GGS:บทที่ 1060 ปาฏิหารย์

ทั้งหมอ พยาบาล และผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็สับสนและมึนงงไปหมด นั่นก็เพราะภาพที่พวกเขาเห็นนั้นก็แค่ภาพที่ซูจิ้งป้อนยาบางอย่างให้เว่ยเสี่ยวหยวน หลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ข้างๆและเอามือทาบไปที่อกของเธอไว้ก็แค่นั้นเอง หลังจากนั้นเขาก็นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นสองสามนาทีแล้ว
หากว่าเป็นคนอื่นๆล่ะก็ พวกเขาคงเข้าไปคว้าคอแล้วจับโยนออกมาแล้วทำหน้ากู้ชีพต่อแล้ว แต่ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกทำให้ทุกคนไม่กล้าจะทำอะไรแม้แต่น้อย
ในตอนนี้ทุกคนอย่างจะทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ต่อให้มีความหวังเพียงริบหรี่แต่ก็ดีกว่าจะให้ยืนดูอยู่เฉยๆแบบนี้ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะหวังพึ่งปาฏิหารย์จากสวรรค์แบบนั้นเลยสักคน
อย่างไรก็ตาม ไม่นานทุกคนก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในทันทีที่เห็นบาดแผลของเว่ยเสี่ยวหยวนหยุดไหลแล้ว ตอนแรกพวกเขาต่างก็นึกว่าเธอตายแล้วแต่ก็เห็นเว่ยเสี่ยวหยวนมีลมหายใจที่ปกติยิ่งขึ้น สีหน้าของเธอเองก็ดูเหมือนจะเริ่มมีเลือดขึ้นไปหล่อเลี้ยงแล้ว

ในตอนนี้เอง ซูจิ้งได้นำบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อก่อนที่จะใส่ปากของเธอไป มันดูเหมือนเนื้อบางอย่างจนทำให้หมอที่เห็นต่างก็มองหน้ากันแบบงงๆหนักเข้าไปอีก นั่นก็เพราะช่วงเวลาแบบนี้ไม่ควรจะใช่เวลามาห่วงเรื่องกินแบบนี้
และเป็นอีกครั้งก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุผลขึ้นเพราะในตอนนี้ใบหน้าของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นดูดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้นำสิ่งที่เหมือนกับหยกออกมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งกระจ่างใสราวคริสตัลและมีสีเหลืองอำพันโดยชิ้นนี้เขาใส่ไว้ในมือซ้ายของเธอ ส่วนชิ้นที่สองมันมีสีขาวราวกับน้ำนมและเขานำไปไว้ในมือขวาของเธอ
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ใช้มือทาบไปที่หน้าอกของเว่ยเสี่ยวหยวนอีกครั้งก่อนจะปิดตาลง และในครั้งนี้เขานั่งนิ่งนานกว่าเดิมโดยไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเวลาผ่นไปนานสักพักใหญ่ ในที่สุดเว่ยเสี่ยวหยวนก็เริ่มจะขยับตัว เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมา และทันทีที่เธอเห็นซูจิ้งก็รู้สึกประหลาดใจจนพูดออกมาว่า “ซูจิ้ง… นี่นาย…”
“ไม่ต้องพูด” ซูจิ้งพูดออกมา
เว่ยเสี่ยวหยวนที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดต่อแต่อย่างใด เธอมองไปรอบๆอย่างช้าๆและเริ่มจำได้ว่าเธอนั้นตกลงมาจากตึกและเธอเองก็กลัวมากจนโทรหาซูจิ้งโดยไม่รู้ตัว
แต่ในตอนนี้เธอกลับมีความสุขอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้เธอเองก็คิดว่าใช้โชคของเธอไปจนหมดแล้ว ครั้งก่อนที่เธอตกจากตึก เธอได้สไปเดอร์แมน(ซูจิ้ง)ช่วยเหลือเอาไว้
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอตกลงมาแล้วก็ไม่ตาย แต่ในครั้งนี้กลับเป็นซูจิ้งที่ช่วยเหลือเธอไว้
หมอ นางพยาบาล และผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์โดยรอบที่เห็นฉากนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยออกมาอย่างโหวกเหวกโวยวาย

“เธอลืมตาแล้ว เธอน่าจะดีขึ้นแล้วนะ”
“ลองดูสีหน้าเธอสิ ถึงแม้จะยังดูอ่อนแรงแต่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วนะ”
“เป็นไปได้ยังไง เลือดท่วมซะขนาดนี้ แม้แต่หายใจได้ยังยากเลย นี่พวกเขาแกล้งกันเล่นรึเปล่าเนี่ย”
“นี่นายคิดได้ยังไงกัน มีคนเห็นเธอตกลงมาเลยนะ อาการบาดเจ็บนั่นต้องเป็นของจริงแน่ และซูจิ้งเองก็สมควรจะช่วยเธอได้จริงๆ นี่เรียกได้ว่าที่เธอรอดมาได้เป็นเพราะฝีมือการแพทย์ของซูจิ้งแท้ๆ”
“ฉันแทบจะไม่เห็นเขาทำอะไรเลยนะ แล้วเขารักษาเธอได้ยังไงกัน”
“อย่าหาเหตุผลกับคนเทพๆแบบนี้จะดีกว่า”
“คราวนี้เป็นปาฏิหารย์โดยแท้แบบไม่ขาดไม่เกินเลยสักนิด”

