บทที่ 744 ความคิดและการเปลี่ยนแปลง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 744 ความคิดและการเปลี่ยนแปลง

กองทัพถอนกำลังกลับไปหมดสิ้น

ยอดฝีมือที่มารับชมการต่อสู้ก็ถอนกำลังกลับไปเช่นกัน

ป้อมอสรพิษที่เคยสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกร กลับกลายเป็นทะเลทรายรกร้างว่างเปล่าในพริบตา

เนื่องจากข่าวลือเรื่องความอำมหิตในอดีต จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่นี่

เกาเฉิงฮั่นยืนเฝ้ามองทุกคนเดินจากไปด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

เขายืนโดดเดี่ยวไม่ต่างจากวิญญาณเร่ร่อนดวงหนึ่ง

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ

แต่แล้วทันใดนั้น รอยเท้าเล็กๆ กลับปรากฏขึ้นบนพื้นทรายอย่างน่ามหัศจรรย์

นี่คือภาพที่น่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

ที่นี่ปราศจากผู้คน แต่กลับมีรอยเท้าปรากฏขึ้นบนพื้นทราย

เกาเฉิงฮั่นรู้สึกเหมือนตนเองกำลังโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ

หลังจากนั้นไม่นาน

เงาร่างสองสายก็ปรากฏขึ้นหลังเนินทรายกองหนึ่ง

เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากับตัวอะไรบางอย่างที่มีความสูงเท่าครึ่งหน้าแข้งของเขา

ที่แท้มันก็คือหนูขนเงินตัวใหญ่ตัวหนึ่ง

“เป็นที่นี่แน่นะ?”

“จี๊ด”

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร?”

“จี๊ด”

เพี๊ยะ!

เด็กหนุ่มรูปหล่อตบศีรษะเจ้าหนูอย่างแรง

“เอาแต่พูดจี๊ดจี๊ดจี๊ดอยู่ได้ ข้าจะไปเข้าใจภาษาหนูได้อย่างไร …เขียนออกมาสิวะ”

เขาคำรามออกมาด้วยความหงุดหงิด

ครืด!

หลังจากนั้น เจ้าหนูก็เขียนข้อความลงบนกระดานชนวนว่า

‘เป็นที่นี่แน่นอนขอรับ’

เด็กหนุ่มรูปหล่อพยักหน้า “แล้วเจ้ายังจะเสียเวลาทำไมอีก รีบขุดลงไปสิ”

เมื่อได้รับคำสั่ง เจ้าหนูขนเงินก็ใช้ความสามารถในการดำดินของมัน ขุดพื้นทรายมุดหายลงไปใต้ดิน

เด็กหนุ่มรูปหล่อก้มตัวลงเอาหัวมุดลงไปใต้พื้นทราย ก้นโด่งชี้ฟ้าไม่ต่างจากนกกระจอกเทศ บางครั้งเขาก็จะเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองรอบบริเวณเพื่อดูสถานการณ์ว่ามีใครผ่านมาหรือไม่ ใบหน้าที่เปื้อนคราบดินคราบทรายของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง

“ให้ตายสิ ก่อนหน้านี้ดันลืมถามเสียได้ว่าคลังเก็บสมบัติของพวกมันอยู่ที่ไหน แต่โชคดีนะเนี่ยที่พี่อู๋หงยังฟื้นขึ้นมาบอกเราได้ทันเวลา…”

เด็กหนุ่มถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น

เขาคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหลินเป่ยเฉิน

อึดใจใหญ่ต่อมา เจ้าหนูอากวงก็โผล่หัวขึ้นมาจากใต้พื้นทราย “จี๊ด…”

เมื่อเห็นความขุ่นเคืองใจบนใบหน้าของเจ้านาย เจ้าหนูก็รีบหยิบกระดานชนวนออกมาเขียนข้อความโดยเร็ว ‘ข้าน้อยพบแล้วขอรับ’

“พบแล้วก็รีบไปสิ”

