“พี่ใหญ่!” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตะโกนเรียกแล้ววิ่งไปหานาง
หวงฝู่สือเมิ่งได้ยินก็วิ่งมา มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นแค่แขนเสื้อของนางที่ขาดเล็กน้อย กับหัวที่ยุ่งเหยิง แต่ไม่ได้มีแผลอะไร จึงโล่งใจ แล้วกล่าวโทษนางว่า “เจ้าก็วู่วามเกินไป ถ้าหากเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร”
“ไม่หรอกพี่ใหญ่” พอผ่านพ้นอันตรายมาได้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ท่านพ่อท่านแม่ส่งองครักษ์ลับมาดูแลพวกเราไม่ใช่หรือ เวลาพวกเราเจออันตรายพวกเขาจะปรากฏตัวน่ะ”
“เจ้าเนี่ยนะ ถ้าเจ้าพลาดขึ้นมาล่ะ แล้วเจ้าจะเสียใจ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กอดแขนหวงฝู่สือเมิ่ง “เอาล่ะพี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว วันหลังจะไม่วู่วามอีกแล้ว”
หวงฝู่สือเมิ่งได้แต่ส่ายหน้า ถามองครักษ์ลับว่า “แล้วพวกมันล่ะ”
“อยู่ตรอกทางนั้นขอรับ เดี๋ยวข้าจะกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้” องครักษ์ลับ
“ในกระเป๋าสตางค์นั่นเหลือแต่เศษเหรียญ ไว้ชีวิตพวกเขา แล้วส่งไปที่ว่าการเจ้าเมืองก็พอ”
“ขอรับ”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า แล้วหันไปถามหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “พวกเรารีบไปหาท่านย่ากันเถอะ นางคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับ แล้วเดินกอดแขนนางไปหาพระชายาฉี
พอองครักษ์ลับเห็นว่าพวกนางเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนแล้ว ถึงหันหลังกลับไปที่ตรอกนั้น
องครักษ์ลับสี่คนกับชายฉกรรจ์สี่คน ยังไม่มีใครเปิดศึกก่อน ตอนนี้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างสลัดคราบคนปอดแหกออกไป แล้วกลับมาดูดุดันน่าเกรงขราม ความกล้าแกร่งของพวกมันแผ่ออกมาไม่แพ้ไปกับองครักษ์ลับที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มที่อยู่ไกลๆ คนนั้นกำมือแน่น องครักษ์ลับสามพันนายของหวงฝู่อี้เซวียน เขาเคยได้ยินมาก่อนแล้ว ตั้งแต่พวกท่านอ๋องฉีออกจากเมืองหลวงมา เขาก็ส่งคนมาติดตาม คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของพวกเขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้ก็เกือบสองเดือนแล้ว กลับหาร่องรอยของพวกเขาไม่พบเลย เพราะเหตุนี้เขาจึงเลือกลงมือในวันนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าองครักษ์ลับพวกนี้จะออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โจมตีเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำลายแผนการของเขาจนหมดสิ้น และที่สำคัญ วันนี้คนของเขาคงไม่รอดแล้ว
องครักษ์ลับที่ไปส่งหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมา ยืนอยู่ตรงหน้าพวกมัน มองชายฉกรรจ์พวกนั้น แล้วถามว่า “จะให้พวกข้าลงมือ หรือว่าพวกเจ้าจะยอมจำนน”
ชายฉกรรจ์ที่ขโมยกระเป๋าสตางค์ไร้ซึ่งสีหน้าเกรงกลัว ยิ้มออกมาบอกว่า “ล้อเล่นน่า พวกเจ้าแค่ไม่กี่คน จะเอาชีวิตพวกข้างั้นรึ”
“ดูเหมือนว่าจะให้พวกข้าลงมือสินะ” องครักษ์ลับถาม
“อย่าพูดมากไปหน่อยเลย พวกเจ้าทำลายแผนการของข้า แล้วยังจะมาเจ๊าะแจ๊ะอีก ตายเสียเถิด!”
