาฉีก็ร้อนใจ เห็นนางวิ่งไปไกล จึงบอกหวงฝู่สือเมิ่ง “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าไปตามเย่ว์เอ๋อร์ อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง”
ให้พระชายาฉีอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคยแบบนี้ หวงฝู่สือเมิ่งวางใจไม่ลง แต่หากไม่ตามเย่ว์เอ๋อร์ แล้วนางเจอ… … หวงฝู่สือเมิ่งร้อนใจจนเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก จึงกัดฟันบอกว่า “ท่านย่า ท่านอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน ข้าจะไปตามเย่ว์เอ๋อร์กลับมาเจ้าค่ะ”
“ดีๆ รีบไปเถอะ!” พระชายาฉีเร่งนาง หวงฝู่สือเมิ่งจับชายกระโปรงขึ้น แล้ววิ่งตามหวงฝู่เย่าเย่ว์ไป แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ไม่เห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว จึงยืนอยู่กับที่ตะโกนไปรอบๆ ว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหน”
ไม่มีคนตอบรับ
ตอนนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์ตามมาจนจำทางไม่ได้แล้ว กว่านางจะรู้สึกตัว ก็มาถึงบนถนนที่ไร้ซึ่งผู้คน ชายฉกรรจ์เหล่านั้นจึงล้อมนางเอาไว้
ชายผู้นั้นที่ขโมยกระเป๋าสตางค์ของนางก็โยนกระเป๋าทิ้ง ทำท่าทางนักเลง แล้วพูดกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยท่าทางป่าเถื่อน “นังหนู ไม่เลวเลยนี่ ตามข้ามาได้ตั้งไกล”
“เจ้าก็ร่างกายกำยำแข็งแรงดีนี่ ทำไมไม่ไปทำงานหาเงินเล่า กลับมาเป็นโจร หน้าไม่อาย” หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากสั่งสอนเขาให้เข็ดหลาบ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ถึงด่าออกไปได้เพียงหน่อยเดียว
ชายผู้นั้นหัวเราะออกมา “ศักดิ์ศรีงั้นหรือ คืออะไรกัน กินได้งั้นรึ ข้าขอแค่ได้กินอิ่ม อะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ” พูดจบ ก็มองไปที่เรือนร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยสายตาประสงค์ร้าย และไม่รู้จักพอ
เคยโดนไปแล้วครั้งหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์คุ้นเคยกับสายตาเช่นนั้นของเขา เลยถอยหลังลงไป ใจดีสู้เสือพูดออกมาว่า “เจ้ากล้างั้นรึ กลางวันแสกๆ ไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยหรือไง”
ชายผู้นั้นหัวเราะออกมาราวกับได้ยินเรื่องตลกอย่างใดอย่างนั้น “โอ้โห นี่ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าก็รู้จักกฎหมายด้วย มานี่ๆ บอกข้าที กฎหมายคืออะไร บอกให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ชายที่เหลืออีกสามคนก็หัวเราะตามๆ กัน
เสียงหัวเราะที่แสนน่ากลัวและเต็มเปี่ยมไปด้วยอันตราย
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองไปที่กระเป๋าสตางค์ที่ส่ายไปส่ายมาในมือของชายผู้นั้น แล้วกระโจนเข้าไปด้านหน้าเขา เพื่อจะแย่งคืนมา
ชายผู้นั้นคิดไม่ถึงว่านางจรวดเร็วถึงเพียงนี้ ขณะที่กำลังตกใจ ตัวก็ถอยหลังลงไปด้วย หลบการโจมตีของนาง แล้วพูดว่า “โอ้โห ใช่ย่อยเลยนะเจ้าเนี่ย วันนี้ข้าคงโชคดี ถ้าจับเจ้าไปให้หอนางโลมฟางหวาล่ะก็ จะต้องได้ราคาดีแน่นอนเลยล่ะ”
พูดจบ อีกสามคนก็ล้อมตัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้
หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นดังนั้น ก็รู้ว่าหนึ่งต่อสี่ ตนกำลังเสียเปรียบ รวบรวมสติ พุ่งตัวเข้าโจมตีชายคนนั้น ใจนึกว่า แค่จับเขาได้ เอาเขาเป็นตัวประกัน คนที่เหลือก็คงไม่กล้าเข้ามา
