บทที่ 474.2 ใส่น้ำเต้าล้างกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หานหยวนเสวี๋ยที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กกระตุกชายแขนเสื้อของหวังซานหู เอ่ยถามเบาๆ ว่า “พี่หญิงซานหู นั่นคือยอดฝีมือหรือ?”

หวังซานหูพยักหน้ารับ “ไม่แน่ว่าอาจจะมีคุณสมบัติพอจะประมือกับท่านพ่อข้าได้”

แล้วหวังซานหูก็พูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยคอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทำให้ท่านพ่อข้าออกแรงเต็มกำลังได้ แต่คนรุ่นหลังในยุทธภพที่สามารถทำให้ท่านพ่อข้าออกแรงได้เจ็ดแปดส่วนก็มากพอจะเอาไปคุยโวได้ตลอดชีวิตแล้ว”

หานหยวนเสวี๋ยเอาจริงเอาจังอย่างมาก นางเอ่ยอย่างตกตะลึง “แต่คนผู้นั้นมองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มาก เขามีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเป็นอย่างที่เขียนไว้ในนิยายของชาวยุทธที่บอกว่า กินพืชพรรณวิเศษที่สามารถเพิ่มกำลังภายในเป็นเวลาหกสิบปี? หรือว่าเขาเคยตกจากหน้าผาแล้วได้รับวิชาลับในการเรียนวรยุทธไปหนึ่งหรือสองเล่ม?”

หวังซานหูพูดไม่ออก

ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงไม่เคยมีเรื่องดีงามเช่นนี้หรอก

ผู้ที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาต่างหากถึงจะมีโชควาสนาไร้เหตุผลที่ชวนให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาถึงได้วางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ละคนเชิดจมูกขึ้นฟ้า ดูแคลนคนในยุทธภพ

ต่อให้เป็นวีรบุรุษใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยมาดองอาจอย่างบิดานาง ตอนที่พูดถึงเทพเซียนที่อยู่เหนือโลกีย์เหล่านั้น น้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ

ฉู่ฮูหยินฟังถ้อยคำไร้เดียงสาของหานหยวนเสวี๋ยด้วยความเพลิดเพลิน สตรีสกุลหานผู้นี้ไม่มีส่วนใดที่เป็นประโยชน์ ความสามารถเดียวก็คือชะตาชีวิตดี คนโง่มีโชคของคนโง่ ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดี จากนั้นยังได้มีพี่ชายอย่างหานหยวนซ่าน สุดท้ายยังได้แต่งงานกับบุรุษที่ดี คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ช่างทำให้คนโมโหตายได้ดีจริงๆ ดังนั้นสายตาของฉู่ฮูหยินจึงชำเลืองมองไปยังหานหยวนเสวี๋ยที่มองไปยังสนามรบด้านนอกอย่างมีสมาธิ ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้คนโมโหอยู่ในใจจริงๆ สตรีแต่งงานแล้วท่านนี้กำลังใคร่ครวญว่าควรจะหาเรื่องให้นังเด็กนี่ลำบากนิดๆ หน่อยๆ ดีหรือไม่ แน่นอนว่าต้องกะกำลังไฟให้เหมาะสม ต้องทำให้ตัวหานหยวนเสวี๋ยเองเป็นดั่งคนใบ้ที่กินหวงเหลียน ไม่อย่างนั้นหากหานหยวนซ่านรู้เข้าว่านางกล้าทำร้ายน้องสาวของเขา เขาคงถลกหนังของ ‘ฮูหยินเอก’ อย่างนางออกมาหนึ่งชั้นแน่นอน

ฉู่ฮูหยินหาวไม่หยุด ชำเลืองตามองเหล่าผู้กล้าในยุทธภพเหล่านั้นแล้ว มุมปากก็ตวัดขึ้น เอ่ยพึมพำว่า “ช่างเป็นปลาโง่ที่มาติดเบ็ดง่ายจริงๆ แต่ละคนเอาเงินมาส่งให้ทั้งนั้น ท่านสามี ภรรยาดีๆ ที่เก่งกาจเรื่องการครองเรือนอย่างข้า ต่อให้ส่องไฟหาก็ยังหาได้ยากนัก”