กล่าวจบ ก็เริ่มโจมตีด้วยท่าทีที่คล่องแคล่ว
อีกสามคนก็เข้าร่วมไปด้วย
หัวหน้าองครักษ์ลับยืนนิ่งอยู่กับที่
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ที่ไกลๆ กำลังจะโบกมือ สั่งให้คนเข้าไปช่วย แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงเอามือลง มองชายฉกรรจ์พวกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังจากไป
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ฝีมือไม่เลว สู้กันไปได้สิบกว่ากระบวนท่า ส่วนเหล่าองครักษ์ลับก็ไม่ออมมือเช่นเดียวกัน
“รีบจัดการให้เรียบร้อย เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่อง” องครักษ์ลับที่ยืนมองอยู่ออกคำสั่ง
พูดจบ ก็เข้าไปร่วมสู้ด้วย มีดเล็กที่อยู่ในมือ ปาดเข้าที่คอของชายฉกรรจ์คนหนึ่งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ชายฉกรรจ์คนนั้นตาค้าง ล้มลงไปที่พื้น เลือดไหลนองออกมา จนพื้นเต็มไปด้วยสีแดงจากเลือด
ชายฉกรรจ์อีกสามคนสมาธิหลุด จนโดนองครักษ์ลับปาดคอไป แล้วทั้งสี่คนล้มลงกับพื้นไปตามๆ กัน แล้วค่อยๆ หมดลมหายใจไป
โค้งตัวลง พลิกตัวชายฉกรรจ์ขึ้น เก็บกระเป๋าสตางค์มาเป่าฝุ่น แล้วเก็บไว้อย่างดี หัวหน้าองครักษ์ลับก็ออกคำสั่งว่า “ทำลายเสีย”
องครักษ์ลับคนหนึ่งตอบรับ แล้วหยิบขวดดินเผาออกมาจากแขนเสื้อ เปิดออก แล้วเทลงบนศพของพวกชายฉกรรจ์
แล้วศพก็มีเสียง ซู่ๆ ออกมา จากนั้นก็มลายหายไป ถ้าหากว่าไม่มีเลือดหลงเหลืออยู่ล่ะก็ ก็แทบไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้เมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำ
พอหัวหน้าองครักษ์ลับหันหลัง คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนก็ผุดขึ้นมาทันที ‘เมื่อใดที่พวกเจ้ารู้สึกว่าคนใดไม่ชอบมาพากล ก็ฆ่ามันให้หมด แล้วทำลายอย่าให้เหลือซาก อย่าให้เหลือร่องรอยที่จะเป็นปัญหาภายหลังได้’
ชายฉกรรจ์พวกนี้ แต่งตัวเป็นคนธรรมดา แต่พวกเขามีฝีมือไม่ธรรมดาเลย ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน แต่วันนี้พวกเขาไม่ได้มีเวลาไปสืบต่อว่าพวกมันเป็นใครจากไหน เพราะความปลอดภัยของเจ้านายต้องมาก่อน
เห็นพระชายาฉีร้อนรนอยู่ไกลๆ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ปล่อยแขนหวงฝู่สือเมิ่งออก แล้วเดินรุดเข้าไปในกลุ่มคน วิ่งมาหานาง ยิ้มแล้วพูดอ้อนว่า “ท่านย่า”
“เจ้าไปที่ใดมา ย่าตกใจแทบแย่ เจ็บตรงไหนหรือไม่” พระชายาฉีถาม
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ”
“ให้ย่าดูที” พระชายาฉีดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่านางไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน เลยโล่งใจ แล้วรู้สึกว่าขาแข้งของตนนั้นอ่อนระทวยลงทันที
“ท่านย่า!” หวงฝู่สือเมิ่งตกใจ รีบเข้าไปพยุงนาง แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
พระชายาฉีโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ คงเพราะร้อนใจไปหน่อย ตอนนี้เลยไม่มีแรง พวกเจ้าพยุงข้ากลับไปที่รถม้าทีเถิด”
หวงฝู่สือเมิ่งไม่ขยับ แต่ใช้มือจับไปที่ชีพจรของเขา เพื่อดูว่านางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แล้วถึงจะพยุงนางกลับไปหาท่านอ๋องฉี
ตอนที่พวกนางออกไปยังดีใจอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่นาน พระชายาฉีก็เดินกลับมาอย่างช้าๆ ท่านอ๋องฉีที่นั่งอยู่บนรถม้าเห็นว่าผิดแปลกไป เลยรีบลงมา รีบเดินไปหานาง แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอันใดงั้นรึ”
“เจอโจรเจ้าค่ะ มาขโมยกระเป๋าสตางค์เย่ว์เอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์บุ่มบ่ามตามพวกมันไป ข้าเป็นห่วง เลยหมดแรงเจ้าค่ะ” พระชายาฉีอธิบายคร่าวๆ ให้ท่านอ๋องฉีฟัง
ท่านอ๋องฉีหรี่ตา ตั้งแต่หวงฝู่ซวิ่นครองราชย์ ก็ได้พัฒนาการเกษตรอย่างเต็มรูปแบบ ลดหย่อนภาษี ชาวบ้านกินดีมีสุข จะมีโจรได้อย่างไร หรือว่าที่ตรงนี้มันจะห่างจากการดูแลไปหน่อย เลยเกิดการโกงกินกันในหมู่ข้าราชการท้องถิ่นงั้นรึ
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์พยุงพระชายาฉีขึ้นบนรถม้า
พราะชายาฉีนั่งลง ถอนหายใจ ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ข้าแก่แล้วน่ะ เรื่องแค่นี้ ก็หมดเรี่ยวหมดแรงแข้งขาอ่อนเสียแล้ว”
“ท่านย่าเจ้าคะ เย่ว์เอ๋อร์ผิดเอง วันหลังเย่ว์เอ๋อร์จะไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่ากล่าวโทษตัวเองเช่นนี้เลย ท่านไม่ได้แก่ ไม่แก่เลยสักนิดเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีลูบหัวนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของย่า วันหลังอย่าวู่วามเช่นนี้อีกนะ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ย่าคงรับไม่ได้”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า “ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ ท่านย่าวางใจเถิด จะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”
พระชายาฉีขึ้นมานั่งบนรถ แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
แล้วหวงฝู่เย่าเย่ว์เล่าเหตุการณทั้งหมดให้นางฟัง
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ พออยากจะถามเพิ่มเติม ก็มีเสียงองครักษ์ลับรายงานว่า “ท่านอ๋อง!”
