GGS:บทที่ 1062 พายุคลั่ง

ซูจิ้งและสแตนด์ของหลัวฉือหลินได้ไปยังข้างถนนแห่งหนึ่งบริเวณชายขอบเมือง ที่นั่นมีรถโฟล์คชวาเก้นจอดอยู่และไม่มีใครอยู่ข้างใน จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาเขาบอกได้เลยว่ารถคันนี้เป็นรถที่ถูกขโมยมาอีกที
ซูจิ้งไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ใช้กระจกย้อนความของเขา คราวนี้ในที่สุดแล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเหล่าคนร้ายสักที

นั่นก็เพราะหลังจากที่คนร้ายลงจากรถ พวกมันได้หันมองซ้ายขวาอยู่นาน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคนจึงได้ถอดหน้ากากออกมาและเดินเข้าเมืองไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกมันได้เดินเข้าไปข้างทางราวกับเป็นกลุ่มคนที่ออกมาเดินเล่นก็ไม่ปาน ด้วยการที่พื้นที่บริเวณนี้เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างเมืองทำให้มีรถผ่านไปมาน้อยมาก
“ค้นหาพวกมันให้ฉัน” ซูจิ้งถ่ายรูปคนร้ายแล้วพูดออกมา
“รับทราบ” สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้พุ่งไปตามทางที่เห็นคนร้ายเดินไปจากกระจกย้อนความในทันที แน่นอนว่าซูจิ้งเองก็ไม่ได้อยู่เฉยและได้เข้าร่วมการค้นหาด้วย
หากทั้งสองได้ร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ที่ใดบนโลกนี้เลยที่สามารถหยุดยั้งทั้งสองไปได้ หากทั้งสองได้เข้าร่วมกับคนเลวแน่นอนว่าโลกนี้ย่อมตกอยู่ในความโกลาหลอย่างไม่ต้องสงสัย

ยังดีที่ซูจิ้งนั้นมีจริยธรรมในจิตใจ และจะทำเรื่องไม่ดีเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และแน่นอนว่ากับคนกลุ่มนี้เขายินดียิ่งที่จะทำเลวทรามอย่างไม่อิดออด
ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้พบตัวคนร้อยพร้อมข้อมูลส่วนตัว และในตอนนี้ พวกมันอยู่ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
ซูจิ้งไม่พูดอะไรแม้แต่น้อยหลังจากได้ข้อมูลมา เขาได้ขึ้นหลังอินทรีย์ทองและไปลงที่บันไดหนีไฟของสถานบันเทิงโดยไม่มีใครพบเห็นเพราะว่ามันมืดมาก
ซูจิ้งเดินลงไปใดไปพร้อมทั้งปล่อบกระแสจิตตรวจสอบภายในตึกไปด้วย เขาพบตัวคนร้ายอย่างรวดเร็วและตรงไปชั้นที่พวกนั้นอยู่ในทันที
เด็กเปิดประตูที่หนก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่ซูจิ้ง พวกเขานั้นไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองที่เห็น และไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่าจะได้พบซูจิ้งมาที่แบบนี้
เมื่อตั้งสติได้ เด็กเปิดประตูจึงได้ถามออกมาว่า “คุณซูครับ คุณซูจะมาอาบน้ำ นวด หรือร้องคาราโอเกะหรือครับ”
“หาคน”
“แล้วคุณต้องการหาใครหรือครับ ผมจะได้เรียกเขามาให้”
“ไม่รู้ชื่อหรอก รู้แต่ว่ามันอยู่ที่นี่”

“…..คุณซู ตรงนี้เป็นพื้นที่VIPครับ ผมไม่สามารถให้คุณเข้าไปได้หากไม่ได้รับการยืนยัน…”
ซูจิ้งไม่ได้สนใจคำพูดของคนเปิดประตูและตรงเข้าไปข้างในทันที ที่ด้านใน มีบอดี้การ์ดสองคนยืนคุมอยู่ด้วยท่าทางแข็งขันและดุดัน
แต่ทันทีที่ทั้งสองเห็นซูจิ้งค่อยเดินเข้ามาใกล้เรื่อย เหงื่อของทั้งสองคนก็เริ่มจะไหลรินออกจากหน้าผากจนเปียกชุ่มด้วยความเกรงกลัว
แต่ด้วยหน้าที่ของพวกเขาจึงได้แต่เข้าไปห้ามปราม ซูจิ้งเองก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เขาทำเพียงแค่ตบไปบนใบหน้าของทั้งสองจนกระเด็นไปติดกำแพงและไถลลงไปกองกับพื้นพอเป็นพิธีเท่านั้นเพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้สองคนนี้ หลังจากนั้นเขาก็เดินต่อไป
“หัวหน้า!!!! พวกเรามีปัญหาแล้วครับ” คนเปิดประตูเมื่อครู่ได้โทรศัพท์ออกไปเบอร์หนึ่งในทันที
“ใครกล้ามาก่อปัญหาวะ” ที่ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงโกรธอย่างมาก