อากวงใช้ขาหน้าของมันข้างหนึ่งจับแขนหลินเป่ยเฉินก่อนจะนำทางมุดลงไปในอุโมงค์ใต้ดิน

ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง

เมื่อคลานผ่านอุโมงค์ใต้ดินลงมาประมาณครึ่งลี้ เด็กหนุ่มก็พบเข้ากับห้องลับใต้ดินขนาดใหญ่

ความกว้างขวางของมันเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

มืดมิด

ปราศจากสิ่งมีชีวิต

จมูกสูดดมได้แต่กลิ่นคาวเลือดน่าสะอิดสะเอียน

ห้องใต้ดินแห่งนี้มีเฉลียงทางเดินที่ทอดนำลึกเข้าไปยังอีกส่วนหนึ่ง มองดูแล้วไม่ต่างจากสุสานใต้ดินสักนิด

กำแพงสีดำมีพื้นผิวขรุขระ วาดเขียนด้วยลวดลายโบราณ คล้ายกับเป็นค่ายอาคมสำหรับการบูชาเลือดหรืออะไรทำนองนั้น แต่เนื่องจากความรู้ของหลินเป่ยเฉินเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านนี้มีน้อยเกินไป เขาจึงไม่เข้าใจว่ามันเป็นลวดลายเกี่ยวกับอะไรกันแน่

แต่ในอุโมงค์ทางเดินที่มืดมิด ปรากฏก้อนหินเรืองแสงสีเลือดวางทิ้งอยู่เป็นระยะ ราวกับเป็นดวงวิญญาณของภูตผีที่ปรากฏตัวออกมาเพื่อเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนเดินเข้าไป

และด้วยแสงสว่างเหล่านั้นเอง จึงสามารถมองเห็นสุสานที่อยู่ด้านในได้อย่างถนัดตา

หลินเป่ยเฉินยืนตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก็ใช้เท้าสะกิดอากวงและบอกว่า “ข้าได้กลิ่นเลือด ทางข้างหน้าอาจมีอันตราย เจ้านำไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวข้าระวังหลังให้”

อากวงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มด้วยความเหลือเชื่อ

เจ้าหนูพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่พยักหน้าให้กำลังใจ และยืนยันคำสั่งว่าเจ้าหนูผู้เป็นสัตว์เลี้ยงของเขาไม่มีทางเลือกอื่น

อากวงจึงต้องจำใจเดินนำหน้า

สุสานใต้ดินแห่งนี้ อู๋หงเคยเข้ามาเพียงครั้งเดียว

นางต้องพยายามพิสูจน์ตนเองเป็นอย่างมาก กว่าจะได้รับความเชื่อใจจากคนของป้อมอสรพิษ ให้เข้ามาจัดการซากศพในสุสานใต้ดินแห่งนี้

แต่โชคร้ายที่ตอนนั้นนางถูกปิดตาเข้ามา

หญิงสาวจึงมองเห็นทุกอย่างได้ไม่ชัดเจน รู้เพียงแต่ว่าที่นี่เป็นสุสานใต้ดินที่มีอุโมงค์มากมาย

แต่ระหว่างทางไม่เกิดอันตรายขึ้นเลย

อากวงและหลินเป่ยเฉินสามารถเดินเข้าไปสู่ด้านในตัวสุสานได้อย่างปลอดภัย

และด้วยแสงสลัวจากก้อนหินเรืองแสงที่ถูกวางไว้โดยรอบ เด็กหนุ่มจึงสามารถมองเห็นแท่นบูชาเก้าชั้นที่แกะสลักจากหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้าได้โดยทันที

แต่ละชั้นของแท่นบูชายังคงมีแสงสว่างเป็นประกายเรืองรอง และได้ยินเสียงของเหลวไหลรินลงมาอย่างต่อเนื่อง

บนขอบแท่นบูชาเจาะรูขนาดเล็ก เว้นช่องว่างห่างกันทุกๆ ห้าวา

ของเหลวสีแดงสดจะไหลออกมาจากรูขนาดเล็กนี้ ไหลลงสู่ด้านล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก

“จี๊ด”

อากวงรีบปีนขึ้นไปดูบนแท่นหินเก้าชั้น และเมื่อมันสำรวจมองโดยละเอียด ก็ต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวสุดขีด ขนทุกเส้นบนร่างกายชี้ชันราวกับโดนไฟฟ้าช็อต