“ดูแลย่าของเจ้าให้ดีๆ” ท่านอ๋องฉีกำชับทั้งสอง แล้วลงมาจากรถม้า
องครักษ์ลับที่ยืนอยู่ด้านนอก พอเห็นท่านอ๋องฉีลงมา ก็เข้ามาคารวะแล้วพูดว่า “กระหม่อมเซี่ยเฟิงได้รับคำสั่งให้ติดตามดูแลความปลอดภัยของพวกท่านขอรับ”
“พวกเจ้าตามพวกเรามาตลอดเลยงั้นรึ” ท่านอ๋องถาม
“ขอรับ เจ้านายสั่งพวกเราว่า ให้พวกท่านเที่ยวกันให้สนุก ถ้าหากไม่มีเหตุจำเป็น ไม่ต้องออกมาขอรับ” เซี่ยเฟิงอธิบาย
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น แล้วพวกมันล่ะ”
เซี่ยเฟิงเล่าเรื่องของพวกมันและการคาดการณ์ของตนเองให้กับท่านอ๋องฉีฟัง แล้วยังบอกอีกว่า “พวกมันไม่เหมือนโจรทั่วไป เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เหมือนมีการวางแผนเอาไว้แล้วขอรับ กระหม่อมจัดการเช่นนี้ เพราะอยากจะให้คนที่อยู่เบื้องหลังมันออกมา ขอท่านอ๋องฉีเที่ยวให้สบายใจ แล้วกระหม่อมจะจัดการทุกอย่างเองขอรับ”
“มีเรื่องอะไรต้องมารายงานตลอดเวลา แล้วส่งคนไปสืบด้วย ทางใต้นี้ มันจะเหมือนที่ขุนนางท้องถิ่นรายงานว่าทุกคนอยู่ดีกินดี ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลยจริงหรือไม่”
“ขอรับ”
แล้วพวกเซี่ยเฟิงก็หายไป
ท่านอ๋องฉีกลับมาที่รถม้าด้วยท่าทางปกติ
พระชายาฉีอดถามไม่ได้ว่า “เซวียนเอ๋อร์ส่งคนมางั้นหรือเจ้าคะ”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “พวกเขาตามพวกเรามาตั้งแต่เมืองหลวงแล้ว เจ้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาจะคอยช่วยเหลือพวกเรา”
“แบบนี้ก็ดีเลยสิ เรื่องวันนี้ทำข้าตกใจแทบแย่ มีพวกเขาอยู่ ข้าจะได้วางใจ”
จริงๆ แล้วท่านอ๋องฉีเองก็มีองครักษ์เงาอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ตอนที่ออกมา ไม่ได้ให้พวกเขาตามมาด้วย เหตุเพราะอยากจะอยู่กับหลานๆ และพระชายา เที่ยวเล่นอย่างสบายใจ ไม่อยากให้พวกเขาต้องมาคอยดูทุกฝีเก้า และแน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือ หวงฝู่อี้เซวียนบอกว่าเตรียมพร้อมเสร็จสรรพทุกอย่างแล้ว เขาจึงวางใจออกมากับพระชายาและหลานๆ ได้อย่างสบายใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่พวกเขาออกเมืองหลวงมาจะมีคนจับได้ เพราะมีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ ขนาดหวงฝู่ซวิ่นเองยังไม่รู้เลย แล้วจะมีใครกล้ามาทำร้ายได้อีก
ท่านอ๋องฉีคิดไปต่างๆ นาๆ
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นนั่งปาถ้วยชาลงพื้นจนแตกละเอียดด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก เสียงที่ดังสนั่นทำให้คนในห้องนั้นแทบไม่กล้าที่จะหายใจ อีกทั้งยังทำให้คนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ตกใจกันไปตามๆ กัน ทั้งคนที่มากินเหล้ารวมไปถึงตัวเถ้าแก่เองด้วย
เถ้าแก่เงยหน้าขึ้น เพราะได้ยินเสียงจากห้องด้านบน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เลยเดินออกจากโต๊ะบริการ ขึ้นมาด้านบน ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ห้องนั้นเลย ก็มีคนบอกว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
คนที่อยู่ตรงหน้ารูปร่างใหญ่ หน้าตาดุดัน เถ้าแก่ก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีแน่ จึงถามว่า “นายท่าน ข้าได้ยินเสียง หรือว่ามีคนของเราไปรบกวนนายท่านขอรับ”
“เจ้านายของข้ากำลังโมโห ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ของที่เสียหาย เดี๋ยวพวกเราจะชดใช้ให้ ออกไปก่อนเถอะ!”
เถ้าแก่รอฟังเพียงคำนี้ รีบตอบรับแล้วออกไป
ในห้อง ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะยังไม่หายโมโห หยิบถ้วยอีกใบหนึ่งจะปาลงอีก แต่นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือโรงเตี๊ยม ทำแบบนี้จะเป็นที่สนใจของคนอื่นเอาได้ มือที่ชูขึ้นก็เอาลง แล้ววางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแรง
โอกาสวันนี้ เป็นโอกาสที่เขาใช้เวลาสองเดือนกว่าจะคว้ามาได้ กว่าจะได้เขาใกล้ยัยหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่น วางแผนไว้หมดแล้วแท้ๆ ว่าจะเป็นวีรบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วยหวงฝู่เย่าเย่ว์ ให้นางมีภาพจำที่ดีต่อเขา แล้วที่เหลือจะได้ง่ายขึ้น แต่ยังไม่ทันไรก็โดนองครักษ์ลับมาฆ่าเสียจนหมด ไม่เพียงทำลายแผนของเท่านั้น แถมยังฆ่าคนของเขาไม่เหลือแม้แต่ซากศพอีกด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาโมโหได้เช่นไร
ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว หยิบถ้วยชาใบนั้นขึ้นมาเล่นใหม่ มองลายและสีสันบนถ้วยนั้นที่ขยับไปมา ก็ยิ้มมุมปากออกมาแล้วพูดว่า “หวงฝู่จิ้ง คอยดูเถอะ วันนั้นเจ้าดูถูกข้าไว้เยี่ยงไร เดี๋ยวถึงตาเจ้า ข้าจะเอาคืนเจ้าให้สาสม”
ท่านอ๋องฉีสงสัย แต่นึกเท่าใดก็นึกไม่ออกว่าใครมันจะมารู้ได้ว่าตนหายไปไหน แต่ไม่คิดอะไรต่อมากนัก อย่างไรเสียก็มีองครักษ์ลับตรวจสอบให้แล้ว ส่วนตนนั้นก็แค่ดูแลพระชายาฉีกับหลานๆ เที่ยวเล่นให้สนุกก็เป็นพอ
ทางใต้อากาศอบอุ่น มีที่ให้เที่ยวเล่นมากมาย แล้วทั้งสี่คนก็เที่ยวเล่นกันเพลินจนลืมไปเลยว่าตนอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว
ณ เมืองหลวง จวนอู่โหว
จากที่สืบเสาะมา นายท่านอู่โหวก็มั่นใจว่าอ๋องฉีไม่ได้อยู่ที่จวนแน่นอน ส่วนพวกเขาไปไหนนั้น ยังไม่รู้
“ทหาร ส่งคนไปสืบมา จะต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้เพื่อนญาติหวงฝู่จิ้งนั่นมันหายหัวไปไหน ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าออกนอกเมืองไป ไม่มีจวนอ๋องกับฝ่าบาทคอยคุ้มกะลาหัวมัน มันจะหยิ่งผยองเช่นนั้นได้อยู่ไหม”
ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ซวิ่นก็ได้ข่าวนี้เช่นเดียวกัน แต่ยังฟังหูไว้หู เลยเรียกหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาถาม “น้องเซวียน เสด็จอาไม่ได้อยู่ที่จวนใช่หรือไม่”
หลายเดือนผ่านไปแล้ว ข่าวลือคงแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบัง พยักหน้า “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่พาเมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ออกไปเที่ยวเล่น ส่วนไปที่ใดนั้น ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”