GGS:บทที่ 1059 เหตุฉุกเฉิน

ในโลกอินเตอร์เน็ตในตอนนี้ มีข่าวของซูจิ้งปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ฉันเพิ่งจะอ่านข่าวสายพันธุ์ที่สาบสูญไปเสร็จเองนะ พอปิดเรื่องนั้นไปก็มาเจอเรื่องการรักษาโรคนี่อีก ซูจิ้งนี่ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยจริงๆ”
“เห็นเขาว่ากันว่าซูจิ้งสามารถรักษาโรคต้อกระจก โรคสายตาและหูตึงได้อย่างง่ายๆเลยนะ และฉันก็คิดว่าไม่ใช่ข่าวปลอมแน่นอน เขานี่ดูทำมันให้เป็นเรื่องง่ายๆไปเลย”
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะ ไม่ใช่แค่โรคหูตึงแบบชั่วคราวนะ แม้กระทั่งโรคหูตึงแบบถาวรที่เขาว่ากันว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ แม้แต่คนที่รักษามาชั่วชีวิตจนถอดใจไปแล้วก็ยังรักษาหายได้เลย ฉันบอกได้แค่ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามหากเป็นซูจิ้งลงมือแล้ว เรื่องเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ฉันเองก็รู้สึกว่าบรรทัดฐานของฉันเองจะเพี้ยนไปเพราะซูจิ้งแล้วด้วยสิ”

ในขณะที่ทั่วทั้งโลกกำลังพูดถึงซูจิ้งกันไปทั่ว ซูจิ้งนั้นก็ยังติดตามผลการทดสอบกับหนูของเขาต่อไป ในระหว่างนี้เขาก็ค้นพบวิธีการใช้งานเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย และที่ดีที่สุดก็คือมีสัตว์หลายๆตัวที่ได้ถูกกล่าวถึงในนิยายอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรอยู่หลายสายพันธุ์เลยทีเดียว
เย็นวันนั้น ในขณะที่เขายังคงทำการทดลองอยู่นั้น โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมา คราวนี้เป็นเว่ยเสี่ยวหยวนที่โทรเข้ามา และเขาก็ได้รับโทรศัพท์ในทันที
แต่สิ่งที่เขาได้ยินนั้นเป็นเพียงเสียงสั้นๆว่า “หัวหน้า ช่วย…ตูมมม” หลังเสียงดังลั่นส่งผ่านมา โทรศัพท์ ก็ได้ตัดไปในทันที
ทันใดนั้นใบหน้าของซูจิ้งก็เปลี่ยนสีและรู้ในทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วแน่ๆ เว่ยเสี่ยวหยวนนั้นไม่ใช่คนที่จะทำเป็นเล่นอย่างแน่นอน นี่จึงมีคำตอบเดียวคือโทรกำลังเกตปัญหา
ซูจิ้งได้รีบโทรกลับ แต่เธอก็ไม่ได้รับสายอย่างที่คิด เขารีบโทรหาซูฉือและหลัวฉือหลินให้สืบหาที่อยู่ของเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที
ในขณะเดียวกันเขาขี่เสี่ยวจินขึ้นไปบนฟ้าในทันที เขาตรงไปยังใจกลางเมือง เพราะช่วงเวลานี้เขาคิดว่าอย่างน้อยเว่ยเสี่ยหยวนน่าจะยังคงอยู่ในเมืองอยู่ และช่วงนี้เขาเองก็ไม่ได้ยินว่าเธอต้องไปประชาสัมพันธ์หรือมีโปรแกรมที่จะต้องออกนอกเมืองแม้แต่น้อย และในฐานนะเธอมีหน้าที่รับหน้าแทนนี้ จึงมีโอกาสที่เธอต้องพบเจอบางสิ่งเป็นแน่