ชายคนนั้นไม่ทันได้โต้กลับ ก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ใจ รีบเข้าไปเกือบจะจับตัวชายผู้นั้นได้
ชายผู้นั้นก็รีบตะโกนด่าอีกสามคนว่า “พวกเจ้าสามคน เลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริง ยังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าอีก”
ทั้งสามคนตอบรับ แล้วเข้าไปพร้อมๆ กัน
หวงฝู่เย่าเย่ว์กดดัน เลยพลาดโอกาสที่จะจับเจ้านั่น
พอเจ้านั่นยืนนิ่งได้ ปาดเหงื่อที่หน้าผากตน แล้ว ถุย ออกมา พูดด้วยความโกรธว่า “จับนางให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้นางหนีไปไหนไม่ได้ ข้าจะสั่งสอนนังเด็กนี่ให้รู้ว่า ที่ตรงนี้ มันถิ่นของใคร”
อีกสามคนก็แค่ลูกกระจ๊อก ต่อสู้เป็นแค่ไม่กี่กระบวนท่า อีกทั้งยังไม่คล่องแคล่วอีกด้วย ตอนแรกหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้เปรียบ เลยทำให้ความกดดันนั้นได้คลายลงบ้าง
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง สู้กันไปสิบกระบวนท่า หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เริ่มหายใจไม่ทัน อีกทั้งยังล้มไม่ได้เลยสักคน แล้วเจ้านั่นก็ได้สติ เข้ามาร่วมด้วย ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยพอสมควร
คุณชายวัยรุ่นเมื่อครู่นี้ยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไม่ไกลนัก สายตามีความอำมหิต ราวกับอยากจะเอาหวงฝู่เย่าเย่ว์มาถลกหนังทั้งเป็นอย่างใดอย่างนั้น มือที่ไขว้หลังเอาไว้ จากที่กำไว้แน่นก็คลายออก แล้วก็กำเข้าไปอีก ทำเช่นนี้หลายครั้ง แล้วก็ตัดสินใจจะเดินไปที่เกิดเหตุตรงนั้น
เดินไปไม่เท่าไร ก็มีเสียงลมผ่านหูของตนไป เขายังไม่ทันได้รู้สึกตัว ก็มีองครักษ์ลับยืนอยู่ตรงหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว
คุณชายคนนั้นหยุด หรี่ตา แล้วมองไปรอบๆ
พอคนพวกนั้นเห็นองครักษ์ลับ แล้วเห็นรังสีความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขา ก็หยุดมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ
องครักษ์ลับคนหนึ่งก็ทำมือเคารพ แล้วพูด “ท่านหญิงขอรับ ท่านอ๋องรอไม่ไหว เลยให้พวกเรามาตามท่านกลับไปขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุด สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้า ชี้ไปที่กระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือเจ้านั่น แล้วบอกว่า “กระเป๋าสตางค์นั่นเป็นของข้า พวกเจ้าช่วยเอาคืนมาให้ข้าด้วย”
“ขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังกลับ อดไม่ได้ที่จะลูบอกตนเอง แล้วปลอบใจตัว เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้าหากว่าองครักษ์ลับมาไม่ทันล่ะก็ วันนี้ข้าคงเละตุ้มเปะแน่ๆ
คุณชายคนนั้น พอเห็นนางหันหลังกลับ ก็รีบเข้าไปแอบทันที
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองไม่เห็นเขา เดินไปตามถนนจนกระทั่งถึงปากทาง มองไปรอบๆ เกิดความสับสนเพราะไม่รู้จะเดินไปทางไหนต่อ
“ท่านหญิง ทางนี้ขอรับ พระชายากับท่านหญิงเมิ่งรออยู่ทางนั้นขอรับ” องครักษ์ลับที่ตามมาชี้ไปอีกทาง
“ขอบใจมาก” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบ เดินเลี้ยวไปตามทางที่เขาบอก แล้วก็เห็นหวงฝู่สือเมิ่งที่ยืนตะโกนเรียกอยู่กลางตลาดที่มีผู้คนมากมาย