GGS:บทที่ 1064 ลมและฝนกำลังมา

 

“นายน้อยครับ เราจะเริ่มแผนการต่อไปตอนไหน” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามออกมา

“เอาเป็นตอนนี้กลับไปวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า พวกเราต้องใส่ใจเรื่องซูจิ้งให้มากกว่านี้แล้ว” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในความสามารถของซูจิ้งเลยสักนิด

การที่สามารถตอบโต้การกระทำของเขาได้อย่างทันท่วงทีแบบนี้มันทำให้เขานั้นทำอะไรได้อยากขึ้น แถมตอนนี้ซูจิ้งน่จะต้องระวังตัวมากกว่าเดิม และแน่นอนว่าย่อมมีแผนการรับมือเอาไว้แล้วด้วยเช่นเดียวกัน นี่ทำให้เขาต้องรัดกุมมากขึ้นกว่าเดิมอีก

 

ทั้งหมดได้รีบออกจากสำนักงานแล้วตรงกับไปยังที่พัก หลังจากนั้นจึงได้เปิดคอมพิวเตอร์แล้วทำการนั่งวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ข้อมูลแรกเป็นข้อมูลของสไปเดอร์แมน ข้อมูลส่วนนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับสไปเดอร์แมนที่ได้ทำเอาไว้

อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องราวของบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับสไปเดอร์แมน ประกอบด้วยเว่ยเสี่ยวหยวน เลาชง และนาหลันเฟย โดยข้อมูลส่วนนี้ข้อมูลของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นถือได้ว่ามีมากที่สุด

เหตุผลที่หยวนหยุนหนิงอยากได้ตัวเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นหนึ่งคือเธอเป็นคนแรกที่ทำให้สไปเดอร์แมนต้องเป็นข่าว อย่างที่สอง เธอมีความใกล้ชิดกับซูจิ้งอย่างมาก หากได้ตัวเธอมาเขาน่าจะได้ข้อมูลของซูจิ้งออกมาไม่มากก็น้อย

แถมเธอเองยังหาตัวง่ายและซูจิ้งเองสมควรจะมีความทรนงตัวอยู่ว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ซูจิ้งจึงไม่น่าจะได้สอดส่องเธอ นี่จึงเป็นโอกาสในการนำตัวเธอมา

 

การได้ตัวเธอมานี้เขาเชื่อว่าเขาต้องได้ข้อมูลของซูจิ้งไม่ก็สไปเดอร์แมนอย่างแน่นอน

แต่ใครจะไปคิดว่าเว่ยเสียวหยวนนั้นจะแกร่งกว่าคนทั่วไปมากนัก และเธอทำแม้กระทั่งกระโดดออกมาจากตึกดีกว่าจะถูกจับตัวไป

ข้อมูลกลุ่มที่สองก็คือกองโจรเกล็ดงู ข้อมูลที่หยวนหยินหนิงมีนั้นมีแม้กระทั่งข้อมูลของลู่ยี่หมิงที่เป็นมนุษย์เกล็ดงู มีแม้แต่เรื่องที่ตำรวจได้ปะทะกับมนุษย์เกล็ดงูด้วยซ้ำ

ข้อมูลที่สองนี้ตอนที่เขาได้มานั้นทำให้พวกเขาพูดกันไม่ออกไปพักใหญ่ เหตุการณ์ความรุนแรงของกองโจรเกล็ดงูที่ต่อสู้กับตำรวจนี้ไม่ได้ถูกเผยแพร่แต่อย่างใด

ตอนเขาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองก็พบอะไรแปลกๆเหมือนกัน คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นส่วนใหญ่ก็ตกตายไปหมดแล้วด้วยมนุษย์เกล็ดงูนั่น

ที่น่าสนใจและแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือสภาพที่เกิดเหตุนั้นราวกับว่าได้กักขังคนเหล็กเอาไว้ กรงๆนั้นมีซี่กรงที่หนาเป็นนิ้วโค้งงอผิดรูปร่าง มีแม้กระทั่งรอยเผาไหม้อยู่ข้างใน

นอกจากนั้นยังมีเศษเนื้อและเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว แต่พบเจอในที่เกิดเหตุมากที่สุดนั่นก็คือเกล็ดงูขนาดใหญ่ที่กระจายไปทั่ว

 

สำหรับข้อที่สามนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวของผู้คนในเมืองจงหยุนเมื่อไม่นานมานี้ หรือก็คือตอนที่มู่หรงเซียนเอ๋อถูกข่าวป้ายสีเล่นงาน จนซูจิ้งต้องขี่อินทรีย์ทองไปยังห้องเช่าของตัวการด้วยตัวเอง

นอกจากนี้เขายังทำการสืบสวนเรื่องราวต่างๆของคนที่หายตัวไปด้วย

 

ข้อมูลที่สี่นี้เป็นข้อมูลของซูจิ้ง

 

“ด้วยข้อมูลที่มากมายขนาดนี้แถมยังน่าพิศวงซะขนาดนั้นแต่ทำไมเรายังไม่ได้ร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย นี่เราพลาดอะไรไปกันแน่” ชายหนุ่มได้ถอดถอนหายใจออกมา

“ก็เป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ หากพวกนั้นไม่ปิดบังข้อมูลล่ะก็ ไม่ภาครัฐก็ซูจิ้งนั่นแหล่ะที่จะเกิดปัญหาใหญ่ ฉันคิดไว้อยู่แล้วล่ะว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่จะหาคำตอบได้อย่างง่ายดาย

แต่ด้วยเหตุนี้เอง หากซูจิ้งรู้เรื่องเข้าล่ะก็มันต้องเข้ามางับเหยื่อของพวกเราอย่างแน่นอน” หยวนหยินหนิงพูดออกมาในขณะที่ใช้ความคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่มี จนในที่สุด เขาก็มองไปยังข้อมูลชิ้นที่สองหรือก็คือข้อมูลกองโจรเกล็ดงูและพูดออกมาว่า “เริ่มจากพวกนี้ก็แล้วกัน”

…..

ในสำนักงานแห่งหนึ่ง หลี่เชิงได้มองไปยังข่าวสองข่าวในตอนนี้ ข่างหนึ่งคือประกาศของโรงพยาบาลกังเฟิงจองหยุนเกี่ยวกับการรักษากระจกตาเสื่อมและหูตึงได้ อีกข่าวก็คือซูจิ้งได้ช่วยเหลือเว่ยเสี่ยวหยวนไว้ได้จากการตกตึก

เขานั้นถึงแม้จะไม่ได้เข้าร่วมมือกับฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่ว และหยวนหยุนหนิงในการจัดการซูจิ้งก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือซูจิ้งด้วยเช่นกัน

แต่ทันทีเขาได้เห็นสองข่าวนี้ทำให้เขาเกิดความลังเลในจิตใจขึ้นมา

“ซูจิ้งสามารถรักษาโรคกระจกตาเสื่อมและหูตึงได้งั้นเหรอ ปู่ของฉันเองในตอนนี้นับว่าเขาก็ยิ่งมีปัญหาจากอาการทางสายตาและการได้ยินพวกนี้มากขึ้น

อีกไม่นานฉันคงต้องให้หมอนั่นช่วยแล้วล่ะนะ…..หรือฉันจะไปบอกหมอนั่นเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสามคนนั่นดี แถมเรื่องเว่ยเสี่ยวหยวนเองก็ยังมีความเป็นไปได้อย่างมากที่เป็นฝีมือพวกนั้น…” หลี่เชิงใช้ความคิดอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

 

หากตัวเขานั้นเข้าไปคุยกับซูจิ้งเรื่องนี้ก่อนล่ะก็เขาจะกลายเป็นศัตรูกับฮัวหยุนชู ฟูหงซิ่วและหยวนหยินหนิงในทันที

แต่กับเรื่องของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้น เขายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นฝีมือของสามคนนั่นรึเปล่า นั่นก็เพราะคนอย่างฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วนั้นไม่น่าจะทำกันได้ถึงขนาดนั้น นี่ทำให้เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“ช่างมันไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้ฉันคงจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ทั้งนั้น หากว่าเหตุการณ์ที่เว่ยเสี่ยวหยวนตกตึกนั่นเป็นฝีมือของสามคนนั่นจริงแสดงว่าสามคนนั้นถลำลึกเกินกว่าจะแก้แล้ว

นี่ขนาดพวกนั้นบอกว่าจะไม่เข้าไปหาเรื่องตรงๆนะ แต่พวกนั้นคงไม่ได้หาข้อมูลมากพอจริงๆ

นั่นก็เพราะจากข้อมูลที่เขาได้มานั้น ซูจิ้งหวงแหนคนที่มีปฏิสัมพันธ์อันดีกับเขาทุกคนราวกับเกล็ดมังกรย้อนของตัวเอง

แน่นอนว่าหากใครกล้าไปแตะเขาจะสวนกับด้วยทุกอย่างที่มี การกระทำของพวกนั้นไม่ได้สะกิดแม้แต่ผิวซูจิ้งเลยด้วยซ้ำ

เอาเถอะ หากถึงเวลาที่ฉันต้องให้หมอนั่นช่วยจริงๆฉันว่าใช้เงินเข้าว่าจะดีกว่าแหะ” หลี่เชิงใช้ความคิดของตัวเองอย่างจริงจัง

…..

“เจออะบ้างไหม” ซูจิ้งพูดออกมากับซูฉือ

“ข้อมูลในตลาดมืดนี้แน่นอนว่าต้องปกปิดสุดกำลัง แม้แต่ชื่อที่ใช้งานเพียงแค่ครั้งแรกเองก็มีแค่ชื่อฉายาเท่านั้น การที่เราจะสืบหาตัวตนจากชื่อเล่นแบบนี้แบบตอนที่เราเจอเงานั้นเป็นไปได้ยากมาก ฉันต้องการเวลาอีกสักพัก

แต่เหนือสิ่งอื่นใดฉันได้เจอข้อมูลบางส่วนของเลาชง นาหลันเฟย และมู่หรงเซียนเอ๋อในตลาดมืดด้วย

ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนสนใจข้อมูลของทั้งสมคนจนซื้อขายกันบ่อยๆเลยทีเดียว แต่ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นเอาไปทำอะไรกันบ้าง” ซูฉือพูดออกมา

“ส่งมาให้ดูหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ได้” ซูฉือได้ตอบในทันทีก่อนที่จะส่งข้อมูลที่ได้ไปให้ซูจิ้ง

 

หลังจากซูจิ้งได้อ่านข้อมูลเหล่านี้ก็พบว่าขอมูลเหล่านี้กระจัดกระจายและธรรมดามากๆจนยากจะนำไปใช้งานได้ แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็แค่ข้อมูลน้ำจิ้มๆที่เอาไว้เป็นตัวอย่างให้คนที่สนใจเข้ามาซื้อข้อมูลเต็ม

แต่กับข้อมูลเต็มนั้น ถึงแม้หลัวฉือหลินและซูฉือจะช่วยกันหาข้อมูลแล้วแต่ก็ไม่มีทางที่จะได้ข้อมูลเต็มหรือคนที่ขายข้อมูลนี้ออกมาเลย เรียกได้ว่าหากเป็นคนธรรมดานี่ยังไม่เจอแม้แต่เศษเสี้ยวข้อมูลซะด้วยซ้ำ

แต่ถึงแม้จะบอกว่าเป็นข้อมูลไร้ค่า แต่กับซูจิ้งในตอนนี้หลังจากที่ได้รับข้อมูลไปแล้ว เขาเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าภายในจิตใต้สำนึกของตัวเองทำให้สมองของเขามีความคิดหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว

เขาเองก็ไม่คิดว่าทั้งเลาชง นาหลันเฟย และมู่หรงเซียนเอ๋อนั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ แต่เขาเองก็ยังคิดอยู่ดีว่ามีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องเนื่องด้วย

“ถ้าคนกลุ่มนั้นต้องการเพียงตัวของเว่ยเสี่ยวหยวนนั้นก็ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่นี่ดูเหมือนว่าเป้าหมายของมันคือฉันไม่ก็ฉันที่อยู่ในฐานะสไปเดอร์แมนสินะ

นั่นก็เพราะว่าทั้งเลาชงและนาหลันเฟยนั้นมีความเคารพนับถือในตัวสไปเดอร์แมนอย่างมาก แต่มู่หรงเซียนเอ๋อนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสไปเดอร์แมนเลยแม้แต่น้อย

 

การคงอยู่ของตลาดมืดนี่มันช่างน่ารังเกียจจริงๆ แค่มีมันอยู่ก็ทำให้คนที่รู้เรื่องต่างกันอยู่ไม่สุขเป็นแน่” ซูจิ้งใช้ความคิดสักพักจึงได้โทรไปหาหลัวฉือหลินให้หาคนที่หายตัวไปตอนที่จะเกิดเรื่องของมู่หรงเซียนเอ๋อ

อย่างที่เขาคาดไว้ ครอบครัวของผู้สูญหายได้ขอให้ตำรวจสืบสวนเรื่องนี้อยู่ไม่ขาด อย่างไรก็ตาม หากเรื่องแบบนี้เป็นซูฉือและหลัวฉือหลินร่วมมือกันในการตรวจสอบย่อมดีกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งสองจะสืบค้นที่นั่นอีกครั้ง ต่อให้ไม่ใช่ตำรวจก็สืบสวนได้ดีกว่าตำรวจมากมายนัก

“ฉันต้องเปิดใจให้กว้างเข้าไว้….อืมมมม….แล้วเรื่องของมนุษย์เกล็ด….” ซูจิ้งคิดต่อได้สักพักจึงได้ให้ซูฉือและหลัวฉือหลินสืบสวนเพิ่มเติมก็พบว่า หลูยี่หมิงและตำรวจคนอื่นๆนั้นยังมีการสืบสวนหาตัวฆาตกรที่เกี่ยวกับเม่งเหมยเอ๋ออยู่

“เป็นไปได้ว่ามีใครบางคนติดตามข้อมูลเหล่านี้อยู่รึเปล่า” หากหยวนหยินหนิงรู้ว่าซูจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะก็ เขาคงจะกลัวจนเป็นบ้าไปเลยซะยังดีกว่า นั่นก็เพราะนี่ขนาดเป็นข้อมูลเพียงเล็กน้อยและไม่ได้ดูมีส่วนเชื่อมโยงเลยสักนิด ซูจิ้งกลับต้องข้อสันนิษฐานได้ใกล้เคียงความจริงแบบสุดๆ

 

คราวนี้ซูจิ้งได้วาดตัวอักษรหนึ่งขึ้นมาในใจ ตัวอักษรนี้คือคำว่า ชู เพื่อจัดการข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในหัว ถึงแม้เขาจะไม่สามารถใช้ทักษะนี้ได้อย่างเต็มที่ก็ตาม

ด้วยการที่เขาได้ทักษะนี้มาจากห้วงเวลาฯไซอิ๋วซึ่งเกี่ยวข้องกับทางพุทธอยู่แล้ว ด้วยตัวเขาในตอนนี้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นมา ทำให้ทักษะการเขียนอักษรนี้เองพัฒนาขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน