บทที่ 475.1 ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผีสาวเหวยเว่ยทะยานลมเดินทางไกล ย่อพื้นที่ให้เล็กลง แน่นอนว่าต้องมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่เร็วกว่าขบวนรถ

เหวยเว่ยจากไปและย้อนกลับมา กลับมาเป็นแขกที่หมู่บ้านอีกครั้ง ซ่งอวี่เซายังคงไม่ปรากฏตัว ยังคงเป็นซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนที่ออกมาต้อนรับ

ปีนั้นซ่งอวี่เซาปล่อยเหวยเว่ยไปที่วัดร้าง ไม่ได้หมายความว่าอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยท่านนี้จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี ต่อให้เป็นหลิ่วเชี่ยนหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยที่มาอยู่ในฐานะหลานสะใภ้ตัวเอง ปีนั้นซ่งอวี่เซาจะไม่มีปมในใจเลยได้อย่างไร? เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขายึดหลักกฎเกณฑ์เก่าๆ ของคนเก่าแก่ในยุทธภพ เมื่ออายุมากแล้วก็มองบ้านเมืองและใต้หล้าย้อนกลับไปทางเดิม กลับไปในบ้านของตัวเอง จากนั้นก็ทบทวนตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการซื้อขายฝักกระบี่ครั้งนั้น ซ่งอวี่เซาถึงได้ยอมรับ ‘คน’ อย่างหลิ่วเชี่ยนโดยสมบูรณ์ ปล่อยให้หลิ่วเชี่ยนดูแลปกครองเรือน ถึงขั้นยังยินดีเหนื่อยยาก ยอมเป็นฝ่ายไปคบค้าสมาคมกับหานหยวนซ่านด้วยตัวเองเพื่อปูทางให้นางได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำในอนาคต ไม่อย่างนั้นซ่งอวี่เซาก็คงได้รับความโปรดปรานจากสำนักศึกษาไปแล้ว เรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตที่เดิมทีเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนจึงกลายเป็นจันทราในสายน้ำบุปผาในคันฉ่อง

อันที่จริงการที่ได้กลับมาพบกับเฉินผิงอันอีกครั้งคราวนี้ ซ่งอวี่เซามีความสุขมาก ไม่เพียงแต่ได้เห็นเฉินผิงอันกลายเป็นเซียนกระบี่บนภูเขากับตาตัวเอง ยังเป็นเพราะเส้นทางในยุทธภพของเฉินผิงอันคล้ายกับของเขาซ่งอวี่เซาด้วย

บนทางเส้นนั้นมีคนเดินบางตา บางครั้งที่พบเจอกันท่ามกลางลมฝนก็เดินเคียงบ่ากันไป และควรมีเหล้าให้ดื่ม

หากจะบอกว่าการพบกันครั้งแรก ซ่งอวี่เซาแค่มองเด็กหนุ่มเฉินผิงอันที่ยังสะพายหีบหนังสือออกเดินทางไกลไปสี่ทิศเป็นเพียงเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งที่มีค่าแก่การคาดหวังรอคอย ถ้าเช่นนั้นการกลับมาพบกันครั้งที่สอง ยามที่ได้ดื่มชา ร่ำสุรา กินหม้อไฟกับเฉินผิงอันชุดเขียวที่สวมงอบสะพายกระบี่คนนั้น กลับเหมือนคนสองคนบนเส้นทางเดียวกันที่จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน จึงรักทะนุถนอมและเห็นค่ากันมากกว่า แต่นี่เป็นความรู้สึกของตัวเองซ่งอวี่เซาเองเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วเมื่อเฉินผิงอันเผชิญหน้ากับซ่งอวี่เซา เขาก็ยังคงเป็นเหมือนในอดีต ไม่ว่าจะถ้อยคำ การกระทำหรือสภาพจิตใจก็ล้วนเป็นดั่งผู้น้อยที่เคารพนับถือผู้ใหญ่ ซ่งอวี่เซาเองก็ไม่คิดจะฝืนเปลี่ยนแปลงมัน คนในยุทธภพ มีใครบ้างที่ไม่ชอบให้คนอื่นนับหน้าถือตา?

หลังจากได้ยินว่าซ่งเฟิ่งซานกับหลิ่วเชี่ยนออกไปรับรองเหวยเว่ยอีกครั้ง ซ่งอวี่เซาก็ไปนั่งอยู่ในศาลาริมน้ำตกเพียงลำพัง

ซ่งอวี่เซาที่ไม่ได้พกกระบี่และไม่ได้ฝึกกระบี่มานานหลายปีแล้ว วันนี้กลับนำเจ้าเพื่อนยากมาวางพาดไว้บนหัวเข่า กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่า ‘ตั้งตระหง่าน’ ปีนั้นเขาไปงมเจอมันท่ามกลางกลไกของก้อนหินที่ตั้งอยู่ในบ่อน้ำลึกตรงหน้าโดยบังเอิญ ฝักกระบี่ไม้ไผ่เขียวชิ้นนั้นก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าปีนั้นซ่งอวี่เซาเกิดกังขาเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าทั้งกระบี่และฝักกระบี่ล้วนถูกคนที่ทิ้งมันไว้จับมาประกอบกันเอง ไม่ได้เป็น ‘คู่กัน’ มาตั้งแต่แรก

แน่นอนว่าตั้งตระหง่านคือศาสตราวุธเทพที่ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาซ่งอวี่เซาชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ไปเยือนภูเขามีชื่อเสียงแห่งต่างๆ สะพายกระบี่ท่องยุทธภพ เจอกับภูตภูเขาและผีวิญญาณมาไม่น้อย หากสามารถกำจัดปีศาจปราบมาร ตั้งตระหง่านก็ได้สร้างคุณความชอบอย่างยิ่งใหญ่ ส่วนฝักไม้ไผ่ที่ทำมาจากวัสดุวิเศษชิ้นนั้น ซ่งอวี่เซาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ สืบค้นตามตำราโบราณและหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลขุนนางไปทั่ว ถึงจะหาข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์เจอแผ่นหนึ่ง นั่นถึงทำให้เขารู้ว่ากระบี่เล่มนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของเทพแห่งการต่อสู้ของทวีปอื่น ไม่รู้ว่าเป็นเซียนท่านใดที่เดินทางข้ามทวีปมาท่องเที่ยวแล้วทำหล่นไว้ในแจกันสมบัติทวีป ในตำราโบราณที่ไม่สมบูรณ์แบบแผ่นนั้นมีบันทึกที่บอกไว้ว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’ เป็นคำกล่าวที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ

เพียงแต่ที่มาของฝักไม้ไผ่ชิ้นนั้น ซ่งอวี่เซาสอบถามตระกูลเซียนบนภูเขาจนถ้วนทั่วก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด มีเซียนซือให้การคาดเดาคร่าวๆ ว่า บางทีอาจจะเป็นของวิเศษจากภูเขาชิงเสินในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ แต่เนื่องจากบนฝักกระบี่ไม้ไผ่ไม่มีตัวอักษรใดๆ สลักไว้ จึงไม่มีเบาะแสใดๆ ให้ตามหา บวกกับที่นอกจากฝักไม้ไผ่จะสามารถกลายเป็นห้องเก็บกระบี่ของ ‘ตั้งตระหง่าน’ โดยที่ด้านในยังแข็งแกร่งทนทานไม่เคยถูกเกลากลึงให้เกิดความเสียหายแล้ว ก็ไม่มีความมหัศจรรย์อื่นใดอีก ก่อนหน้านี้ซ่งอวี่เซาจึงแค่มองฝักกระบี่เป็นตัวเลือกที่เจ้าของกระบี่ตั้งตระหง่านถอยมาเลือกในอันดับรอง นึกไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นการทำให้ฝักไม้ไผ่ได้รับความอยุติธรรม?

ซ่งอวี่เซาก้มหน้าลงมอง กระบี่โบราณตั้งตระหง่านยังคงฉายประกายคมกริบ ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง คมกระบี่ส่องประกายระยิบระยับ เส้นแสงไหลเวียนวน ไอหมอกที่แผ่อบอวลอยู่รอบศาลาริมน้ำแห่งนี้กลับไม่อาจบดบังรัศมีเรืองรองของตัวกระบี่ได้เลย

ซ่งอวี่เซาแบฝ่ามือมาตบตัวกระบี่เบาๆ แล้วเงยหน้ามองไปยังน้ำตกที่สายน้ำทิ้งตัวดิ่งลงมาเบื้องล่างประดุจเส้นผมยาวสีขาวโพลนของเซียนที่ห้อยลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเพื่อนยาก พวกเราน่ะ ต่างก็แก่กันแล้ว”

ในห้องโถงใหญ่ เหวยเว่ยเล่าเหตุการณ์ของสนามรบแห่งนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ รวมไปถึงถ้อยคำที่เฉินผิงอันบอกให้นางช่วยนำมาบอกต่อ ซ่งเฟิ่งซานมีสีหน้าเคร่งเครียด

หลิ่วเชี่ยนมีนิสัยสุขุมไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ใดๆ ออกมา นี่เป็นผลจากการครอบครองตัวตนสองอย่างในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเฉินผิงอัน รู้ถึงน้ำหนักที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำ นางก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ “ท่านปู่มองคนไม่ผิดจริงๆ”

ซ่งเฟิ่งซานพูดเบาๆ “เหตุผลที่ว่านี้ พูดได้ยาก”

หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสายลับเดนตายที่ต้าหลีนำมาแทรกซอนไว้ในแคว้นซูสุ่ย อันที่จริงวิสัยทัศน์ของนางจึงสูงกว่าปรมาจารย์วิถีวรยุทธและเซียนซือบนภูเขาทั่วไปอยู่มาก

ดังนั้นนางจึงรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวผู้นั้นได้ดียิ่งกว่าซ่งเฟิ่งซานและซ่งอวี่เซา

ยุทธภพในสถานที่อย่างแคว้นซูสุ่ย แคว้นซงซีนี้ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดก็คือเทพแห่งการต่อสู้ในตำนานแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงขอบเขตร่างทองเพิ่งจะเป็นขอบเขตแรกของสามขอบเขตในการหลอมจิตเท่านั้น หลังจากนั้นยังมีขอบเขตเดินทางไกลและขอบเขตยอดเขาอยู่อีกสองขอบเขตซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า ส่วนขอบเขตสิบที่อยู่ถัดไปนั้นก็ยิ่งเป็นบุคคลน่าหวาดกลัวที่แม้แต่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาก็ยังรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันแน่ นางพอจะรู้ได้คร่าวๆ เนื่องจากนางเคยใช้ช่องทางงานหลวงของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีช่วยสืบข่าวให้กับหมู่บ้านมาหนหนึ่ง และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้ฝึกยุทธคนนั้นไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตแปด อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเดินทางไกลที่ไม่ใช่ในความหมายทั่วไปอีกด้วย มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเดินทางไกลบนโลก คล้ายคลึงกับนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นซึ่งอยู่ในขอบเขตที่เก้า คือบุคคลที่อาจได้รับเกียรติเลื่อนขั้นเป็นฉีไต้จ้าว เหตุผลนั้นง่ายมาก ศาลาคลื่นมรกตเคยส่งยอดฝีมือมาที่นี่เพื่อสอบถามหลิ่วเชี่ยนและเทพภูเขาในพื้นที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียด เพราะเรื่องนี้ดังไปเข้าหูของซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งต้าหลี! หากไม่เป็นเพราะคนต่างถิ่นที่บังคับซื้อบังคับขายฝักกระบี่ผู้นั้นรีบจากไป ไม่แน่ว่าซ่งจ่างจิ้งอาจมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง แต่หากเป็นเช่นนี้จริง เรื่องราวก็คงง่ายขึ้นมาก เพราะถึงอย่างไรเทพเจ้าแห่งกองทัพต้าหลีผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางขอบเขตสิบ ขอแค่ยินดีลงมือ หลิ่วเชี่ยนก็เชื่อว่าต่อให้อีกฝ่ายมีที่พึ่งใหญ่แค่ไหน ต้าหลีและซ่งจ่างจิ้งก็ไม่มีทางเกรงกลัวอย่างแน่นอน

นี่ไม่ใช่ว่าหมัดของใครแข็งแกร่งกว่าแล้ว แต่เป็นเพราะทิศทางการดำเนินไปของใต้หล้าที่จะเป็นตัวตัดสิน

ตอนนี้ราชวงศ์ต้าหลีได้ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทวีปแล้ว การยึดครองโชคชะตาของหนึ่งทวีปไปเพียงลำพังในอนาคตก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น นี่ต่างหากที่เป็นความมั่นใจและที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของสกุลซ่งต้าหลี

ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นหากคิดจะกระโดดขึ้นไปเป็นราชวงศ์ห้าอันดับแรกของใต้หล้าไพศาลก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เหวยเว่ยเป็นคนประเภทที่กลัวเพียงว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่มากพอ นางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แกว่งเท้าสองข้างที่สวมรองเท้าปักลายบุปผา “ฉู่ฮูหยินจะมาเยือนด้วยตัวเองเชียวนะ ถึงเวลานั้นจะออกไปเล่นงานนางโดยตรง หรือเห็นผู้ที่มาเยือนเป็นแขกจึงต้อนรับด้วยใบหน้าแย้มยิ้มล่ะ? นอกจากฉู่ฮูหยินที่เป็นสตรีใจอสรพิษแล้ว ยังมีหวังซานหูแห่งหมู่บ้านเหิงเตา หานหยวนเสวี๋ยน้องสาวของหานหยวนซ่าน สตรีสามคนมารวมตัวกัน ช่างครึกครื้นดีแท้”

หลิ่วเชี่ยนยิ้มบางๆ “เรื่องเล็กข้าเป็นคนตัดสินใจ ส่วนเรื่องใหญ่แน่นอนว่าต้องเป็นเฟิ่งซานที่ตัดสินใจ”

ซ่งเฟิ่งซานกล่าวอย่างระอาใจ “ยังต้องฟังท่านปู่ ข้าเกิดมาก็ไม่ถนัดจัดการกับเรื่องทั่วไปพวกนี้”

เหวยเว่ยมองหลิ่วเชี่ยนแล้วหัวเราะคิกคัก “ว่ากันว่าปีนั้นหวังซานหูเคยแอบชอบสามีของเจ้าด้วย?”

ซ่งเฟิ่งซานไม่สะทกสะท้าน คำพูดประเภทนี้ อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดเด็ดขาด ไม่เชี่ยวชาญเรื่องกิจธุระทั่วไปก็เพียงแค่เพราะเขาไม่ยินดีจะแบ่งสมาธิมาทำ ด้วยหวังว่าจะเดินไปบนเส้นทางแห่งกระบี่ได้ไกลยิ่งกว่า แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าซ่งเฟิงซานไม่เข้าใจเรื่องทางโลกหรือจิตใจคนจริงๆ

หลิ่วเชี่ยนยิ้มกล่าว “บุรุษดีๆ คนหนึ่งจะมีสตรีหลายคนมารักมาชื่นชอบเขา เป็นเรื่องแปลกตรงไหน”

อยู่ดีๆ เหวยเว่ยก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้น ช่างทำให้คนต้องมองเขาเสียใหม่จริงๆ ยังคงเป็นท่านปู่พวกเจ้าที่สายตาเฉียบขาด ปีนั้นข้ามองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่ว่าเขากับท่านปู่ของพวกเจ้าล้วนน่าเบื่อทั้งคู่ ทั้งๆ ที่วิชากระบี่สูงส่งถึงเพียงนั้น ยามที่ต้องลงมือกลับอืดอาดชักช้า ไม่คล่องแคล่วฉับไวแม้แต่น้อย จะฆ่าใครสักคนก็ยังต้องคิดไปคิดมา ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายมีเหตุผลแท้ๆ แต่เวลาลงมือกลับออมฝีมือเอาไว้ ดูเจ้าซูหลางผู้นั้นสิ พอฝ่าทะลุขอบเขต ไม่พูดไม่จาก็ตรงมาที่นอกหมู่บ้านของพวกเจ้า ป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่าจะประลองกระบี่ ต่อให้เป็นคนนอกอย่างข้า อีกทั้งยังเป็นสหายของพวกเจ้า ส่วนลึกในใจก็ยังรู้สึกว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นสง่างามจริงๆ ท่องอยู่ในยุทธภพก็ควรเป็นเช่นนี้”

ซ่งเฟิ่งซานหัวเราะหยัน “แล้วผลลัพธ์ล่ะเป็นอย่างไร?”

เหวยเว่ยผีสาวที่ร่างเล็กบอบบางเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เอ่ยว่า “ซูหลางก็แค่ขาดโชคไปเล็กน้อยเท่านั้น ข้ากล้าพูดเลยว่า ต่อให้เจ้าหมอนี่ต้องมาเจออุปสรรคจากหมู่บ้านแล้วต้องหน้าหมองกลับไปทุกครั้ง แต่ภายในเวลาไม่กี่สิบปีในอนาคต เซียนกระบี่แห่งแคว้นซงซีผู้นี้ต้องได้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพหลายสิบแคว้นของพวกเราอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าซ่งเฟิ่งซานน่ะอนาถแน่ ได้แต่ต้องกินฝุ่นอยู่หลังก้นคนอื่นเขา ไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่หรือชื่อเสียงก็ล้วนสู้ซูหลางที่ทำอะไรเผด็จการ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวผู้นั้นไม่ได้”

ซ่งเฟิ่งซานเพียงยิ้มรับ ทุกคนต่างมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสูงต่ำของผลสำเร็จในท้ายที่สุดของมือกระบี่ยังต้องอาศัยกระบี่ในมือมาพูด ก็เหมือนเมื่อก่อนตอนที่หมู่บ้านวารีกระบี่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด คนบนโลกต่างก็พูดกันว่าความสูงส่งของเวทกระบี่ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยเหนือกว่าเทพกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นไฉ่อีที่แก่หง่อมใกล้ตายเต็มที การที่ฝ่ายหลังถอนตัวออกจากยุทธภพเก็บกระบี่ปิดผนึกเอาไว้ก็เพราะหวาดกลัวการท้าทายจากซ่งอวี่เซา กลัวว่าวันใดวันหนึ่งซ่งอวี่เซาจะมาขอประลองกระบี่ ตัวเองไม่กล้ารับคำท้าจึงเป็นฝ่ายยอมถอยให้ แต่ในความเป็นจริงเล่า ต่อให้เทพกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นไฉ่อีจะเจอกับเหตุไม่คาดฝัน พ่ายแพ้ตายดับ ปิดฉากชีวิตลงด้วยวิธีการที่น่าอับอายอย่างถึงที่สุด ทว่าเขากลับยังคงเป็นมือกระบี่ที่ท่านปู่ของตนเลื่อมใสที่สุดในชีวิตนี้ เพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หนึ่งใน

หลิ่วเชี่ยนกลับเริ่มขุ่นเคือง

เหวยเว่ยจึงรีบยกสองมือขึ้นพนม แสร้งทำท่าน่าสงสาร เอ่ยวิงวอนว่า “ก็ได้ๆๆ ข้าผมยาวความรู้สั้น พูดจาไม่ใช้สมอง พี่หญิงหลิ่วเชี่ยนเจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าถือโทษโกรธข้าเลย”

ซ่งเฟิ่งซานไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับผีสาวผู้นี้อีก จึงขอตัวแล้วไปที่น้ำตก เพื่อนำความที่เฉินผิงอันฝากมาไปบอกแก่ท่านปู่

ผีสาวเหวยเว่ยยึดครองภูเขาเป็นราชา บางทีอาจไม่ถึงขั้นก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว แต่ซ่งเฟิ่งซานก็ชื่นชอบนางไม่ลงจริงๆ เพียงแต่ว่านางสนิทกับภรรยาของตน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรอยู่อีกชั้นหนึ่ง เขาถึงได้ยอมนั่งลงดื่มชากับนาง อย่างเรื่องบัญชีความเสเพลระหว่างเหวยเว่ยกับหานหยวนซ่านก็เป็นเรื่องที่ในใจซ่งเฟิ่งซานรังเกียจอย่างถึงที่สุด เขาเคยพูดเกลี้ยกล่อมหลิ่วเชี่ยนเป็นการส่วนตัวว่า พันธมิตรก็ส่วนพันธมิตร การไปมาหาสู่กันเพื่อผลประโยชน์เป็นเรื่องของการค้าเท่านั้น แต่มิตรภาพส่วนตัวระหว่างหลิ่วเชี่ยนกับเหวยเว่ยก็ขอให้แค่พอเหมาะพอควรเท่านั้น นี่คือ ‘การใช้เหตุผล’ ด้วยสถานะของ ‘ประมุขตระกูล’ เพียงไม่กี่เรื่องที่ซ่งเฟิ่งซานนำมาใช้กับภรรยาของตน แล้วก็เพราะเป็นเรื่องเล็กยิบย่อย น้อยครั้งที่ซ่งเฟิ่งซานจะยกหลักการเหตุผลมาใช้ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าเหตุผลข้อนี้สำคัญมากเป็นพิเศษ

โชคดีที่หลิ่วเชี่ยนยอมรับฟัง แล้วก็ยอมทำตามแต่โดยดี

ดังนั้นคำกล่าวของหลิ่วเชี่ยนที่บอกว่าเรื่องใหญ่ให้สามีเป็นคนตัดสินจึงไม่ได้เป็นเพียงคำพูดที่เลื่อนลอยเท่านั้น

และนี่ก็คือความฉลาดของหลิ่วเชี่ยน แน่นอนว่าก็เป็นความถนัดในการอบรมสั่งสอนของตระกูลซ่งด้วย ไม่อย่างนั้นหลิ่วเชี่ยนก็คงได้แต่สวมหัวโขนของฮูหยินน้อยแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ที่ว่างเปล่าไปชั่วชีวิต ไม่ได้รับการยอมรับที่แท้จริงจากซ่งอวี่เซา ถึงเวลานั้นคนที่จะลำบากใจที่สุดกลับจะกลายเป็นซ่งเฟิ่งซาน หากซ่งเฟิ่งซานปล่อยตามใจนางทุกเรื่องจริงๆ ถึงเวลาแล้วคนที่ลำบากก็คือเขา จะโทษว่าท่านปู่อย่างซ่งอวี่เซาไม่มีไมตรีจิตไม่ได้ แล้วก็โทษหลิ่วเชี่ยนไม่ได้ คำกล่าวที่ว่าต่อให้เป็นขุนนางน้ำดีก็ยากจะตัดสินเรื่องในบ้านได้นั้น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ไม่ใช่ว่าการใช้เหตุผลเป็นเรื่องยาก แต่ยากตรงที่ว่าใครจะใช้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ในหนึ่งครอบครัว คนที่ตำแหน่งไม่สูง คำพูดก็ย่อมไม่มีน้ำหนัก นี่จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างแท้จริง

—–