GGS:บทที่ 1061 สืบสวน

“ตาย…ได้ยังไงกัน” ซูจิ้งถามออกมาพลางขมวดคิ้ว
“ฉันลองแฮ็คเข้าระบบตรวจสอบความเร็วรถดูจนได้เห็นภาพนั้นน่ะ เท่าที่ดูมันเหมือนเป็นอุบัติเหตุธรรมาดาว่า เขานั้นขี่มอเตอร์ไซด์และใช้ความเร็วเกินกำหนดตอนหนีทำให้เขาไปสวนเข้ากับรถบรรทุกคันหนึ่งเข้า แต่ยังไงมันก็ยังดูแปลกอยู่ดี”
“ฉือหลินไปที่นั่นและตรวจสอบซะ” ซูจิ้งโทรหาหลัวฉือหลินและสั่งการในทันที
“ครับ”
ภายในเมือง วงแหวนกระแสไฟฟ้าหนึ่งได้ปรากฎ ไม่ไกลจากที่นั่นก็ได้มีหลัวฉือหลินยืนอยู่ เขามาอยู่ในสถานที่เกิดเหตุด้วยระยะเวลาไม่ถึงสิบวินาทีดี
ถึงแม้ในตอนนี้สถานที่เกิดเหตุจะถูกควบคุมโดยตำรวจเรียบร้อย แต่ด้วยความสามารถของหลัวฉือหลินแล้ว ทำให้เขานั้นสามารถลอบสืบสวนได้โดยไม่มีสังเกตเห็นอย่างง่ายดาย
หลังจากทำการสืบสวน หลัวฉือหลินได้โทรรายงานกับซูจิ้งว่า “ผมได้ตรวจสอบมอเตอร์ไซด์และภาพจากกล้องตรวจสอบความเร็วรถแล้ว เท่าที่ดู นี่สมควรจะเป็นอุบัติเหตจริงๆ และผมไม่เห็นร่องรอยอะไรเลยที่บ่งบอกว่าเป็นการฆ่าปิดปาก”

“หัวหน้า ดูเหมือนมันจะได้รับกรรมตามสนองแล้ว ในเมื่อมันตายไปแล้ว ฉันคิดว่าจะไม่สนใจเรื่องนี้อีก” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมาแต่ในใจของเธอนั้นยังมีอาการขุ่นเคืองอยู่
นั่นก็เพราะเธอยังไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าได้ตอบแทนซูจิ้งได้ดีพอ แถมยังทำให้เกิดเรื่องต่างๆมากมาย เธอจึงตัดสินใจว่าในภายภาคหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะคอยตามล้างตามเช็ดให้ซูจิ้งหมดทุกอย่าง
“ฉันไม่คิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้นเนี่ยสิ” ซูจิ้งนั้นได้ใช้ความดคิดไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันไปอ่านข้อมูลของตงฉิอีกครั้ง เขาเป็นเจ้าของห้องอาหารคาราโอเกะแห่งหนึ่งและยังมีอิทธิพลในธุรกิจมืดพอสมควร
แต่หลังจากที่เขาขาดเหเฉียนหยุนไปทำให้ทำอะไรไม่ได้อีกเลย ตอนนี้อำนาจของเขาไม่ได้ต่างไปจากแก๊งนักเลงข้างถนนทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่เขาเป็นพวกรอบคอบและทำในสิ่งที่ปลอดภัยเท่านั้น โดยปกติแล้วเขาจะไม่กล้าไปหาเรื่องคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน
คนแบบนี้ไม่มีทางที่จะทำเรื่องแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลได้ โดยเฉพาะตอนนี้เว่ยเสี่ยวหยุนได้ติดตามเขาที่มีอำนาจล้นมือแล้วแบบนี้

“นายไปอยู่ตรงจุดที่เกิดการชนไปก่อนแล้วรอฉันที่นั่น อย่าให้ใครทำลายที่นั่นก่อนที่ฉันจะไป” ซูจิ้งสั่งหลัวฉือหลินผ่านทางโทรศัพท์อีกครั้ง
ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องน้ำและออกมาพร้อมชายหน้าหล่อระเบิดเถิดเทิงและให้เขาคอยปกป้องเว่ยเสี่ยวหยวนไม่ให้ห่างจากตัว
หลังจากนั้นเขาก็ได้ออกจากที่นี่โดยการขี่อินทรีย์ทองไปยังสถานที่เกิดเหตุในทันที
เว่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้ได้จ้องมองไปยังบอดี้การ์ดหนุ่มสุดหล่อที่ยืนอยู่ข้างๆเธฮนิ่งๆ เธอจ้องมองแบบอิ้งๆอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่เห็นชายหนุ่มคนนี้ทำหรือพูดอะไรแม้แต่น้อย เธอจึงเข้าใจได้ว่าคนๆนี้คงเป็นบอดี้การ์ดของเธอ

เธอนั้นรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวซูจิ้งอย่างมากที่เขายอมให้บอดี้การ์ดของตัวเองคอยปกป้องเธอไว้ แต่บอดี้การ์ดนี่ปกติแล้วเขาหล่อลากดินขนาดนี้กันด้วยเหรอ

ซูจิ้งที่ขี่อินทรีย์ทองออกมานั้น ในตอนนี้ได้มาถึงยังจุดเกิดเหตุการตกจากตึกเรียบร้อยแล้ว เขาลงไปยังชั้นห้าที่เป็นชั้นของเว่ยเสี่ยวหยวน และกำลังยืนอยู่ตรงระเบียงที่เธอกระโดดออกไปเพื่อหนีการลักพราตัว
“เจออะไรมั่งรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาลอยๆ
“ไม่ครับ พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย” เงาประหลาดตอบออกมา
“ตรวจดูอีกที” ซูจิ้งพูดก่อนที่จะนำหนูออกมาตัวหนึ่ง
….
ณ ขณะเดียวกัน ในบ้านของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง หยวนหยินหนิงที่นั่งอยู่บนโซฟาอยู่นั้น ตรงหน้าเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่
หยวนหยินหนิงได้พูดออกมาด้วยสายตาเย็นชาว่า “แค่ตดยังยากกว่างานนี้ที่ให้แกทำเลยนะเว้ย งานง่ายๆแบบนี้แกยังพลาดอีกเหรอ”
“นายน้อยครับ เราคิดไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะเรียนเพลังหมัดวัวคลั่งด้วย แถมเธอยังใช้ได้ถึงรูปแบบที่สองแล้ว นี่ทำให้เราไม่สามารถจับตัวเธอไว้ได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกระโดดจากตึกเพื่อหลบหนีการจับกุมของพวกเราอีก” ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าพูดออกมาด้วยท่าทีจนใจ
“พวกเราจะถูกสงสัยรึเปล่า” หยวนหยินหนิงถามออกมา
“เป็นไปไม่ได้ครับ พวกเราใช้ตงฉิเป็นตัวหมากของเราในครั้งนี้โดยผ่านคนกลางอีกที แถมตอนนี้มันยังตายไปแล้วในอุบัติเหตุจริงๆแบบนี้ ต่อให้ซูจิ้งจะผิดสังเกตุแต่ก็ไม่มีทางสาวมาถึงผมได้อย่างแน่นอนครับ ขอให้นายน้อยวางใจได้” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างมั่นใจ

“ก็ยังดี” หยวนหยินหนิงพยักหน้าก่อนที่จะมีท่าทีดูดีขึ้น เขาได้รีบพูดออกมาทันทีว่า “ดูเหมือนว่าคราวหน้าหากพวกเราจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดของหมอนั่น
พวกเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่านี้และต้องใช้คนที่เก่งกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว เฮ้ออออ นี่ขนาดแค่ผู้หญิงคนเดียวนะ อย่างที่เขาบอกจริงๆว่านายพลที่แข็งแกร่งย่อมไม่มีทหารที่อ่อนแอ”
“นายน้อยครับ แล้วนายน้อยจะเริ่มใช้คนพวกนั้นเมื่อไหร่กัน” ชายหนุ่มถามออกมา
“ใกล้จะเริ่มแล้วล่ะ” หยวนหยินหนิงพยักหน้ารับ พร้อมตาที่หลิ่วลงอย่างเย็นชา ตัวเขาเองที่สร้างความร่วมมือฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วนั้นเพราะหวังที่จะใช้อำนาจของพวกนั้น แต่เขาก็ต้องแอบซ่อนหลายๆสิ่งที่เขาทำไว้เบื้องหลังสองคนนั้นด้วย
….