“ยังเจ็บอยู่ไหม” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่ใช้มือจับไปยังส่วนต่างๆของเว่ยเสี่ยวหยวนเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกาย
ในชั่วขณะหนึ่ง เว่ยเสี่ยวหยวนแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา เป็นขาข้างขวาเธอที่หัก และกระดูกซี่โครงที่น่าจะหักหนึ่งไม่ก็สองซี่เห็นจะได้ แต่เทียบกับสภาพเป็นตายก่อนหน้านี้นี่ก็เรียกได้ว่าดีกว่ามาก
คราวนี้ ซูจิ้งไม่ได้ทำอะไรต่อ เขาให้หมอและพยาบาลที่รออยู่เข้ามาปฐมพยาบาลต่อ อย่างไรก็ตาม เขาได้แสดงความต้องการออกมาในทันทีว่าจะไม่ส่งเว่ยเสี่ยวหยวนไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่นนอกจากโรงพยาบาลจงหยุนของเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าด้วยฝีมือการใช้มีดของเขาแล้ว เว่ยเสี่ยวหยวนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอหายดี
“นายอยู่ที่นี่และสืบสวนเหตุการณ์ซะ” ซูจิ้งพูดออกมาเบาๆจนไม่มีใครสามารถได้ยินได้ชัด มีเพียงเงาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเขาเท่านั้นที่พยักหน้า

หลังจากซูจิ้งขึ้นรถพยาบาลและจากไป เหล่าผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันทุกคน บางคนยังถ่ายรูปและโพสต์ขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตด้วยซ้ำ
บางคนไปไล่ดูร่องรอยการตกของเว่ยเสี่ยวหยวน แม้แต่ภาพทะเลเลือดที่กองอยู่บนพื้นก็ยังถูกถ่ายส่งขึ้นบนอินเตอร์เน็ต หากว่าในครั้งนี้เว่ยเสี่ยวหยวนนั้นไม่รอดก็คงไม่มีใครคิดจะทำแบบนี้ เพราะยังไงซะทุกคนต่างก็ย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
แต่นี่ หญิงสาวที่ประสบเคราะห์กรรมใหญ่ขนาดนี้กลับรอดได้อย่างปาฏิหารย์ แน่นอนว่าพวกเขาต้องการภาพถ่ายเหล่านี้ไปใช้ประกอบการตีแผ่เรื่องราวอันน่าพิศวงนี้
หากเป็นเหตุการณ์ปกติถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่หมอแต่ดูจากสภาพยังไงก็ไม่น่าจะรอด และยิ่งในหมู่พวกเขานั้นมีคนที่เข้าใจการปฐมพยาบาลและการสังเกตอาการอยู่
กับคนที่เรียนรู้เรื่องนี้มา ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม เว่ยเสี่ยวหยวนก็ไม่รอดแน่ๆ ต่อให้ไปโรงพยาบาลได้ในทันทีที่เธอตกลงมา แต่แค่ยกเธอขึ้นที่ช่วยยกเธอก็อาจตกตายได้ในทันทีที่ขยับ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ซูจิ้งมาถึง เขารักษาอาการบาดเจ็บต่างๆของหญิงสาวได้อย่างรวดเร็วจนกลับมารอดชีวิตได้ เขาทำได้แม้แต่การทำให้ลมหายใจของเธอคงที่และลืมตาขึ้นมาจนพูดได้ด้วยซ้ำ
แม้แต่ตอนที่เหล่าพยาบาลนำเธอขึ้นที่ยก เธอยังช่วยให้ความร่วมมือได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ไม่ว่ามองยังไงเธอต้องรอดแน่ๆ นี่ถ้าไม่ใช่ปาฏิหารย์แล้วจะให้เรียกว่าอะไร

ในตอนนี้เหล่าหมอคนอื่นๆที่เห็น รวมถึงลูฉินหมิง หวังกังหยุน และหลิวเว่ยต่างก็ประหลาดใจและสับสน นั่นก็เพราะสิ่งที่พวกเขาได้เห็นจากภาพและวิดีโอนั้นต่างก็เห็นว่าซูจิ้งทำเพียงนำมือวางทาบอกเท่านั้น
เว่ยเสี่ยวหยวนใจรอนนี้ถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลจองหยุนแล้ว ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆพร้อมทั้งเหล่าพยาบาลที่เตรียมไว้พร้อมอยู่ก่อนแล้วก็ได้รีบพาเธอไปยังคลีนิคพิเศษในทันที
“ผมจะให้คุณเป็นผู้ช่วยและผมจะเป็นคนลงมีดเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“เยี่ยม” ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งแม้แต่น้อย
เป็นอีกครั้งที่เว่ยเสี่ยวหยวนต้องตรวจสอบอาการ หลังจากตรวจดูอาการโดยละเอียดแล้วทุกอย่างไม่มีปัญหา นอกจากขาที่หักสองข้างและซี่โครงที่หักไปสองซี่แล้วก็ไม่มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงอย่างอื่นอีก
ในส่วนอาการบาดเจ็บถึงตายและบาดแผลก่อนหน้านี้นั้นซูจิ้งได้ใช้ยาคืนชีวิตรักษาไปหมดแล้ว จะมีเหลือก็คงจะเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆน้อยๆราวกับโดนกิ่งไม้เกี่ยวแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะมันสามารถรักษาได้โดยผงลบเลือนริ้วรอยที่เขาได้จากห้วงเวลาฯจูเซียนจนไม่เหลือร่องรอยอย่างแน่นอน

หลังจากที่การผ่าตัดเสร็จสิ้น ซูจิ้ง ได้ใช้คลื่นพลังใบไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง และด้วยการที่ผลของยาคืนชีวิตยังคงอยู่ทำให้เว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีอ่อนแรงแต่อย่างใด
“นี่เธอชอบการกระโดดตึกนักรึไงเนี่ย” ซูจิ้งที่เห็นหน้าเว่ยเซี่ยวหยวนในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาเชิงหยอกเย้า
“ใครจะไปชอบกระโดดตึกกัน ห้ะ” เว่ยเสี่ยวหยวนตอบกลับพลางเหลือกตามอง
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกัน” ซูจิ้งถามออกมา
“ก่อนหน้าที่ฉันจะกระโดดลงมานั้นมีใครบางคนต้องการจับตัวฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร รู้แต่ว่าอยู่ๆก็โผล่มาและมุ่งเป้ามาที่ฉันในทันที
เท่าที่ดูพวกมันน่าจะอยากลักพาตัวฉันไป แต่ฉันเองก็ได้เรียนเพลงหมัดวัวคลั่งมาบ้างก็เลยขัดขืนแต่ก็ยังไม่เก่งพอที่จะไล่พวกมันไปได้

ตอนนั้นฉันเองก็รีบหนี พอเห็นต้นไม้กก็เลยพยายามที่จะกระโดดไปที่ต้นไม้ แต่ฉันพลาดที่จะคว้ากิ่งไม้ไว้ได้เลยตกลงมา” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมาราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องโชคร้ายธรรมดา
แต่ในความจริงแล้วสถานการณ์นี้ช่างร้ายแรงอย่างใหญ่หลวงนัก เธอเองก็พอจะนึกถึงคนที่กล้าจะทำแบบนี้ได้อยู่เหมือนกัน
แต่หาไม่ใช่กลุ่มคนที่เธอคิดไว้ล่ะก็ หากเรื่องนี้สำเร็จไปได้ล่ะก็เธอกลัวจริงๆว่ากลุ่มคนที่เธอคิดไว้จะเข้าไปร่วมด้วยและเรื่องราวจะยิ่งเลวร้ายไปมากกว่านี้
“มัน เป็น ใคร” ซูจิ้งรีบถามออกมาในทันที เขาเองก็พอจะคิดออกบ้างเหมือนกัน นั่นก็เพราะเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นถอนตัวออกมาเพื่อช่วยพ่อของเธอต่อกรกับเเฉียนหยุนก็จริง
แต่ในตอนนี้ เธอเองกลายเป็นตัวแทนของเขาแล้ว คนของเหเฉียนหยุนเองก็สมควรจะไม่กล้าจะทำอะไรแล้วเพราะมีเขาคอยหนุนหลัง แต่การที่เธอเกิดเรื่องแบบนี้จะต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าเหเฉียนหยุนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน

“มันชื่อว่าตงฉิ อายุของมันประมาณสามสิบปี มันค่อนข้างจะสนิทกับเหเฉียนหยุน มันเป็นพวกนักเลงหัวไม้จึงกล้าที่จะหาเรื่องฉัน” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้งจึงได้โทรไปหาซูฉือและหลัวฉ์อหลินในทันที ไม่นานหลังจากนั้น ซูติก็ได้ส่งรูปมาให้ซูจิ้ง ซูจิ้งจึงให้เว่ยเสี่ยวหยวนดูรูป เว่ยเสี่ยวหยวนที่เห็นก็ได้พยักหน้าและพูดออกมาว่า “ใช่ มันนี่แหล่ะ”
ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนั้นจึงให้ซูฉือและหลัวฉือหลินควานหาตัวในทันที ส่วนเขานั้นได้กลับไปยังพื้นที่เกิดเหตุที่เว่ยเสี่ยวหยวนตกลงมา แต่ในตอนนั้นเอง ก่อนที่ซูจิ้งจะเริ่มทำอะไร ซูฉือก็ได้ส่งข้อความมาบอกว่าตงฉิเพิ่งจะตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์