คนของทั้งสองฝ่ายต่างก็มองไม่ออกว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นลงมืออย่างไร ลูกธนูสามดอกก็ถูกกุมไว้ในมือของเขาแล้ว

วิชาการยิงธนูของหม่าลู่แห่งหมู่บ้านเหิงเตาขึ้นชื่อว่าเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นซูสุ่ย ได้ยินมาว่าในกลุ่มของคนเถื่อนต้าหลีก็มีแม่ทัพบู๊ในสนามรบคนหนึ่งที่หวังว่าหวังอี้หรานจะตัดใจมอบหม่าลู่ให้เข้าร่วมกองทัพ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด หม่าลู่ถึงยังอยู่ในหมู่บ้าน ยอมสละความสูงส่งร่ำรวยที่เพียงแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองทิ้งไป

หัวหน้าทหารม้าคนหนึ่งชูมือขึ้นสูงหยุดยั้งการยิงธนูในรอบถัดไปของทหารบู๊ใต้บังคับบัญชา เพราะไม่มีความหมายใดๆ เมื่อผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตปรมาจารย์ในยุทธภพแล้ว เว้นเสียจากว่ากองกำลังของฝ่ายตนเองมีมากพอ หาไม่แล้วก็มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับตัวเอง ซ้ำเติมตัวเองในทุกๆ ด้าน หัวหน้าทหารม้ามีฝีมือผู้นี้หันหน้าไปมอง ไม่ได้มองหม่าลู่ แต่มองผู้เฒ่าท่าทางนิ่งขรึมไม่สะดุดตาสองคน นั่นคือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ทางราชสำนักแคว้นซูสุ่ยจัดตั้งขึ้นตามกฎของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี มีสถานะขุนนางที่มีระดับขั้นแน่นอน คนหนึ่งคือองค์รักษ์ที่ติดตามฉู่ฮูหยินเดินทางออกจากเมืองหลวงลงใต้ ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนของจวนเจ้าเมือง เมื่อเทียบกับหม่าลู่ที่เป็นคนของหมู่บ้านเหิงเตาแล้ว สองท่านนี้ต่างหากจึงจะเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง

ผู้ฝึกตนเฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งในนั้น ตลอดทางที่ขี่ม้ามานี้ก็ราวกับว่ากระดูกทั้งร่างของเขาจะแยกหลุดจากกันได้ตลอดเวลา ทว่าทันใดนั้นพลังอำนาจทั่วร่างของเขากลับระเบิดออกเหมือนประทัดที่ถูกจุด กระบี่ยาวตรงเอวสั่นสะเทือนร้องครวญไม่หยุด

ท่ามกลางกลุ่มของชาวยุทธที่คุมเชิงอยู่ ‘คนละฝั่ง’ กับขบวนรถ  สตรีร่างสูงโปร่ง หน้าตางดงามคนหนึ่งมีแต่ความสิ้นหวังเต็มใบหน้า พูดขึ้นเสียงสั่นว่า “นั่นคือเซียนกระบี่บนภูเขา!”

เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าหน้าตาธรรมดาคนนั้นกระทุ้งสีข้างม้าเบาๆ เขาปล่อยให้กระบี่ออกจากฝักมาอย่างไม่รีบร้อน เสียงครูดของโลหะดังเสียดสีกันชวนให้คนใจสั่นสะท้าน

ผู้เฒ่าควบม้าเดินมาข้างหน้าช้าๆ สายตาจดจ้องมือกระบี่ชุดเขียวที่สวมงอบคนนั้นเขม็ง “ข้าผู้อาวุโสรู้ว่าเจ้าไม่ใช่ฉู่เยว่อี้แห่งหมู่บ้านวารีกระบี่อะไรนั่น จงรีบถอยออกไปซะ แล้วจะเว้นชีวิตเจ้า”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เทพเซียนลงมาจากภูเขาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเข้าเมืองตาหลิ่วก็ควรต้องหลิ่วตาตาม มีอะไรก็พูดจากันดีๆ”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้ารีบร้อนอยากไปเกิดใหม่งั้นรึ?”

ยุทธภพในแคว้นซูสุ่ยเล็กๆ จะมีน้ำหนักสักกี่ตำลึงกันเชียว?

หากซูหลางแห่งแคว้นซงซีหรือซ่งอวี่เซาแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่มาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ยินดีจะให้ความเคารพสักสองสามส่วน แต่คนหนุ่มเด็กรุ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แม้จะแข็งแกร่งก็จริง แต่เขาดีดนิ้วทีเดียวก็สิ้นชื่อแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รับน้ำใจ ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษที่เขาออกกระบี่ไม่ได้ ขอแค่ไม่ใช่ลูกหลานของหมู่บ้านวารีกระบี่ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มียันต์คุ้มกันกาย ฆ่าไปก็ตายเปล่า แม่ทัพใหญ่ฉู่มาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า เดินทางลงใต้ครั้งนี้ห้ามเกิดข้อพิพาทกับซ่งอวี่เซาและหมู่บ้านวารีกระบี่เด็ดขาด ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพก็ดี ผู้ฝึกตนอิสระที่ไล่เก็บหาของดีไปทั่วก็ช่าง ฆ่าจนคมกระบี่ม้วนตลบก็ล้วนถือว่าเป็นคุณความชอบทางการทหารทั้งสิ้น

เฉินผิงอันหันหน้ามาโบกมือให้ชาวยุทธทั้งหลาย พลางอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ไปเถอะ คิดดูแล้วพวกเจ้าเองก็คงมองออก ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยได้ ข้ายังคงยืนยันคำเดิม วันหน้าหากคิดจะผดุงคุณธรรม สังหารคนพรรคฉู่อะไรนั่น จะทำให้คนบริสุทธิ์เดือดร้อนหรือไม่ คาดว่าพวกเจ้าเองคงไม่ยินดีจะคิดให้มากความ ถ้าอย่างนั้นก็ขอแนะนำพวกเจ้าว่าอย่าเอาชื่อของหมู่บ้านวารีกระบี่มาใช้ คุณธรรมในยุทธภพควรต้องมีกันบ้าง ไม่ใช่คิดว่าตัวเองมีคุณธรรมแล้วจะทำอะไรตามใจชอบก็ได้”

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ขี่ม้าเดินหน้ามาตลอดเวลาเคลื่อนตัวผ่านขบวนรถมาแล้ว อยู่ห่างจากมือกระบี่ชุดเขียวไม่ถึงสามสิบก้าว เขาหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าพวกแมลงในยุทธพเหล่านี้คิดจะจากไปก็ต้องเดินไปให้ได้ก่อน ข้าผู้อาวุโสอนุญาตแล้วหรือ? รู้หรือไม่ว่าหัวของคนเหล่านี้แลกเงินมาได้กี่มากน้อย? เจ้าคนที่ถูกเจ้าช่วยตีจนสลบไปผู้นั้น อย่างน้อยก็มีค่าถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สตรีที่สายตาไม่เลว รู้จักเรียกข้าผู้อาวุโสด้วยความเคารพว่าเซียนกระบี่ผู้นั้น เจ้าคงจะรู้จักอยู่บ้างกระมัง ไม่รู้ว่ามีบุรุษในยุทธภพมากน้อยแค่ไหนที่ต่อให้ฝันก็ยังอยากจะเป็นม้าที่อยู่ใต้ก้นของนาง อยากจะถูกนางควบขี่สักครั้ง หญิงหม้ายผู้นี้ สามีของนางคือผู้กล้าคนหนึ่งที่อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีไปได้ถึงสองคน เป็นเหตุให้หลังจากบุรุษผู้นั้นตายไป หญิงหม้ายอย่างนางจึงมีชื่อเสียงบารมีอยู่ในแคว้นซูสุ่ยของพวกเจ้าอย่างมาก คาดว่าหัวของนางน่าจะมีค่ามากถึงหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเลยทีเดียว”

เฉินผิงอันฟังผู้เฒ่าพูดจ้อแล้วกำหมัดเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นความร้อนรุ่มที่อยากออกหมัดชักกระบี่โดยเร็วขุมนั้นในใจลงไป

ก่อนจะออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว การป้อนหมัดครั้งสุดท้ายของผู้เฒ่าชุยเฉิงบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ นอกจากจะแสดงศักยภาพที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดให้เฉินผิงอันดูแล้ว ยังมีคำพูดประโยคหนึ่งของเขาที่มีน้ำหนักอย่างยิ่ง

‘เฉินผิงอัน เจ้าควรตั้งใจฝึกฝนจิตใจแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นชุยเฉิงคนที่สอง หากไม่เป็นบ้า ก็คงต้อง…อนาถยิ่งกว่านั้น นั่นคือธาตุมารเข้าแทรก ตอนนี้เจ้าชอบใช้เหตุผลมากเท่าไหร่ เฉินผิงอันในวันพรุ่งนี้ก็จะยิ่งไม่ชอบใช้เหตุผลมากเท่านั้น’

เฉินผิงอันเอามือจับประคองงอบ กวาดตามองไปรอบด้าน อากาศคือฤดูใบไม้ร่วง จิตใจก็เยือกเย็น รวมกันก็เป็นคำว่ากลุ้มพอดี (ฤดูใบไม้ร่วงภาษาจีนคือคำว่า 秋 จิตใจเยือกเย็นในประโยคนี้ก็ใช้คำว่า 秋 เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่ากลุ้ม ภาษาจีนคือคำว่า 愁 ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร 秋 และด้านล่างคือตัวอักษร 心 ที่แปลว่าหัวใจ)

ควรจะต้องมีวิธีในการแก้ไขคลี่คลายสักหน่อย

เฉินผิงอันถอนสายตากลับคืนมา มองไปยังผู้ฝึกกระบี่เฒ่าบนภูเขาคนนั้น “ในเมื่อมีกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ออกกระบี่”

ผู้เฒ่าชำเลืองตามองจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จากนั้นก็ทอดสายตาออกไปไกลอีกนิด มองไปยังสตรีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพของหนึ่งแคว้นผู้นั้น “ข้าผู้อาวุโสก็คือเซียนกระบี่งั้นหรือ? ยุทธภพแคว้นซูสุ่ยของพวกเจ้าช่างน่าขำจริงๆ แต่ว่าสำหรับพวกเจ้าแล้ว คิดได้แบบนี้ก็เหมือนว่าจะไม่ผิดเท่าไหร่”

กระบี่ยาวออกจากฝักพร้อมเสียงครูดของโลหะ

พลังอำนาจประดุจสายฟ้าที่ผ่าปลาบลงมา

ส่วนมือทั้งสองของผู้เฒ่านั้นยังคงกุมเชือกบังคับบังเหียนม้าเอาไว้ ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์

หนึ่งกระบี่พุ่งออกไป เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายที่ไม่ว่าจะเป็นฝั่งคนกันเองหรือฝังศัตรูก็ล้วนรู้สึกว่าเยื่อแก้วหูส่งเสียงดังอื้ออึง จิตใจสั่นสะท้าน

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกคนหนึ่งที่มาจากจวนตระกูลเซียนของแคว้นซูสุ่ยกลับสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี

เห็นเพียงว่ามือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นเขย่งปลายเท้าขึ้นไปเหยียบอยู่บนปลายกระบี่ที่บินออกจากฝักโดยตรง จากนั้นก็ยกเท้าราวกับคนเดินขึ้นบันได เป็นเหตุให้กระบี่ยาวเอียงปักลงดินไปเกือบครึ่งเล่ม ส่วนคนหนุ่มก็ยืนอยู่บนด้ามกระบี่ทั้งอย่างนั้น

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ออกกระบี่กุมหมัดเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยที่ข้าน้อยล่วงเกิน”

ออกกระบี่เร็ว ก้มหัวยอมรับผิดก็เร็วเช่นกัน

ท่ามกลางความลี้ลับครั้งนี้ เกรงว่าคงมีเพียงผู้ฝึกตนของสองฝ่ายและคนที่ชมศึกผู้นั้นที่มองออก

เฉินผิงอันก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว พลิ้วกายกลับลงบนพื้นอีกครั้ง เขาเหยียบกระบี่ยาวให้แนบติดพื้น แล้วปาดเท้าไปข้างหน้าหนึ่งที ปลายกระบี่ยาวหันชี้เข้าหาตัวเขา จากนั้นเขาก็ถอยหลังกรูดออกไป กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่ยาวหยุดชะงักก่อน จากนั้นก็พุ่งขึ้นกลางอากาศเป็นเส้นตรง เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกไปประกบ บิดหมุนหนึ่งรอบ ใช้วิชาบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ผลักกระบี่ยาวเล่มนั้นกลับเข้าฝัก ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่กุมหมัดอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นพูดต่อว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่คืนกระบี่ให้…”

มือข้างที่บังคับกระบี่ของเฉินผิงอันถูกดึงกลับมาแล้ว เขาเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง เปลี่ยนมาประกบสองนิ้วของมือซ้าย ระหว่างสองนิ้วนั้นมีเส้นแสงเจิดจ้าบาดตายาวประมาณชุ่นกว่าไหลเวียนวน

เฉินผิงยิ้มกล่าว “ต้องมีการตอบแทนอย่างงาม?”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสีหน้าไร้อารมณ์ ชายแขนเสื้อสองข้างสั่นสะเทือน

สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งได้ ต่อให้เมื่อเทียบกับบรรดาผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์แล้วจะถือว่าเป็นพวกที่ทึ่มทื่อ แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่ จิตใจ พรสวรรค์ วิธีการเข่นฆ่าสังหารล้วนโดดเด่นเหนือใครในบรรดาของผู้ฝึกตน เมื่ออยู่ล่างภูเขาผู้คนพิถีพิถันในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนทั้งบุ๋นและบู๊ เมื่ออยู่บนภูเขา ก็ยิ่งพิถีพิถันในด้านการเรียนวิชาร้อยเมธี ฝึกฝนขัดเกลากระบี่ คำกล่าวที่ว่ากระบี่บินกินภูเขาทองทั้งลูกในคำเดียวนั้นก็แทบจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทุกเล่มของผู้ฝึกกระบี่บนโลก

และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นี้ ความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่ความคมกริบซึ่งหนึ่งกระบี่สามารถทลายหมื่นอาคม ถึงขั้นไม่มีความเร็วในระดับที่กระบี่บินสมควรมี แต่อยู่ที่วิถีโคจรที่แปลกประหลาด ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง รวมไปถึงเวทลับการคัดลอกที่ราวกับว่าใช้กระบี่บินก่อกำเนิดกระบี่บิน

เพียงชั่วพริบตา

บริเวณโดยรอบของมือกระบี่ชุดเขียวที่ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินเล่มหนึ่งเอาไว้ก็มีกระบี่บินลักษณะเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนลอยขึ้นมาสิบสองเล่ม โอบล้อมเขาให้อยู่ในวง ตำแหน่งที่กระบี่แต่ละเล่มหยุดนิ่งมีระดับสูงต่ำต่างกัน ทว่าปลายกระบี่ทุกเล่มล้วนชี้เข้าหาช่องโพรงลมปราณที่สำคัญแต่ละช่องของมือกระบี่ชุดเขียวโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่รู้ว่าเล่มไหนที่เป็นเล่มจริง หรือว่าทั้งสิบสองเล่มนี้ล้วนเป็นของจริงทั้งหมด? กระบี่บินสิบสองเล่ม ระดับความเฉียบคมของคมกระบี่ก็มีแข็งแกร่งและอ่อนด้อยไม่เท่ากัน นี่ก็คือความไม่พอเพียงหนึ่งเดียวของเวทลับการคัดลอก เพราะมันไม่สามารถทำให้กระบี่บินอีกสิบเอ็ดเล่มที่เหลือเลียนแบบความแข็งแกร่งจากเล่มที่เป็น ‘บรรพบุรุษ’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผู้ฝึกตนที่ชมศึกขมวดคิ้ว วิธีการนี้สหายร่วมงานไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน นี่น่าจะถือเป็นความสามารถก้นกรุของเขาแล้ว

ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เชี่ยวชาญวิชาแห่งยันต์และค่ายกล เมื่อเขาลองเอาตัวเข้าไปไว้ในสถานการณ์ ลองเปลี่ยนให้ตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับคนหนุ่มผู้นั้น คาดว่าก็คงยากที่จะหนีพ้นจุดจบที่อย่างน้อยก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเกือบตายไปได้

ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองต่อสู้อยู่กับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง แต่กลับยังกล้าประมาทเช่นนี้ ใช้สองนิ้วกักกันกระบี่บิน คนหนุ่มผู้นั้นช่างทระนงตนเกินไปแล้วจริงๆ

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอย่างพวกเขาสองคน คนหนึ่งคือเทพเซียนขอบเขตประตูมังกร อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทร ต่างคนต่างเป็นผู้ถวายการรับใช้แก่ฉู่หาวและเจ้าเมืองเขตการปกครองชิงซง อันที่จริงนี่ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลังที่เป็นแค่เจ้าเมืองของพื้นที่หนึ่ง นี่ก็เหมือนการให้อริยะลัทธิขงจื๊อผู้มีความรู้ความสามารถดั่งเทพบนสวรรค์มาเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับนักเรียนชั้นประถม แต่ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวมีอำนาจล้นเหลือในราชสำนัก เขาไม่ใช่บุคคลที่เห็นแก่ส่วนรวมไม่คิดฉกชิงผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีฝีมือแทบทุกคนล้วนถูกจัดให้มาอยู่ข้างกายฉู่หาวเองและคนสนิทของเขา การได้รับปฏิบัติเช่นนี้เรียกได้ว่าสูงส่งเหนือกว่าเชื้อพระวงศ์ของแคว้นซูสุ่ยไปแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ายิ้มบางๆ สำเร็จแล้ว!

แต่นาทีถัดมา รอยยิ้มของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็แข็งค้าง

มือข้างที่ไพล่อยู่ด้านหลังของคนหนุ่มผู้นั้นถูกเขาปล่อยเป็นหมัดต่อยลงบนจุดที่มองดูเหมือนว่างเปล่าไร้ประโยชน์

เลือดซึมออกมาจากมุมปากของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าทันที

กระบี่บินสิบสองเล่ม สิบเล่มในนั้นที่อาศัยแค่การเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เหลือกระบี่แค่สองเล่มสุดท้าย เล่มหนึ่งยังคงถูกพันธนาการอยู่ระหว่างนิ้วของมือซ้ายคนผู้นั้น และกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งก็คือกระบี่ที่ซุกซ่อนจิตสังหารของจริง หาใช่ใช้เวทอำพรางตาไม่ บัดนี้กลับถูกพายหมัดที่ไหลทะลักออกมาจากทั่วร่างของคนผู้นั้นสกัดกั้นเอาไว้ แล้วก็เห็นได้ชัดว่าชุดสีเขียวที่มือกระบี่หนุ่มสวมใส่คือชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นสูงมากตัวหนึ่ง ปราณวิญญาณที่รวมตัวกันอยู่ตรงจุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปก็ยิ่งทำให้กระบี่บินสั่นสะท้าน ถูกปฏิเสธให้อยู่เพียงภายนอกเท่านั้น

เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ระหว่างร่องนิ้วของเขาแล้วพึมพำกับตัวเอง “ควรจะไปที่อุตรกุรุทวีปเพื่อไปพบเห็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงแล้ว ได้ยินนางบอกว่า สถานที่ที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุดแห่งนั้น มีวีรบุรุษผู้กล้าเผยกายมามากมายนับแต่โบราณ”

เฉินผิงอันสะบัดนิ้ว โยนกระบี่บินที่อยู่ระหว่างนิ้วเล่มนั้นไปไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บนโลก นอกจากจะสามารถหล่อเลี้ยงกระบี่แล้ว อันที่จริงก็สามารถชำระล้างกระบี่ได้ด้วย เพียงแต่ว่าคิดจะชำระล้างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งให้สำเร็จ หากไม่ใช่ระดับขั้นของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต้องสูงมากพอ กระบี่บินที่ถูกชำระล้างก็ต้องมีระดับขั้นต่ำ พอดีเลย สำหรับกระบี่บินเล่มนั้นแล้ว ‘เจียงหู’ ลูกนี้ นับว่าระดับขั้นสูงมากพอ

เมื่อกระบี่บินเล่มหลักถูกเก็บเข้าไปไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระบี่บินเล่มที่สองที่เป็นบริวารก็หายวับไปด้วยเหมือนภาพวาดโบราณที่ถูกดึงกระดาษเซวียนจื่อออกมาหนึ่งชั้น กลับไปรวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง กระบี่บินที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สั่นสะท้าน เพราะถึงอย่างไรด้านในนั้นก็ยังมีทั้งชูอีและสืออู่อยู่ด้วย

เฉินผิงอันพูดกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่า “อย่าขอร้อง เพราะข้าไม่ตกลง”

จากนั้นก็หันหน้าไปยิ้มพูดกับกลุ่มคนในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบหนีไปอีก? หรือจะรอให้ถูกคนตัดหัวไปแลกเป็นเงิน มีใครเขาเป็นกุมารแจกทรัพย์อย่างพวกเจ้ากันบ้าง?”

เหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่เดิมทีมองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิพลันแตกฮือเหมือนนกแตกรัง ถอยกลับเข้าไปในผืนป่าอีกครั้ง

เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของพวกเขา แล้วจู่ๆ ก็พลันรู้สึกว่า…น่าเบื่อ

คิดดูแล้วต่อให้เล่าให้ผู้อาวุโสซ่งฟัง อริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยที่จิตห้าวหาญจมดิ่งผู้นั้นก็คงไม่มีทางสนใจ อย่างมากก็คงยิ้มเอ่ยด้วยประโยคที่คล้ายกับตอนอยู่บนโต๊ะสุราคราวนั้น ‘ใต้หล้าไม่มีหม้อไฟมื้อใดที่คลี่คลายเรื่องหงุดหงิดใจไม่ได้ หากว่ามี ถ้าอย่างนั้นก็สั่งเหล้ามาอีกกา’

เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ดูดายอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นแวบหนึ่ง

ฝ่ายหลังผงกศีรษะรับความนัย ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือช่วยเหลือแม้แต่น้อย

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุ เพียงแค่ขอยืมม้าจากพวกเขาหนึ่งตัว แน่นอนว่าเป็นการยืมที่ไม่คืน แล้วขี่ม้าไปจากที่แห่งนี้เพียงลำพัง

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่เสียกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไป ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่กล้าเปิดปาก ปล่อยให้คนหนุ่มผู้นั้นพาชีวิตครึ่งหนึ่งของตนไปด้วย ราวกับรู้ว่าขอแค่ตนเปิดปาก ครึ่งชีวิตที่เหลือก็จะสูญสิ้นไปด้วย

ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรก็ยิ่งไม่คิดจะเปิดปากขอร้อง

บนภูเขา เหล่าคนในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยพากันวิ่งตะบึงเผ่นหนี

บ้างก็หันมาซุบซิบกัน บอกว่าคนผู้นั้นฝีมือสูงส่งยากจะคาดเดา หรือว่าจะเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีวิชาคงความอ่อนเยาว์?

แล้วก็มีบางคนที่นินทาในใจไม่หยุด เทพเซียนอะไรกัน ต่อให้ใช่จริงๆ แล้วอย่างไร ก็ยังแย่งชิงเอากระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ ก็แค่พวกนักเลงที่แย่งชิงผลประโยชน์กันเอง คนประเภทนี้ต่อให้มีความสามารถแล้วอย่างไร จะเรียกว่าวีรบุรุษได้หรือ?

แต่ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ในใจเกิดความเคารพเลื่อมใสและวาดฝัน เด็กหนุ่มยังคงไม่ชอบคนผู้นั้น แต่ปรารถนาอยากให้ตนมีมาดได้เหมือนคนผู้นั้น

และยังมีสตรีคนหนึ่งที่ทอดถอนใจเบาๆ

มีหลายคนทะยานขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงเพื่อตรวจสอบว่ามีศัตรูไล่ตามมาฆ่าหรือไม่ บางคนที่สายตาดีหน่อยก็เห็นเพียงว่าคนสวมงอบผู้นั้นควบม้าอยู่บนเส้นทาง สองมือสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ ไม่มีท่าทีลำพองใจแม้แต่น้อย กลับกันยังดูโดดเดี่ยวเดียวดายด้วยซ้ำ

บางคนหันหน้าไปถ่มน้ำลาย ไม่รู้ว่าอิจฉาหรือขุ่นเคือง ปากยังสบถด่าถ้อยคำหยาบคาย

ผลกลับเห็นว่ามือกระบี่ชุดเขียวคล้ายจะสัมผัสได้จึงหันหน้ามามอง ทำเอาคนที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ผู้นั้นตกใจจนยืนได้ไม่มั่นคง พลัดตกลงมาบนพื้น

เฉินผิงอันพลันหันหน้ามาเอ่ยว่า “เหวยเว่ย ช่วยข้านำความไปบอกแก่ผู้อาวุโสซ่งสักคำ บอกว่าฝักกระบี่ที่ถูกนำไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางชิ้นนั้น วันหน้าข้าจะใช้เหตุผลเดียวกับที่อีกฝ่ายใช้กับหมู่บ้านวารีกระบี่ไปทวงคืนมาเอง”

ควันสีเขียวจางๆ กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันปรากฏเป็นร่างคนที่บังคับลมทะยานไปด้านหน้าติดตามหนึ่งคนหนึ่งม้าไป นางก็คือผีสาวเหวยเว่ยหนึ่งในสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยที่สวมรองเท้าปักลายบุปผา

เฉินผิงอันพลันหัวเราะออกมา “เพิ่มอีกหนึ่งประโยคด้วยว่า อาจจะต้องรอนานมาก ดังนั้นคงได้แต่รบกวนให้ผู้อาวุโสซ่งรอไปก่อน ในอนาคตก่อนที่ข้าจะไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จะต้องมาดื่มเหล้ากับเขาอีกรอบ”

เหวยเว่ยคลี่ยิ้มหวาน

นางหยุดอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ติดตามไปอีก

มองส่งม้าตัวนั้นจากไปเหลือไว้เพียงฝุ่นที่ตลบอยู่ด้านหลัง