ณ ที่เกิดเหตุตกตึก ซูจิ้งได้ให้หนูขาวตัวหนึ่งดมกลิ่นไปทั่ว มันพบกลิ่นของคนหลายๆคน แต่ด้วยการที่กลิ่นมันจางมากจึงไม่สามารถหาไปที่ไหนกันแน่ อีกทั้งเมืองใหญ่แบบนี้ย่อมมีกลิ่นรบกวนทำให้ยากต่อการติดตาม
เมื่อได้รับข้อมูลมาแบบนั้น ซูจิ้งได้ปล่อยหนูของเขาออกไปอีกหลายตัวเพิ่มเริ่มการสืบค้น
แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้หวังอะไรกับวิธีการนี้มากนัก เขาจึงได้นำกระจกย้อนความออกมา และใช้มันในการดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมานี้ หลังจากที่เขาได้รับตำราราชันย์แห่งสายน้ำไป เขาไม่เคยจะไม่ฝึกฝนมันเลยสักวันเดียว ต่อให้เขายุ่งวุ่นวายขนาดไหนก็ยังหาเวลาฝึกอย่างน้อยวันละครั้ง
เพราะเขารู้ดีว่าความแข็งแกร่งของพลังเวทมนต์ของเขานั้นสำคัญที่สุด ถึงแม้มันจะนำออกมาใช้แบบทั่วไปไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันมันสามารถช่วยเขาได้ทุกครั้งไป และอาจจะช่วยได้แม้แต่ชีวิตเลยด้วยซ้ำ
นี่ทำให้ความแข็งแกร่งของพลังเวทย์มนต์(พลังภายใน)ของเขานั้นแข็งแกร่งขี้นมาก เหมือนดังคำที่ว่ากองทัพที่แข็งแกร่งยังต้องใช้เวลาฝึกฝนนับพันวัน
และด้วยเหตุนี้ทำให้เขานั้นสามารถใช้กระจกย้อนความนี่ได้ง่ายขึ้น
จากภาพในกระจกนั้นเขาเห็นผู้ชายหลายๆคนกำลังพังประตูบ้านของเว่ยเสี่ยวหยวนและพยายามตรงเข้าไปจับเธอ แต่เธอเองก็ได้ใช้เพลงหมัดวัวคลั่งขัดขืนสุดแรงกล้า
“โอ้ ท่วงท่าที่ใช้ถือว่าเยี่ยมเลยแหะ ถึงแม้ฉันจะฝึกสอนเธอหลายหนแล้วก็จริงแต่ตอนนั้นเธอไม่ได้ทำออกมาได้ดีขนาดนี้นี่นา
นี่แสดงว่าต้องไปแอบฝึกเพิ่มแหงๆ ต้องขอบคุณเพลงหมัดวัวคลั่งจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงจะโดนอุ้มไปโดยทำอะไรไม่ได้เป็นแน่
แต่ไอ้คนพวกนั้นที่กล้ามาลักพาตัวนี่มันอะไรกัน ทุกคนมันก็ใส่หน้ากากกันหมดนี่นา แล้วทำเว่ยเสี่ยวหยวนถึงจำตงฉิได้ล่ะ”
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังสงสัยอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นว่าหนึ่งในคนลักพาตัวได้ดึงหน้าการของตงฉิออก ตงฉิเองในตอนแรกก็คิดว่าเป็นอุบัติเหตุ แม้แต่เว่ยเสี่ยวหยวนที่อยู่ในเหตุการณ์เองก็คิดว่าเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ซูจิ้งกลับไม่คิดแบบนั้น
“มีบางคนต้องการให้เว่ยเสี่ยวหยวนเห็นตงฉิ นี่เท่ากับว่าหมอนี่จะกลายเป็นหมาล่าเนื้อแล้วยังต้องเป็นโล่ไปเต็มๆเลยสินะ หากว่าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยไป ฉันจะได้ไปสาวไปถึงตัว” ซูจิ้งคิดพลางปลดปล่อยกระแสจิตของตัวเองไปโดยรอบในทันที จนในที่สุด เขาก็ได้หันออกไปทางหน้าต่างและพูดขึ้นว่า “กลายเป็นว่ากล้องที่ถนนฝั่งตรงข้ามสามารถเห็นภาพที่นี่ได้ ที่คนๆนั้นดึงหน้ากากออกไม่ใช่ป้องกันความผิดพลาดจากเว่ยเสี่ยวหยวน แต่เป็นกล้องนั่นรึ”
“ผมว่าผมสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ครับ” หลัวฉือหลินพูดออกมา
“ไม่ต้อง ทำไปก็เท่านั้น” ซูจิ้งพุดออกมาก่อนที่จะให้หนูตัวหนึ่งนำทางเขาออกไป เขาได้เดินไปตามทางในขณะที่คอยใช้กระจกย้อนความส่องไปด้วย
จนในที่สุดก็มาถึงถนน เขาได้เห็นตงฉิขี่มอเตร์ไซต์เข้ามา หลังจากนั้นก็ได้มีรถโฟล์คชวาเก้นอีกคันเข้ามาจอด ซูจิ้งเห็นแผ่นป้ายทะเบียนอย่างชัดเจน จึงได้ให้หลัวฉือหลินและซูฉือร่วมกันสืบหารถคันนั้นในทันที จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อมูลของรถคันนั้นมา