GGS:บทที่ 1065 เสี่ยวไจ๋แพ้พ่าย?

 

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ซูจิ้งได้ทำเรื่องราวเขย่าโลกาไว้มากมายทำให้น้อยคนนักในประเทศที่จะมีชื่อเสียงเทียบเท่าได้

และในทุกครั้ง ซูจิ้งไม่เคยลืมที่จะดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเหรียญตราเทวฑูต ถึงแม้ว่าเป้าหมายของเขาที่คอยสร้างชื่อเสียงแบบนี้จะเป็นค่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าผลพลอยได้นี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่ากันเลยสักนิด

ตอนนี้พลังจิตของเขามีความแข็งแกร่งจากเดิมยกของหนักได้500ชั่งนั้นกลายเป็น 750 กิโลกรัมเพียงช่วงเวลาแค่เดือนเดียว

แน่นอนว่าที่พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการสลักอักษร ชู ไว้ในจิตใต้สำนึกของตนเองด้วย

น่าเสียดายในช่วงที่ผ่านมานี้ เขานั้นยังไม่ได้ร่องรอยอะไรเพิ่มเติมมากมายนักแต่ก็มากพอที่จะเชื่อมโยงเข้ากับใครบางคนได้ โดยตอนนี้เขาเชื่อว่ามีใครบางคนกำลังตรวจสอบเหตุการณ์คนหายตัวในเมืองจงหยุนไปก่อนหน้านี้

 

นี่ทำให้เขาเชื่อว่าคนผู้นี้น่าจะรู้ตัวแล้วว่าเขานั้นไม่เพียงจะได้ตัวเงาไปแล้ว แต่ยังสืบสวนเหตุหายตัวไปก่อนหน้านี้เพื่อหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง

ในขณะที่ซูจิ้งจัดการเรื่องทุกอย่างในหัวสมองอยู่ใน เขาก็มีสายเรียกเข้าจากโจวฮงหยวน นี่ทำให้เขาต้องรีบรับสายในทันที ในตอนนั้นเองโจวฮงหยวนได้รีบพูดผ่านสายโทรศัพท์มาว่า “อาจิ้ง เกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวไจ๋”

“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งหน้ากระตุกไปเล็กน้อย

“เขาพ่ายแพ้การต่อสู้แถมตอนนี้ยังเจ็บหนักอีกด้วย” โจวฮองหยวนพูดออกมา

“เสี่ยวไจ๋นั้นจะไม่ประมือกับใครโดยไม่มีเหตุผลนี่นา และเขาจะสูจนพ่ายแพ้ได้ยังไง” ซูจิ้งขมวดคิ้วในทันที และระลึกถึงเสี่ยวไจ๋ผู้นี้ว่าเขานั้นเติบโตในวันหลานเร่อตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่านิสัยของเขาจะดิบเถื่อนเป็นธรรมชาติ แต่เขาก็ใช้ธรรมะในใจเข้าข่มไว้ได้ตลอดมา

เขานั้นจะไม่ไปประลองกับใครโดยไม่มีเหตุผล อีกอย่างต่อให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้จริงๆก็ไม่น่าจะแพ้ใครได้ง่ายๆ เพราะเสี่ยวไจ๋คืออัจฉริยะด้านการต่อสู้ที่แท้จริง

นอกจากนั้นเขายังฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งอย่างลึกซึ้งได้ด้วยตัวเอง ด้วยตัวตนเช่นนี้ทำให้ยากที่เขาจะแพ้พ่ายจากศัตรูหน้าไหน แล้วใครกันที่ล้มเสี่ยวไจ๋ได้

 

“มีใครบางคนมายังประตูวัดหลานเร่อ หลังจากนั้นก็ทำการกร่นคำด่าสาปแช่งคุณ และบอกว่าฝีมือการต่อสู้ของคุณนั้นเป็นของปลอม การที่อัดคนล้มประดาตายสามสิบสี่สิบคนนั่นไม่มีทางที่จะมีคนทำได้อยู่แล้ว และนั่นคือหลักฐานชั้นดี

แถมยังบอกว่าคุณนั้นได้ไปลักเรียนวิชาจากอาจารย์ของหมอนั่น ถึงแม้พวกเราจะไม่สนใจได้ แต่เสี่ยวไจ๋นั้นรับไม่ได้และออกประลองกับหมอนั่น

ด้วยการที่พวกเรานั้นคิดว่าเสี่ยวไจ๋จะล้มหมอนั่นได้แบบคนอื่นๆและเมื่อชาวยุทธ์มีปัญหาก็ควรจะจบกันได้วิชายุทธ์จึงไม่ได้ห้าม

ไม่คิดว่าซูไจ๋จะพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเพราะอีกฝั่งทรงพลังมากเกินไป” โจวฮงหยวนพูดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความประหลาด

 

เสี่ยวไจ๋นั้นด้วยการที่เขาได้ฝึกวิชายุทธ์ของซูจิ้งทำให้นับวันเขายิ่งทรงพลังมากขึ้น

เมื่อตอนที่เขาฝึกซ้อมอยู่คนเดียวเขาต่อยกระสอบทรายปลิวได้อย่างสบายมือ เขาวิ่งปร๋อได้แม้แต่แบกหินก้อนโต เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดน้อยเลยก็ว่าได้ นี่เองก็ทำให้พวกเขาต่างก็ต้องถอดถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง และนี่เองทำให้พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครกำราบเสี่ยวไจ๋ได้นอกจากซูจิ้ง

ใครจะไปคิดว่าสัตว์ประหลาดน้อยคนนี้จะพ่ายแพ้คนอื่นได้กัน

“คู่ต่อสู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ใดกัน” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสงสัย

“พวกเรามองไม่ทันเลยจริงๆ แต่ว่ามีคนถ่ายวิดีโอการต่อสู้นั้นไว้ในอินเตอร์เน็ตอยู่ คุณสามารถไปดูในนั้นได้” โจวฮงหยวนพูดออกมา

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจื้งได้รีบเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตในทันที และไม่นานเขาก็พบข่าวที่บอกไว้ว่า “เสี่ยวไจ๋ ศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของซูจิ้งได้แพ้พ่ายลงแล้ว” โดยวิดีโอนี้มียอดผู้เข้าชมที่สูงมาก และชาวเน็ตเองก็เข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น

“พระเจ้าช่วย เสี่ยวไจ๋แพ้”

“ทั้งคู่แข็งแกร่งมากจริงๆ พวกเขาทำได้แม้แต่พังเสาของสนามประลอง”

“เสี่ยวไจ๋เจอคู่แต่สู้โดยไม่รู้จักศัตรูสินะ…แต่คู่ต่อสู้ก็แข็งแกร่งจริงๆ”

“อีกฝั่งหนึ่งเองก็ใช้เพลงหมัดวัวคลั่งเหมือนกัน ถามยังดูทรงพลังกว่าเสี่ยวไจ๋อีกด้วย หมอนี่ยังบอกอีกว่าซูจิ้งนั้นเรียนลักลอบเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งจากอาจารย์ของเขา ถึงแม้ซูจิ้งจะดูแข็งแกร่งยังไงแต่หากเจอกันจริงๆเขาก็สามารถชนะซูจิ้งได้อย่างสบาย”

 

“ก่อนหน้านี้ที่ได้ยินฉันก็ไม่เชื่อนะ แต่พอเห็นวิดีโอการต่อสู้แล้วฉันเชื่อย่างสนิทใจเลย ฉันเองก็ว่าอยู่ว่าทำไมซูจิ้งถึงสามารถสร้างเคล็ดวิชาที่ทรงพลังได้แบบนี้ตั้งแต่ยังหนุ่ม ที่แท้เขาก็ไปลักลอบเรียนมานี่เอง”

“อย่ามาพูดจาพล่อยๆดีกว่าน่า เขาบอกว่าตัวเองสามารถล้มซูจิ้งได้อย่างสบายๆ แถมยังบอกอีกว่าเพลงหมัดวัวคลั่งเป็นอาจารย์ของเขาที่สร้างขึ้นมางั้นเหรอ แค่พูดนายก็เชื่อเนี่ยนะ”

“ใครไม่เชื่อแต่ฉันเชื่อ”

หลังจากเห็นสิ่งที่ชาวเน็ตคอมเม็นท์กันแล้วทำให้ซูจิ้งอดที่จะอารมณ์เสียไม่ได้

เขาเองก็ได้กดวิดีโอเข้าไปดูวิดีโอการประลองแล้วเหมือนกัน ในวิดีโอนั้นเป็นสนามประลองของสำนักวิทยายุทธแห่งหนึ่ง

 

ศัตรูของเสี่ยวไจ๋นั้นดูทรงพลังและหนุ่มแน่น พร้อมทั้งมีร่างกายที่แข็งแรงและใบหน้าที่ดุร้าย เขาดูจากท่วงท่าการวางมือและเท้าแล้วบอกได้เลยว่าชายคนนี้แข็งแกร่งกว่าเสี่ยวไจ๋ถึงสามจุด

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ชมต่างก็เชื่อว่าเพลงหมัดวัวคลั่งของชายคนนี้เป็นของแท้

ชายหนุ่มคนนี้สามารถเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งได้ทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งอัจฉริยะทางด้านการต่อสู้อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เท่าที่ดูแล้วเขาเชื่อว่าชายคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าเสี่ยวไจ๋เลยแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าในการประลองยุทธนี้อีกฝ่ายได้ใช้กำลังเต็มที่และหมายเอาชีวิตในทุกกระบวนท่าจึงไม่แปลกที่คนเช่นเสี่ยวไจ๋ผู้มีธรรมในใจจะพ่ายแพ้และการเป็นตัวตลกในสายตาผู้คน

เขารู้ดีว่าหากเสี่ยวไจ๋นั้นปลดปล่อยตัวเองออกมาไม่ทางที่จะแพ้อย่างแน่นอน

 

หลังจากดูวิดีโอจบแล้ว เขายืนยันได้ว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นไม่ได้เล่นตุกติกใดๆ นอกจากคำพูดที่ยั่วยุแล้วก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย

เสี่ยวไจ๋เองก็มีสภาพดีพร้อม แต่อีกฝั่งนั้นใช้ความสามารถเต็มที่เท่านั้นกับเสี่ยวไจ๋ที่ไม่คิดจะใช้พลังเต็มที่จึงได้พ่ายแพ้ไป

 

“กระบวนท่าที่สามของเพลงหมัดวัวคลั่งไม่มีการปล่อยไปอย่างเป็นทางการนี่นะ ชายหนุ่มคนนี้ไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน แถมทำไมหมอนี่ถึงทรงพลังแบบนี้ได้

การที่คนคนนี้กล้ามาตอแยเสี่ยวไจ๋นั้นต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน คนๆนี้ต้องมีอะไรบางอย่างเป็นแน่ คงต้องสืบสวนสักหน่อยแหะ”

 

ซูจิ้งพูดพึมพรำออกมาในขณะที่จับจ้องไปยังวิดีโอ ทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็ได้จ้องเขม็งในทันที นั่นก็เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือรายสักเกล็ดงูที่คอของชายหนุ่ม

นี่ทำให้ซูจิ้งมีความรู้สึกพุ่งปรี๊ดในทันทีและเกิดใจเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อดูดีๆก็พบว่านี่ไม่ใช่รอยสักแต่เป็นเพียงแค่แท็ททูเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็แสดงให้เห็นว่าคนๆนี้เกี่ยวกับกองโจรเกล็ดงูอย่างแน่นอน

“หึหึหึ นี่หมายความว่าพวกนั้นไปหาพวกเกล็ดงูมาและโยนออกมาหลอกล่อฉันราวกับกิ่งมะกอกสินะ” ซูจิ้งนั้นนอกจากใจเต้นแรงแล้วเขาก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว และดูเหมือนคนพวกนั้นจะดูเร่งรีบไม่น้อยถึงได้กล้าทำแบบนี้ นี่แสดงว่าสิ่งที่เขาสันนิษฐานมาทั้งหมดถูกต้องแล้ว

แต่ในเมื่ออีกฝั่งโยนกิ่งมะกอกออกมาหลอกล่อเขาขนาดนี้มีหรือที่เขานั้นจะปล่อยให้พวกนั้นเสียใจที่เขาไม่ตกหลุมพลาง

อีกอย่างคือนี่แสดงว่าฝั่งนู้นเองก็เตรียมตัวมาดีเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ว่าหาคนที่ทรงพลังมากำราบเสี่ยวไจ๋ได้แบบนี้ทำให้เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายนั้นเตรียมตัวมาดีแค่ไหน

 

หลังจากคิดอะไรหลายอย่างแล้ว ซูจิ้งได้ให้ซูฉือและหลัวฉือหลินตรวจสอบชายหนุ่มที่ชนะเสี่ยวไจ๋ในทันที ส่วนตัวเขานั้นก็ไปยังโรงพยาบาลเพื่อพบเสี่ยวไจ๋

เมื่อไปถึง เขาพบว่านอกจากโจวฮงหยวนและปรมาจารย์เชิงหยานแล้ว แม้แต่ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน ไคหวูเฟิงและจี้เสี่ยวถิงเองก็ยังอยู่ด้วย

เสี่ยวไจ๋ในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพนอนอยู่บนเตียงพร้อมด้วยผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำดำเขียวและขาที่ดามไว้นั้น ถึงจะเป็นถึงขนาดนี้แต่สายตาของเขายังคงสว่างไสวนี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขายังอยู่ในสภาพดี แน่นอนว่านี่เองก็เป็นอีกผลพวงหนึ่งจากการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่ง ต่อให้เจ็บหนักก็ยังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

 

“ท่านอาจารย์ ผมขอโทษครับที่ผมแพ้ ให้โอกาสผมอีกครั้ง คราวนี้ผมจะล้มหมอนั่นให้ได้ เมื่อร่างกายของผมกลับมาสมบูรณ์ผมจะท้าประลองอีกครั้ง” เสี่ยวไจ๋ได้พูดออกมากับซูจิ้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและจิตวิญญาณนักสู้อันเต็มเปี่ยม

“ผลออกมาเป็นแบบนี้ก็ดีนะ นายจะได้ลดความอหังการ์ลงบ้าง ตอนที่นายดีขึ้นก็หวังว่าบทเรียนในครั้งนี้จะทำให้นายใจเย็นลงได้

เรื่องในครั้งนี้อีกฝั่งหมายตาฉันไว้ เรื่องนี้ฉันคงต้องขอจัดการด้วยตัวเองแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา หลังจากนั้นจึงหันไปทางฮู่ฮงหยางแล้วถามออกมาว่า “อาจารย์ฮู่มาที่นี่ทำไมหรือครับ”

“ถามมาแบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันเองก็ขอบอกตรงๆเลยว่าที่เสี่ยวไจ๋พ่ายแพ้ในครั้งนี้นั้นเป็นเพราะฉันเอง” ฮู่ฮงหยางพูดออกมาพลางถอดถอนหายในด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย