บทที่ 743 ได้รับบาดเจ็บ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 743 ได้รับบาดเจ็บ

หลินเป่ยเฉินหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

เกือบตายแล้วไหมล่ะ

เฮ้อ

เด็กหนุ่มนึกว่าตนเองจะไม่รอดแล้วเสียอีก…

ในหัวของเขามีแต่คำว่า ‘อันตราย’ ขึ้นเตือนอยู่เต็มไปหมด

“ขอบคุณพี่สาวผู้สูงส่งที่ยื่นมือช่วยเหลือข้าน้อย…”

หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของตนเอง

แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ

อ้าวเฮ้ย

นี่มัน… เยว่เว่ยหยางไม่ใช่หรือไง?

นางเป็นคนช่วยเขาเอาไว้หรือนี่

“คนแซ่หลิน ฝากไว้ก่อนเถอะ…”

เสียงพูดของไป๋ชินหยุนดังกังวานในอากาศ ก่อนที่ตัวคนจะหายวับไปในพริบตา

เช่นเดียวกับศพของราชันย์งูพิษ

แสงสว่างจากร่างกายของเยว่เว่ยหยางก็จางหายไปแล้ว

นางไม่ได้ไล่ตามไป

แต่หันกลับมาสอบถามหลินเป่ยเฉินว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”

ให้ตายสิ

ทำไมถึงรู้สึกซาบซึ้งแบบนี้นะ

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก ตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร”

แต่จังหวะต่อมานั้นเอง พลังกดดันหลายสายก็แผ่เข้ามาในอากาศ

แม้ว่าพลังกดดันเหล่านี้จะไม่ได้หนักหน่วงรุนแรงเหมือนพลังของไป๋ชินหยุน แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังอดรู้สึกพรั่นพรึงไม่ได้ มันเป็นพลังกดดันที่ทำให้อยากจะคุกเข่ายอมแพ้อย่างไม่มีเหตุผล…

นี่คือพลังของผู้ที่มีระดับเซียน

เกาเฉิงฮั่นมาแล้ว

นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้สัมผัสถึงความน่ากลัวของผู้มีพลังระดับเซียน

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด

มันเป็นความรู้สึกที่ชวนให้หวาดหวั่นลงไปถึงจิตวิญญาณ

“รักษาตัวด้วย”

เห็นได้ชัดว่าเยว่เว่ยหยางก็สัมผัสได้ถึงพลังของเกาเฉิงฮั่นเช่นเดียวกัน นางมองหน้าหลินเป่ยเฉิน พูดออกมาไม่กี่คำ ตัวคนก็เปลี่ยนแปลงกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า หายลับไปยังทิศทางของวิหารประจำเมือง

ดูเหมือนวันนี้นางจะยังไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเกาเฉิงฮั่นสักเท่าไหร่

“นายท่าน นายท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ นายท่าน ฮื่อ…”

เฉียนเหมยวิ่งเข้ามาโถมตัวใส่อ้อมอกของหลินเป่ยเฉิน นางแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาด้วยการร้องไห้อย่างตื่นกลัวไม่ต่างไปจากลูกแมวตัวน้อยๆ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

หลินเป่ยเฉินลูบศีรษะเฉียนเหมยและบีบสองแก้มของนางจนมีใบหน้าบู้บี้ปากจู๋เหมือนปลาทองอีกครั้ง

“ฮื่อ นายท่านใจร้ายที่สุด”

เมื่อเฉียนเหมยโล่งใจถึงได้ตระหนักว่ากองทัพของนายทหารคนงานขุดเหมืองกำลังจ้องมองอยู่ เด็กสาวจึงหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย

และนายทหารคนงานขุดเหมืองเหล่านั้นก็ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นดิน บางคนก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าราวกับว่ามองไม่เห็นถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ในความรู้สึกจริงๆ นั้น หัวใจของพวกเขากำลังเต้นระรัวไม่ต่างจากแผ่นดินไหว

ทุกคนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าท่านแม่ทัพเฉียนเหมย ผู้มีรูปแบบการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน จนได้รับการขนานนามให้เป็น ‘นักรบหญิงเหล็ก’ ‘เทพีสงครามตัวน้อย’ ‘มือสังหารหญิงแห่งสนามรบ’ กลับมีมุมอ่อนหวานอย่างเด็กสาวทั่วไปเช่นนี้ด้วย

แต่ถึงในใจจะรู้สึกตกตะลึงมากแค่ไหน พวกเขาก็จะแสดงสีหน้าออกมาไม่ได้เด็ดขาด

เพราะทุกคนต่างก็กลัวว่าท่านแม่ทัพเฉียนเหมยจะมาคิดบัญชีกับตนเองในภายหลัง

ขณะนี้ เงาร่างหลายสิบสายได้ทิ้งตัวลงมายืนอยู่หน้าป้อมอสรพิษซึ่งสภาพแวดล้อมโดยรอบได้กลายเป็นทะเลทรายขนาดเล็กๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

หนึ่งในนั้นเป็นชายฉกรรจ์ในชุดขาว ซึ่งก็คือเกาเฉิงฮั่น

“น้องหลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อเกาเฉิงฮั่นกวาดสายตามองรอบกาย เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้

แน่นอนว่าเกาเฉิงฮั่นทราบข่าวตั้งแต่แรกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินนำกำลังพลบุกมาโจมตีป้อมอสรพิษ

แต่เขาก็ไม่ได้ออกคำสั่งขัดขวาง

เนื่องจากป้อมอสรพิษไม่ต่างจากเนื้อร้ายของนครเจาฮุย เกาเฉิงฮั่นจึงมีความรู้สึกอยากกวาดล้างป้อมแห่งนี้มาโดยตลอด แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือ เพราะได้ยินมาว่าผู้ที่คอยหนุนหลังป้อมอสรพิษมีสถานะไม่ธรรมดา ดังนั้น เกาเฉิงฮั่นจึงรู้ดีว่าตนเองไม่มีทางจัดการประมุขป้อมได้เด็ดขาด เพราะมันอาจจะทำให้เขาต้องเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น

เพราะหน้าที่หลักของเกาเฉิงฮั่นคือการปกป้องตัวเมือง

หากนครเจาฮุยถูกบุกยึดได้สำเร็จ ชะตากรรมของมณฑลเฟิงอวี่ก็คงถึงจุดจบอย่างแน่นอน

ถึงป้อมอสรพิษจะเป็นเนื้อร้าย แต่ก็ยังไม่น่ากลัวเท่าพวกชาวทะเล

ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าหลินเป่ยเฉินนำกำลังพลบุกมาโจมตีป้อมอสรพิษ เกาเฉิงฮั่นจึงคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เด็กหนุ่มจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองจะแข็งแกร่งมากกว่าคนของป้อมอสรพิษโดยรวม แต่ต้องไม่ลืมว่าประมุขป้อมอสรพิษชายหญิงสองคนนั้นก็มีฝีมือไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเอาชนะป้อมแห่งนี้ได้เด็ดขาด

อย่างดีที่สุดผลการต่อสู้ก็คงออกมาเสมอกัน

แผนการของเกาเฉิงฮั่นก็คือเขาจะปรากฏตัวออกมาตอนที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด และกำลังจะห้ำหั่นหมายเอาชีวิตกันให้ถึงตาย

เพราะการทำเช่นนี้ มันจะเปิดโอกาสให้เกาเฉิงฮั่นได้ตักเตือนป้อมอสรพิษ และเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้หลินเป่ยเฉินไม่ลำพองในตนเองมากเกินไป

แต่ใครเลยจะไปคิดว่า…

เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้

ป้อมอสรพิษกลายเป็นทะเลทรายรกร้างไปแล้ว

เกาเฉิงฮั่นสัมผัสได้ว่ามีกระแสพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นเซียนถึงสองคน เพิ่งจะหลบหนีออกไปในไม่กี่ลมหายใจก่อนหน้านี้เอง

ไม่ทราบว่าในนครเจาฮุยมีผู้ที่มีพลังขั้นเซียนคนอื่นๆ อยู่ด้วยหรือ?

แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เกาเฉิงฮั่นตกใจมากที่สุดก็คือความพ่ายแพ้อย่างราบคาบของป้อมอสรพิษ

หมู่ตึกสูงใหญ่สวยสง่าที่เคยยืนหยัดท้าทายสายลมและผืนฟ้า บัดนี้พวกมันกลับพังถล่มกลายเป็นเพียงกองดินกองทราย คนของป้อมอสรพิษทั้งหมดตกตายกลายเป็นซากศพ ดูเหมือนจะไม่มีใครหนีรอดได้เลยแม้แต่คนเดียว…

ส่วนกลุ่มทหารคนงานขุดเหมืองบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความฉงนสงสัยในแววตาของเกาเฉิงฮั่น จึงพูดออกมาว่า “เรื่องราวนี้… แหะแหะแหะ นับว่าพวกมันเป็นเด็กที่มารดาไม่สั่งสอน เรื่องมันยาวน่ะขอรับ ข้าก็ไม่อยากให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้เลย…”

แล้วเด็กหนุ่มก็หันไปกวักมือเรียกเสี่ยวเย่พร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวให้ท่านแม่ทัพเสี่ยวมารายงานทุกอย่างก็แล้วกันนะขอรับ”

เสี่ยวเย่ใบหน้ากระตุก รู้สึกไม่ต่างจากกำลังแบกก้อนถ่านร้อนๆ อยู่บนแผ่นหลัง และจำต้องกัดฟันข่มความเจ็บปวด เดินออกไปรับลูกธนูแทนหลินเป่ยเฉินอย่างไรอย่างนั้น

หลินเป่ยเฉินไม่รอคอยให้ผู้ใดได้มีโอกาสสื่อสารกับตนเองอีก เขายกมือออกคำสั่งให้หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองถอนกำลังกลับค่ายที่พักทันที

“ช้าก่อน”

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้ใส่เสื้อคลุมลายทาง พลังลมปราณแข็งแกร่ง ทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศยืนขวางหน้าเด็กหนุ่ม “เรื่องราวยังไม่รู้ที่มาที่ไป หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะไปไหนไม่ได้”

“ท่านเป็นใครกัน?”

หลินเป่ยเฉินขึงตาดุ ถามกลับไปอย่างเอาเรื่อง

“ข้าคือจิน…”

ชายวัยกลางคนกำลังจะตอบ

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินสะบัดมือตบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง

ชายวัยกลางคนลอยกระเด็นออกไป

“ข้าไม่อยากรู้ชื่อของท่านอีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินสะบัดฝ่ามือและหันมาพูดว่า “พวกเรากลับ ใครเข้ามาขวางทางอีก ฆ่าทิ้งให้หมด”

คุณชายหลินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ

ยอดฝีมือที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนอีกจำนวนมากได้แต่เบิกตาโตยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความเหลือเชื่อ

เพราะชายวัยกลางคนที่ถูกตบกระเด็นออกไปนั้น มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าสำนักมือปราบหลวงประจำนครเจาฮุย

เขามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์

นับเป็นผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งมากที่สุดคนหนึ่งของนครเจาฮุย

แต่กลับถูกหลินเป่ยเฉินตบกระเด็นออกไปง่ายๆ ไม่ต่างจากแมลงวันตัวหนึ่ง

หรือว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้…

จะมีพลังอยู่ในระดับเซียน?

ไม่ได้การแล้ว

ตอนแรกพวกเขาก็อยากหยุดยั้งหลินเป่ยเฉินเช่นเดียวกับหัวหน้าสำนักมือปราบหลวงที่ชื่อจินอี้

แต่เมื่อเห็นชายวัยกลางคนถูกตบกระเด็นออกไป พวกเขาก็ได้แต่ปิดปากเงียบแล้ว

ทุกคนได้แต่ยืนมองหลินเป่ยเฉินนำกองทัพของตนเองกลับไป

เกาเฉิงฮั่นก็ไม่ได้สกัดขัดขวางเช่นกัน

“พระองค์ท่านบาดเจ็บหรือ… เจ้าคะ?”

นักพรตใหญ่หลงเยว่รีบถลันเข้ามาประคองร่าง ‘เยว่เว่ยหยาง’ ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

‘เยว่เว่ยหยาง’ ส่ายศีรษะเล็กน้อย ได้รับการประคองให้มานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในวิหาร หลังจากนั้น นางก็กระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่

“คิดไม่ถึงเลยนะว่านางปีศาจนั่นจะมีฝีมือแข็งแกร่งมากขึ้นถึงขนาดนี้”

เยว่เว่ยหยางสูดหายใจลึก โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง

แต่เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ไม่สามารถทุเลาได้โดยง่าย

สถานการณ์ภายในตัวเมืองกำลังตึงเครียด นางคงออกไปไหนไม่ได้อีกพักใหญ่

‘เยว่เว่ยหยาง’ นิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดเล็กน้อย ก็พูดว่า “พาข้ากลับไปที่สระน้ำศักดิ์สิทธิ์”

นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่กล้าพูดจามากความ ได้แต่นำพาเด็กสาวกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์

วิญญาณของเทพีกระบี่ในร่างเยว่เว่ยหยางคิดด้วยความเจ็บใจว่า รอให้ตนเองรักษาอาการบาดเจ็บให้หายดีเสียก่อนเถอะ นางจะกลับไปแก้แค้นนางปีศาจนั่นชนิดถอนรากถอนโคนเลยทีเดียว