เจ้าหนูรีบวิ่งลงมาพร้อมกับส่งเสียงร้องไม่หยุด มันยกขาหน้าชี้ไปยังแท่นหินบูชา เหมือนพยายามจะบอกว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ด้านหลัง

หลินเป่ยเฉินรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปดูทันที

ปรากฏว่า…

“อ๊วก…”

หลินเป่ยเฉินคุกเข่าลงอาเจียนออกมาข้างๆ แท่นบูชา

เขาแทบจะอาเจียนของทุกอย่างที่รับประทานเข้าไปในวันนี้ออกมาจนหมดไส้หมดพุง

เพราะด้านหลังแท่นบูชาเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำขนาดใหญ่

เป็นบ่อน้ำโลหิต

และเหตุผลที่ทำให้หลินเป่ยเฉินอาเจียนไม่หยุดในขณะนี้ ก็เป็นเพราะว่าในบ่อโลหิตนั้นมีหัวกะโหลกรวมไปถึงแขนขามนุษย์ลอยล่องอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน

ไม่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน เพราะเขาเคยฆ่าคนจริงๆ มาแล้ว และเคยสังหารหมู่พวกโจรในหุบเขาชายแดนเหนือยกโขยงมาแล้วด้วยซ้ำ

แต่บ่อโลหิตแห่งนี้มันวิปริตมากเกินไป นี่คือครั้งแรกที่เขาเห็นแขนขามนุษย์และอวัยวะต่างๆ ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ต่างไปจากใบไม้ที่หลุดร่วงลงมารอวันเน่าเปื่อย

นี่ย่อมไม่ใช่การกระทำของมนุษย์อย่างแน่นอน

ต่อให้ข่าวลือที่ว่าป้อมอสรพิษจับตัวผู้คนมาทรมานอย่างโหดร้ายทารุณ แต่ก็คงไม่โหดร้ายถึงเพียงนี้

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ได้เข้าใจถึงการทำงานของแท่นบูชานี้อย่างแท้จริง

แต่ละชั้นของแท่นบูชาสามารถหมุนวนได้ ทำให้มันมีความสามารถไม่ต่างจากหินเจียรดาบ มนุษย์ผู้เป็นเหยื่อบูชายัญจะถูกจับมามัดติดกับแท่นบูชานี้ และเมื่อแท่นหินแต่ละชั้นถูกผลักให้หมุนวนไปตามรอบแกนกลางของมัน ร่างกายของมนุษย์ผู้โชคร้ายก็จะถูกปั่นจนกลายเป็นแค่กองเนื้อกองหนึ่ง

ของเหลวสีแดงที่ไหลออกจากรูเล็กๆ บนแท่นบูชา ก็คือเลือดของซากศพที่ถูกปั่นจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วนั่นเอง

เรียกว่าแท่นบูชานี้เป็นเครื่องปั่นมนุษย์ก็คงไม่ผิด

กว่าที่หลินเป่ยเฉินจะสามารถกลับมาหายใจได้ตามปกติ ก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

เขากวาดตามองไปรอบบริเวณอีกครั้ง

พื้นหินรอบๆ แท่นบูชาถูกแกะสลักเป็นรูปตัวอักษรจำนวนมาก ดูเหมือนมันจะเป็นอักขระสำหรับการสร้างค่ายอาคมบางอย่าง เมื่อเลือดไหลไปตามร่องตัวอักษรบนพื้นหินเหล่านี้ พวกมันก็เชื่อมถึงกัน และผู้มาเยือนก็จะรู้สึกได้ทันทีว่าสุสานใต้ดินแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอปีศาจ

จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง เขาจึงเงยหน้ามองเพดานของสุสานใต้ดิน

แล้วดวงตาก็ต้องเบิกโต

เพราะด้านบนก็มีการสร้างค่ายอาคมเอาไว้เช่นกัน

ดูเหมือนมันจะเป็นค่ายอาคมสำหรับการข้ามมิติหรืออะไรสักอย่าง

กลิ่นไอปีศาจลอยออกมาจากค่ายอาคมบนเพดานอย่างชัดเจน เพียงแต่หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าค่ายอาคมด้านบนนั้นจะนำพาไปสู่ที่ใดกันแน่

“แท่นหินบูชาที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ มีสถานะเป็นเครื่องมือสังเวยชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่ป้อมอสรพิษจับตัวมา เมื่อฆ่าคนเสร็จแล้ว พวกมันก็จะโยนอวัยวะที่เหลืออยู่ทิ้งลงไปในบ่อโลหิตด้านหลัง ก่อนจะใช้ค่ายอาคมบนพื้นหินและบนเพดานถ่ายเทพลังวิญญาณของเหยื่อ ส่งพลังเหล่านั้นออกไปให้ใครบางคน…”

“นี่คงเป็นวิธีที่พวกปีศาจใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวเอง”

“หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไป๋ชินหยุนมีความแข็งแกร่งมากขึ้นขนาดนี้?”

“ได้ยินมาว่าการดูดกลืนพลังวิญญาณ สามารถเสริมพลังให้แก่ปีศาจได้มากกว่าการกินเลือดเนื้อมนุษย์ด้วยนี่นะ”

หลินเป่ยเฉินสำรวจมองรอบสุสานใต้ดินด้วยความตื่นตระหนก

นี่คือครั้งแรกที่เขาเห็นห้องลับใต้ดินของผู้ที่เป็นสาวกปีศาจอย่างเต็มรูปแบบด้วยตาของตนเอง

บัดนี้ เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด บรรดาชาวบ้านร้านถิ่นไปจนถึงกลุ่มคนสำนักใหญ่ ตลอดจนถึงราชวงศ์ผู้ปกครองจักรวรรดิเป่ยไห่จึงได้เกลียดชังพวกสาวกปีศาจถึงขนาดนี้

เพราะพวกมันมีวิธีการสังหารมนุษย์อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตมากเกินไปนี่เอง

ทุกคนเข้าใจถูกต้องแล้ว

สาวกปีศาจเห็นมนุษย์เป็นเพียงเหยื่ออันโอชะ

พวกมันไม่เห็นมนุษย์คนอื่นๆ เป็นเพื่อนร่วมโลกด้วยซ้ำ

เลวร้ายที่สุด

อากวงที่ยืนอยู่ด้านข้างยังคงตัวสั่นเทาไม่หยุด ขนสีเงินของมันชี้ชันตลอดเวลา

หลินเป่ยเฉินพยายามข่มใจ เดินเข้าไปดูแท่นบูชาใกล้ๆ

นั่นเอง เด็กหนุ่มจึงพบว่าแท่นบูชาแท่นนี้เป็นจุดศูนย์กลางของเฉลียงทางเดินอีกสี่แห่ง เฉลียงทางเดินเหล่านั้นแยกออกเป็นสี่ทิศเหนือใต้ออกตก ปรากฏว่าอุโมงค์ที่เขากับอากวงใช้เดินเข้ามาเป็นเฉลียงทางเดินประจำทิศตะวันตก นี่จึงหมายความว่าทางเดินอีกสามทิศที่เหลืออยู่ ยังคงไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกมันจะนำพาไปสู่แห่งหนใด

“เจ้าอยู่ที่นี่ ทำลายแท่นหินบูชาทิ้งไปซะ”

หลินเป่ยเฉินหันมาสั่งอากวง

อดีตราชันย์หนูอสูรเบิกตาโต

ทำไมมันถึงต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพังด้วยล่ะ?

เจ้าหนูรู้สึกหวาดกลัว

แต่เมื่อเห็นแววตาดุดันของหลินเป่ยเฉิน อากวงก็รีบเขียนข้อความลงบนกระดานชนวนทันทีว่า…

‘นายท่านได้โปรดวางใจ ข้าน้อยจะทำลายแท่นหินผีสางนี้ให้แก่นายท่านเอง’

หลังจากนั้น มันก็ยิ้มแย้มด้วยความจริงใจ

หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเดินจากไป