GGS:บทที่ 1063 ตีแตงโมด้วยรัตตัน(ทำเรื่องเล็กๆด้วยคนใหญ่ๆ)

 

“เอาล่ะ บอกมาสิว่าพวกแกทำไมถึงไปจับตัวเว่ยเสี่ยวหยวน” ในห้องนวดส่วนตัว ซูจิ้งใช้พลังจิตของเขาควบคุมผู้ร้ายทั้งสี่คนให้ตอบคำถาม

“พวกเรา ถูก ว่าจ้าง” ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มได้พูดออกมา

“ใคร?”

“ไม่ทราบครับ พวกนั้นเรียกตัวเองว่าเงา”

“แล้วพวกแกเกี่ยวอะไรกับตงฉิ”

“พวกเราได้รับการติดต่อจากเงาให้นำหมอนั่นไปด้วย หลังจากนั้นให้ดึงหน้ากากออกมาในเวลาที่เหมาะสม เมื่อได้ยินดังนั้นเราก็รู้ทันทีว่าหมอนั่นเป็นเพียงโล่ของพวกเราเผื่อไว้เวลามีเหตุการณ์ฉุกเฉิน นี่เป็นเหตุผลที่เราพาหมอนั่นไป”

 

“หึ ว่าแล้ว ตงฉิก็แค่ตัวหมาก” ซูจิ้งสบถออกมา มันเป็นจริงที่เขาคาดไว้ว่าตงฉิเป็นแค่หน้าเสื่อเท่านั้น เพราะต่อให้ตงฉิจะเกลียดเว่ยเสี่ยหยวนขนาดไหน แต่ด้วยการที่เธออยู่กับซูจิ้งหมอนี่ย่อมไม่อยากหากไม่มีแรงกระตุ้น

ต้องขอบคุณเครื่องมือวิเศษอย่างกระจกย้อนความที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯจริงๆ เพราะนี่ทำให้เขาได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจนกระทั่งจับตัวคนร้ายไว้ได้

ตอนนี้ที่เขาต้องทำก็เหลือแค่การหาคนร้ายตัวจริงเท่านั้น

 

“ในเมื่อพวกแกไม่รู้ว่าใครเป็นเงา ถ้าอย่างนั้นพวกแกติดต่อกันยังไง”

“เป็นเงาที่โทรหาพวกเรา หมอนั่นใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรเข้ามา”

“ในเมื่อพวกแกไม่รู้จักกันแล้วแกยังกล้าที่จะลักพาตัวเว่ยเสี่ยวหยวนเนี่ยนะ นี่มันอาชญกรรมใหญ่เลยนะเว้ย พวกแกไม่กลัวว่านี่จะเป็นกับดักเลยรึไง” ซูจิ้งถามออกมา

“หมอนั่นจ่ายให้เราก่อนสองแสนหยวนเป็นค่าดำเนินการ ในตอนที่เรารับงาน เงินก้อนนี้ก็โอนมาให้พวกเราโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นรู้เลขบัญชีได้ยังไง

ต่อจากนั้นหมอนั่นบอกเราว่าจะจ่ายเงินให้อีกหนึ่งล้านแปดแสนหยวนหลังเสร็จงาน แล้วจะให้เรากล้าอยู่เฉยได้ยังไง”

ถึงแม้ซูจ้งจะไม่ได้มีโอกาสถามตงฉิเกี่ยวกับเงาก็ตาม แต่ด้วยเงินที่ทำให้ปีศาจยอมหมุนกังหันลมได้แบบนี้ยังไงซะก็ต้องมีคนอาสาทำเป็นแน่

 

แม้แต่สวะสังคมแบบนี้ยังว่าจ้างกันได้ตรงๆแบบนี้ต้องมีอำนาจไม่น้อยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เงานั่นยังจูงใจตงฉิที่มีเรื่องคัดแย้งกับเว่ยเสี่ยวหยวนได้แบบนี้คนทุ่มเงินไม่น้อยเช่นเดียวกัน ได้ทั้งล้างแค้น ได้ทั้งเงิน มีหรือที่คนแบบนั้นจะไม่คว้าเอาไว้

ตงฉิเองถึงแม้จะไม่อยากจะหาเรื่องเขาก็ตาม แต่ด้วยโอกาสที่มาพร้อมกันแบบนี้ ทำให้คนแบบนี้หลงโง่งมและคิดว่าจะสำเร็จได้โดยง่ายบ่อยๆเหมือนกัน

 

“เอาบัตรของพวกแกออกมา” ซูจิ้งพูดออกมา ชายหนุ่มหัวหน้ากลุ่มก็ได้หยิบบัตรกดเงินของตัวเองอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นซูจิ้งให้หลัวฉิหลินและซูฉือสืบสวนที่มาของเงิน แต่ก็พบเพียงว่าเป็นการโอนผ่านคนกลางที่ไม่สามารถหาร่องรอยสาวต่อไปได้

“….ถ้าพวกแกทำงานเสร็จแล้ว พวกแกต้องทำอะไรเป็นลำดับต่อไป” ซูจิ้งถามออกมา

“พวกเราต้องไปรับเงินจากคนๆหนึ่ง”

“ที่ไหน?” ซูจิ้งถามออกมา หลังจากนั้นชายวัยกลางคนหัวหน้ากลุ่มก็ได้ให้ที่อยู่ของสถานที่ของคนที่ว่าจะจ่ายเงินให้พวกเขา

หลังจากนั้นซูจิ้งให้หลัวฉือหลินไปสืบดูและคอยสังเกตุการณ์เอาไว้ โดยที่แห่งนั้นภายนอกมีบอดี้การ์ดเฝ้าโดยรอบ อาณาเขตของพื้นที่นี่ราวๆหนึ่งตารางกิโลเมตร

 

เขาตรวจสอบโดยการใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์โดยรอบอยู่ไม่ขาด เขาประเมินแล้วว่าหากเป็นคนทั่วไปแล้วคงยากที่จะเข้าไปได้ แต่กับสแตนด์ของหลัวฉือหลินแล้ว มันเร็วเพียงชั่วลมหายใจหนึ่งเท่านั้น

สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้ถูกส่งมาหาซูจิ้งเพื่อรายงานโดยได้รายงานว่า “นายท่าน ที่นั่นคือสถานีกำจัดของเสียแห่งหนึ่ง ไม่มีใครอยู่ภายในเลยแม้แต่คนเดียว”

เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้ซูจิ้งไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อการเป็นคนกลางนั้นจะประสบความสำเร็จได้จะต้องแฝงตัวให้ลึกลับให้ได้มากที่สุด การที่พวกนั้นตื่นตัวขนาดนี้แล้วแสดงว่าน่าจะพอรู้แล้วว่าเว่ยเสี่ยวหยวนตกตึกไป ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการตรวจตาหนาแน่นขนาดนั้น

“นายท่าน จะทำยังไงต่อดีครับ แล้ว…จะเอายังไงกับคนพวกนี้ดี”

“พวกนี้หมดประโยชน์แล้ว เรียกตำรวจมาจับได้เลย ส่วนนายอยู่ที่นี่รอจนกว่าตำรวจจะเอาตัวพวกมันไป ส่วนฉันจะล่วงหน้าไปสถานที่กำจัดของเสียนั่นก่อน….” ซูจิ้งพูดออกมา

“รับทราบ” สแตนด์ของหลัวฉือหลินพยักหน้ารับคำสั่ง

ซูจิ้งเปิดประตูและเดินออกมาจากห้อง ชายหัวล้านวัยกลางคนนั้นได้รีบเขามาพบด้วยรอยยิ้มละไม ส่วนตาของเขานั้นจับจ้องไปดูสถานการณ์ด้านใจเพราะกลัวว่าคนทั้งสี่จะตายกลายเป็นปุ๋ยไปแล้ว

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรมากจึงได้ถามออกมาว่า “คุณซูครับ รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่ได้พบคุณที่นี่ หาคุณไม่รังเกียจขอให้ผมเป็นคนจัดการคนพวกนั้นเอง ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน”

“ไม่ต้อง ผมเรียกตำรวจมาแล้ว เดี๋ยวคนพวกนั้นก็โดนรวบไปเองนั่นแหล่ะ” หลังจากพูดจบ ซูจิ้งก็ได้รีบเดินขึ้นบันไดไปข้างบนตึกทันที

ชายหัวล้านเห็นดังนั้นจึงได้รีบวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อดูว่าทั้งสี่คนยังมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ เมื่อเห็นดังนั้น เขาได้มีท่าทีโล่งใจและรีบสั่งออกมาด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวว่านับแต่นี้ที่นี่จะไม่รับแขกที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ

 

ซูจิ้งเมื่อไปถึงดาดฟ้า เขาได้ขี่อินทรีย์ทองและบินไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่าโรงคัดแยกเฟยฉี หลัวฉือหลินเองที่ตรวจสอบดูอยู่ก่อนแล้วก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติจึงคิดจะเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง

ในตอนนั้นเองซูจิ้งก็ได้มาถึง เขาสำรวจดูกว่ายี่สิบนาทีก็ไม่เจออะไรจึงได้นำกระจกย้อนความมาช่วยในการสืบสวนอีกครั้ง

ซูจิ้งคาดการณ์ไว้ว่าคนกลางนั้นน่าจะเรื่องที่นี่เพียงเพื่อเป็นที่นับพบเท่านั้น และพวกนั้นเองต้องแน่ใจแล้วว่าไม่หลงเหลืออะไรไว้ถึงค่อยจากไป

หากเป็นคนธรรมดามาสืบค้นก็คงจะไม่ได้ความอะไรเหมือนกัน เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เหมือนกับหนังสืบสวนที่ฉายในหนังที่เป็นนิยมกันหรอก  หากว่าคนธรรมดาพลาดอะไรไปแม้แต่น้อยจะเท่ากับว่าพวกเขาจะไม่สามารถสืบต่อได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม กับซูจิ้งผู้ที่มีของวิเศษอย่างกระจกย้อนความนั้น เขาไม่ต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นแต่อย่างใด เพียงไม่นานเขาก็พบร่องรายของคนที่น่าจะเป็นเป้าหมายของเขา

เรียกได้ว่าหากไม่เจอก็ไม่แปลกเพราะคนๆนี้เข้ามาเพียงชั่วครู่และจากไปโดยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

ซูจิ้งได้ตามร่องรอยของเขาต่อไปโดยได้ให้หลัวฉือหลินและซูฉือตามหาคนที่เขาพบจนกระทั่งพบตัว คนๆนี้คือคนที่เรียกตัวเองว่าเงาหรือก็คือคนที่ติดต่อตงฉิและคนร้ายทั้งสี่นั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม คนๆนี้ไม่ใช่คนบงการแต่อย่างใด เขานั้นเป็นเพียงสมาชิกพิเศษของตลาดมืด เขาเองก็รับงานนี้มาอีกต่อหนึ่งเหมือนกันและก็ไม่รู้ด้วยว่าใครกันแน่ที่อยากจะจับตัวเว่ยเสี่ยวหยวน

“ดูเหมือนว่าคนบงการนี่จะสืบเรื่องของฉันมาดีจนรู้เลยว่าฉันสามารถสืบหาร่องรอยพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด

ในตอนนี้เขาเลือกที่จะสืบท่อน้ำเลี้ยงของเรื่องนี้นั่นก็ตลาดมืด ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินเรื่องตลาดมืดมาบ้างแล้วจากเรื่องที่มีคนมาลักพาตัวเสี่ยวรุย

 

ในตอนนั้นเขาก็ว่าเขาได้แสดงให้เห็นตัวอย่างของคนที่กล้ามาตอแยเขาและคนของเขาไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่เพียงพอจริงๆ

ตอนนี้เขาเองไม่รังเกียจเลยสักนิดที่จะกวาดล้างธุรกิจมืดที่มีชื่อว่าตลาดมืดนี้

“ลูกพี่หยวน ไม่ดีแล้วครับ” ในสำนักงานแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในทันทีที่เขาเข้ามาก็ได้รีบปิดประตูก่อนที่จะรีบเข้ามากระซิบเบาๆกับหยวนหยินหนิงแบบนี้

“…เกิดอะไรขึ้น” หยวนหยินหนิงถามออกมา

“เงาพลาด และดูเหมือนว่าซูจิ้งจะจับเขาไปแล้ว”

“เป็นไปได้ยังไง ไม่ใช่ว่าหมอนี่ไม่เคยพลาดเลยสักครั้งไม่ใช่เหรอ โดยเฉพาะจะสืบจากไอ้พวกข้างถนนนั่นยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่ ทำไมพวกนั้นถึงเจอตัวเงาเร็วขนาดนี้” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยความตกใจ

 

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่เป็นไปได้ว่าตอนนี้หมอนั่นน่าจะเพ่งเล็งไปที่ตลาดมืดเรียบร้อยแล้วและน่าจะเริ่มสืบสวนอย่างจริงจังแล้ว ไม่ช้าก็เร็วหมอนั่นต้องเจอพวกเราแน่”

หยวนหยินหนิงในตอนนี้แสดงใบหน้าที่น่าเกลียดออกมาอย่างหนัก เขาเองก็คิดว่าตัวเองรู้จักซูจิ้งดีพอแล้วจึงได้กล้าลงมือทำอะไรลงไป เขาเชื่อว่าด้วยข้อมูลที่เขารู้เกี่ยวกับซูจิ้ง หมอนั่นไม่สมควรจะพบเจอร่องรอยของพวกเขารวดเร็วแบบนี้ ต่อให้ผิดพลาดเขาก็แค่หลบหายเข้ากลีบเมฆและรอคอยโอกาสอีกครั้ง

คิดไม่ถึงว่าเขาหาได้แม้กระทั่งที่อยู่ของเงา นี่แสดงว่าเขาสามารถสืบหาเงาได้โดยร่องรอยเพียงน้อยนิดเท่านั้น นี่หมายความว่าความสามารถในการแกะรอยของเขานั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย

“ดูเหมือนว่าเราคงต้องใช้แผนถัดไปแล้ว” หยวนหยินหนิงพูดพร้อมกับถอดถอนหายใจออกมา

“ลูกพี่ต้องการจะบอกฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วรึเปล่าครับ”

“ไม่ต้อง ไอ้พวกนั้นถ้าอยากจะรู้เดี๋ยวพวกมันก็รู้กันเองอยู่ดี แต่ฉันเองก็เชื่อว่ามันมีเรื่องบางเรื่องที่พวกมันไม่อยากจะรู้อย่างแน่นอน”