หลังจากบินไปได้สักพัก เสียงโทรศัพท์ของซูจิ้งดังอยู่ไม่ขาด ด้วยการที่เขาบินเร็วมากกว่าจะรู้สึกตัวก็นานพอดู เมื่อเห็นว่าเป็นซูฉือเขาก็ได้ลดความเร็วลงในทันทีและรับสาย ซูฉือได้รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “มีผู้หญิงคนหนึ่งพึ่งจะตกลงจากตึกบนพนนดาเชิง ในเขตหลัวหยุน เมืองจงหยุน นั่นน่าจะเป็นเว่ยเสี่ยวหยวน”
“สืบหาข้อมูลต่อไป บอกฉือหลินให้เข้าไปควบคุมสถานการณ์ในทันที” ซูจิ้งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเว่ยเสี่ยวหยวนกันแน่ เขารู้แต่ว่าตอนนี้ตาของเขาแดงกร่ำอย่างมาก แต่ท่าทีของเขานั้นยังสงบและน่ากลัวอย่างยิ่ง
หลังจากสั่งการไปแล้วเขาได้รีบใช้ยันต์เร่งความเร็วในทันที และทันใดนั้น เสี่ยวจินก็กลายเป็นประกายแสงในทันที
ในขณะเดียวกัน ณ พื้นที่เกิดเหตุที่ตอนนี้รายล้อมไปด้วยผู้คน
มีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในชุดสั่งตัดหล่นลงมาบนต้นไม้ที่อยู่ข้างตึก ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยแผลและร่างกายที่ชโลมไปด้วยเลือด ต่อให้เป็นถึงขนาดนี้ หากซูจิ้งมาเห็นเข้า แน่นอนว่าย่อมต้องรู้ทันทีว่านี่คือเว่ยเสี่ยวหยวนอย่างแน่นอน
เหล่าชายหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ บางคนโทรตาม 120(เบอร์แจ้งเหตุฉุกเฉินของจีน) มีชายสองคนและหญิงอีกสองคนที่พอจะรู้วิธีปฐมพยาบาลอยู่บ้างได้พยายามช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ พวกเขาได้พยายามห้ามเลือดอย่างสุดความสามารถ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเธอเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เว่ยเสี่ยวหยวนจะมีต้นไม้รองรับ แต่ด้วยการที่เธอตกมาจากชั้นห้า ต่อให้เธอโชคดียังไงก็ยังต้องเจ็บหนักอยู่ดี
“ช่างน่ากลัวจริง เธอหล่นมาได้ยังไงกัน”
“ใครจะไปรู้ล่ะ อาจจะกระโดดลงมาเองก็ได้”
“คนสวยๆแบบนี้อ่ะนะ ในชีวิตของเธอยังจะมีเรื่องที่ต้องให้โดดลงมาเองด้วยเหรอ”
“ฉันว่าไม่ใช่กระโดดลงมาเองนะ ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนพึ่งจะลงมาจากทางบันได”
เว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้บาดเจ็บหนักจนเกือบจะสิ้นลมอยู่แล้ว
ทันใดนั้นอยู่หน้าอกของเธอก็สั่นละรัวราวกับโดนไฟฟ้าช็อตจนทำให้ยากที่จะหายใจได้จนทำให้ทุกคนต่างก็ถอยออกมาอย่างตกใจ
ในตอนนี้ไม่มีใครเลยที่จะสังเกตเห็นว่ามีเงาบางอย่างได้โอบรอบมือและเท้าทั้งสองข้างของเธอไว้ เงานั้นนอกจากมือและเท้าแล้วมันยังมีหางและฟันอันแหลมคำ และแน่นอนว่ากระแสไฟฟ้านี้ถูกปล่อยออกมาจากมันนั่นเอง
เงาประหลาดนี้ก็คือสแตนด์ของหลัวฉือหลิน เขามาถึงที่นี่เป็นคนแรกแล้วแต่ไม่ได้แสดงตัวแต่อย่างใด แม้แต่ซูจิ้งก็ยังทำอย่างเขาไม่ได้
และเป็นเขาเองที่ปล่อยไฟฟ้าคอยกระตุ้นหัวใจของเว่ยเสี่ยวหยวนให้ทำงานเป็นระยะ แต่วิธีการนี้สามารถยื้อชีวิตของเธอได้อีกไม่นานเท่านั้น
เขารู้ดีว่าเขานั้นไม่สามารถช่วยชีวิตของเว่ยเสี่ยวหยวนไว้ได้ แต่จะให้เขานั้นคอยดูเว่ยเสี่ยวหยวนจากไปเฉยๆเองเขาก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ผ่านไปสักพัก หมอก็ได้มาถึง พวกเขาได้รีบตรงเข้าช่วยเหลือเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที หลัวฉือหลินที่เห็นเขาก็ไม่ได้คิดจะหยุดหมอเหล่านี้และคอยดูอยู่ไม่ห่าง เพราะเขารู้ดีว่าในการช่วยเหลือชีวิตแบบนี้ สมควรให้มืออาชีพจะดีที่สุด
ผ่านไปอีกสองถึงสามนาที หลัวฉือหลินก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากฟากฟ้า วัตถุสีดำประกายแสงสว่างแวบผ่าท้องฟ้ามาและตรงมาที่นี่อย่างเห็นได้ชัด
หลัวฉิหลินในตอนนี้หลิ่วตามองด้วยความไม่แน่ใจในสถานการณ์ เขาจับจ้องไปที่ผู้คนโดยรอบแต่ไม่ผมสิ่งปกติ เขาจึงได้พอจะวางใจขึ้นมาได้บ้าง
“นี่…ซูจิ้งไม่ใช่เหรอ เขามาที่นี่ได้ยังไง”
“พระเจ้า ถอยเร็ว เขาเหมือนจะกระโดดมาที่นี่เลย”
“ไม่มีทางน่า เดี๋ยวเขาก็ได้ตายกันพอดี”
ด้วยการที่อินทรีย์ทองตัวนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ต่อให้มันบินเร็วจนมองเห็นไม่ชัดขนาดไหนแต่ยังไงซะทุกคนต่างก็สรุปได้ว่านี่คือซูจิ้งอยู่ดี
แต่ที่ทุกคนไม่รู้ก็คือซูจิ้งและบินมาด้วยความเร็วขนาดนี้ ด้วยความสูงกว่าสิบเมตรแบบนี้โดยไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อยแบบนี้ราวกับพวกเขาจะพุ่งโหม่งโลกยังไงอย่างนั้น
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่รู้ว่าเขาและอินทรีย์ทองนั้นแข็งแกร่งแบบสุดๆต่างก็นึกว่าพวกเขาจะโหม่งโลกตายจนเกิดความแตกตื่นขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่จินเต๋าบินลงมาในระยะห้าเมตรเหนือจากพื้น จินเต๋าก็ได้กางปีกเพื่อต้านลมเต็มที่ทำให้มันหยุดอยู่กางอากาศในทันที ลมที่เกิดจากการกระจายแรงต้านนี้ทำให้เกิดลมกรรโฉกที่รุนแรงจนทำให้ผู้คนแถวนั้นเกือบล้มกันไปเลย
ในตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้กระโดดลงมาตัวเปล่าในทันที เมื่อร่างกายของเขาลงมายังพื้น เขาทำแค่ย่อขาลงเล็กน้อยเพื่อกระจายแรงต้านและยืนอย่างแน่วแน่ในทันที
ส่วนเสี่ยวจินเองก็กระพือปีกผยุงตัวอยู่กลางอากาศอยู่แบบนั้นสักพักจึงค่อยๆไต่ระดับความสูงลงมาอยู่ที่สองเมตร ก่อนที่จะกระพือปีกอย่างแรงให้รอยตัวขึ้นอีกครั้ง
“ปล่อยฉันเอง” ซูจิ้งที่พุ่งเข้าไปยังร่างของเว่ยเสี่ยวหยวนได้พูดด้วยเสียงอันดังก้อง เขานำยาสีแดงเม็ดหนึ่งออกมาและใส่เข้าไปในของเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที
ยาเม็ดนี้คือยาคืนชีวิตที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ เดิมที่เขาได้มาทั้งหมดสี่เม็ด ลองใช้ไปแล้วหนึ่งเม็ดจึงเหลืออีกสาม แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ตรงหน้านี้เขาไม่อิดออดที่จะใช้มันเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเว่ยเสี่ยวหยวนได้กลืนเม็ดยาคืนชีวิตเข้าไป ซูจิ้งก็เริ่มปล่อยคลื่นพลังสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิไปยังร่างกายของเว่ยเสี่ยวหยวนอ่างเต็มสูบ
เหล่าหมอที่พยายามจะช่วยเว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้เองก็พละออกมาจากร่างของเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที ด้วยการที่เขารู้ชื่อเสียงของซูจิ้งในฐานะหมอเทวดาเป็นอย่างดีทำให้พวกเขาพอจะอ่านสถานการณ์ออกได้บ้าง พวกเขาจึงเรียกที่จะอยู่รอดูอยู่ข้างๆ เพื่อซูจิ้งนั้นจะไม่สามารถทำอะไรไม่ได้และต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อเขา
แต่พวกเขาเองนั้นก็อดที่จะถอดถอนหายใจอยู่ภายในจิตใต้สำนึกไม่ได้ นั่นก็เพราะอาการของหญิงสาวผู้นี้หนักมาก
การที่เธอไม่ตายจนมาถึงตอนนี้ก็เป็นปฏิหารย์มากแล้ว ต่อให้ซูจิ้งมาเองแบบนี้ก็คงยากที่จะช่วยเหลือหญิงสาวผู้นี้ได้

ผู้คนโดยรอบในตอนนี้เริ่มกระซิบคุยกันออกมา
“นี่ๆ ฉันพึ่งจะจำได้ว่าผู้หญิงคนที่เจ็บหนักนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนของซูจิ้งนะ”
“ดูเหมือนจะใช่นะ ฉันว่าฉันเคยเห็นรูปถ่ายของเธออยู่ รู้สึกว่าเธอจะชื่อว่าเว่ยเสี่ยวหยวนนะถ้าจะไม่ผิด นี่ฉันไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าตัวแทนของซูจิ้งจะเป็นสาวสวยขนาดนี้”
“ไม่แปลกใจเลยที่ซูจิ้งจะรีบมาที่นี่เพื่อช่วยเธอ”
“แต่มันก็เท่านั้นแหล่ะ สภาพแบบนี้ใครจะช่วยได้ล่ะ ทำไมสาวสวยคนนี้ถึงตกมาได้กันนะ”

เมื่อต้องเห็นหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งตกลงมาจากที่สูงแบบนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องภาวนาให้เธอได้รอดชีวิต แต่ด้วยอาการบาดเจ็บหนักหนาขนาดนี้จะช่วยได้ยังไงกัน