“ซูจิ้ง”
“ซูจ….ห้ะ ขออีกทีสิ”
“ซูจิ้งครับ เป็นซูจิ้งคนนั้น คนที่เป็นเทพอวตารนั่น…”
“แม่..เอ๊ย เขามาทำอะไรในที่ของฉันเนี่ย”
“เอายังไงดีครับ จะหยุดเขารึเปล่า”
“หยุด… แกทำได้รึไงกัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าแกหยุดได้แกจะโทรมาถามฉันทำไมกัน ใครที่กล้าไปท้าทายพระเจ้าคนนั้นเขาจะกลายเป็นเทพสังหารในทันทีนะเว้ย แค่เขาดีดนิ้วธุรกิจของฉันก็ล่มสลายแล้ว เอ็งรีบๆๆๆๆๆๆ รีบไปให้ความร่วมมือกับเขาทุกอย่างที่เขาต้องการเดี๋ยวนี้ซะ”
“ยินดียิ่งครับ”
ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่ทุกคนตั้งแต่บริกรยันนักเลงคุมคาราโอเกะก็ได้พร้อมใจออกมายืนรายทางด้วยหัวใจที่ละส่ำและไม่กล้าทำอะไร
ในตอนนั้นเองชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาหาซูจิ้งก่อนจะโค้งคำนับอย่างเคารพสุดหัวในพร้อมยื่นซองบุหรี่ให้และถามออกมาด้วยรอยฝืนยิ้มว่า “คุณ..เอ่อ คุณซูครับ ไม่ทราบว่าจะให้พวกเราบริการอะไรคุณดีครับ”
“เปิดประตู” ซูจิ้งชี้ไปที่ประตูของห้องคาราโอเกะห้องหนึ่ง
“แต่ที่นั่น มัน….” ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนพร้อมความรู้สึกที่ไม่อยาก
“หากคุณไม่เปิด ผมจะพังมัน แล้วหลังจากนั้นผมสามารถทำให้ที่นี่ปิดและทำให้คุณเข้าคุกได้เลย คุณเชื่อรึเปล่า” ซูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“งั้น….เชิญเข้าไปเลยครับผม” ชายวัยกลางคนที่ตอนนี้เหงื่อชุ่มจนโชกแล้วนึกถึงคำสั่งของเจ้าของคาราโอเกะแห่งนี้มาแล้วก็ได้รีบเข้าไปเปิดประตูในทันที ประตูนี้ไม่มีล็อคด้านใน มีเพียงล็อคไฟฟ้าเท่านั้นทำให้สามารถเปิดได้ทุกเมื่อที่แตะบัตร
ณ ห้องด้านใน ในตอนนี้มีชายหนุ่มจำนวนหนึ่งกำลังนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียงโดยมีสาวน้อยที่กึ่งเปลือยและเปลือยเปล่าร่างกายคอยบีบนวดให้
แต่เมื่อพวกเขารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจะเข้ามา พวกเขาต่างก็ร้อนรนในทันที โดยต่างคิดว่าคนที่เข้ามาเป็นตำรวจ ส่วนพวกผู้หญิงในเองก็ตกใจจนรีบหาผ้าผ่อนมาปิดบังกายอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อผู้ชายเหล่านั้นเห็นว่าเป็นซูจิ้ง ทำให้ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไปจนทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง

จนเมื่อได้สติ สีหน้าของชายเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปในทันที พวกเขารีบลุกขึ้นและอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ทางออกเดียวของพวกเขามีซูจิ้งยืนขวางไว้แล้วพวกเขาจะหนีไปได้ล่ะ
คนแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกซูจิ้งเตะเข้าไปหนึ่งทีและลงไปกองที่พื้นในบัดดล อีกสามคนที่เห็นท่าไม่ดีจึงได้ไปคว้าขวดเบียร์และเก้าอี้และเขวี้ยงไปยังหัวของซูจิ้ง
อย่างไรก็ตามเพียงชั่วพริบตา พวกเขาที่พึ่งจะเขวี้ยงสิ่งต่างๆออกไปก็ได้สติดับวูบพร้อมภาพที่เห็นพื้นห้องอยู่ในระนาบเดียวกันและคนอื่นๆที่ลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดจนต้องร้องโอดครวญออกมา
หลังจากเห็นฉากนี้ ชายวัยกลางคนที่เป็นคนเปิดประตูให้นั้นเหงื่อของเขาไหลจนหยดออกมาจากใบหน้าหลายสิบหยด พลางคิดไปถึงก่อนหน้านี้ว่าดีที่ไม่ขัดขืนซูจิ้ง หากเขาทำคงมีสภาพไม่ต่างกันหรืออาจแย่ยิ่งกว่า
ซูจิ้งนั้นน่าสะพรึงกลัวดั่งที่เรื่องลือจริงๆ ไม่สิ ต้องบอกว่ายิ่งกว่าที่เขาลือกัน เพราะเท่าที่เขาเห็นสภาพทั้งสี่คนแล้ว บอกได้เลยว่าต้องกระดูกหักหลายท่อนแล้วอย่างแน่นอน

“คุณซูครับ พวกมันทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองใจครับ” ชายวัยกลางคนถามออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ฝืนแม้แต่น้อย
“ออกไปแล้วปิดประตู” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีไร้อารมณ์
“ได้ครับได้” ชายวัยกลางคนรีบตอบรับคำแล้วยกมือขึ้นให้หญิงสาวที่อยู่ในห้องก่อนหน้านี้รีบออกไปในทันที เมื่อหญิงสาวออกไปแล้ว เขาก็รีบออกไปพร้อมปิดประตูในทันที เมื่อออกไปกันหมดแล้ว ซูจิ้งจึงได้กางม่านพลังจิตเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
ด้วยการนี้พวกเขาสามารถโทรเรียกตำรวจได้แต่พวกเขาไม่ทำอย่างแน่นอน หนึ่งคือพวกเขาไม่ต้องการมีเรื่องกับซูจิ้ง อีกหนึ่งคือธุรกิจของพวกเขานั้นออกจะสีเทาอยู่สักหน่อย
พวกเขาจึงคิดว่าอยู่เฉยๆแบบนี้ไปก่อนจะดีกว่า แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกกังวลอยู่อย่างเดียว พวกเขาหวังว่าซูจิ้งจะไม่ฆ่าใครไป หรืออย่างน้อยๆก็อย่าจบเรื่องราวทุกอย่างที่นี่เลย

“คุณซู ไว้ชีวิตด้วยครับ”
“พวกเราไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ ถ้าหากพวกเราเผลอทำอะไรไปพวกเรายินดีที่จะกราบขอโทษคุณ ขอเพียงคุณไม่คิดทำอะไรที่เกินเลยกว่านี้”
เหล่าผู้ชายที่โดนซูจิ้งอัดปางตายได้กราบกรานขอชีวิตอย่างไม่มีทางหนีรอด
“โห่….ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะวิ่งหนีฉันทำไม เห็นฉันเป็นคนโหดเหี้ยมงั้นเหรอ” ซูจิ้งสบถออกมา
“ก็…ก็คุณซูอยู่ๆก็เข้ามาพวกเราก็นึกว่าเป็นตำรวจ ทำ..ทำให้พวกเรากลัวสับสนและลนลานไปชั่วขณะ…ครับ” ชายอีกคนหนึ่งพยายามอธิบายโดยที่ชายคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมท่าทางอันเจ็บปวด
ซูจิ้งไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีกจึงได้ปล่อยกระแสจิตโจมตีจิตใต้สำนึกอย่างหนักหน่วงและทำการสะกดจิตในทันที
หลังจากนั้นทุกคนก็ได้สารภาพออกมาเกี่ยวกับการลักพาตัวเว่ยเสี่ยวหยวนอย่างหมดเปลือก

“คุณซูล่ะ” ที่ด้านนอกประตู ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งในชุดสูท ที่ดูค่อนข้างภูมิฐานและหัวล้านได้เข้ามาหาชายวัยกลางคนก่อนหน้านี้ในทันทีที่มาถึง
“คุณซูอยู่ข้างในกับแขกอีกสี่คนที่โดนจัดการโดยคุณซูไปแล้วครับ ทั้งสี่คนดูเหมือนจะไปหาเรื่องคุณซูเข้า และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆด้วย”

“งั้น หากเขาถามก็บอกไปว่าฉันไม่รู้จักไอ้สี่คนนั่นนะ ฉันไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยกับพวกมัน พวกมันเป็นแค่แขกของเราเท่านั้น” ชายหัวล้านในตอนนี้หลังจากได้ยินก็มีเหงื่อท่วมไปทั้งหัว
ความจริงแล้วเขาและสี่คนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆแค่คุ้นกันเพราะพวกนั้นมากินเหล้าที่นี่บ่อยๆเท่านั้น
เขาเองก็รู้ว่าสี่คนนี้ทำงานสกปรก แต่ตราบใดที่มาเป็นแขกของที่นี่และรักษากฎของที่นี่เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครจะไปคิดว่าไอ้สี่คนนี้จะเป็นดาวเพชรฆาตเรียกเทพอวตารมาได้
หากว่ารู้อย่างนี้ล่ะก็ก็ควรจะไปหากินที่อื่นสิฟะ จะเรียกเทพอวตารมาเยือนที่นี่กะจะลากลงนรกไปพร้อมกันรึไง