“ต้องเป็นพวกมันแน่ ๆ!” ชิวไป๋หยูและหานฉีตะโกนขึ้นเกือบจะพร้อม ๆ กัน
แต่แล้วถัดมาพวกเขาทั้งคู่ก็มองหน้ากันและส่ายหัว
ทุกอย่างมันไม่สมเหตุสมผลเกินไป พวกเขาจะทำสำเร็จได้ยังไง?
ทองคำสีชาดที่เหล่าอสูรดินซ่อนเอาไว้มันถูกซ่อนอยู่ใต้ดินลึกหลายกิโลเมตร การที่จะหามันเจอต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิเท่านั้นและต้องรู้ตำแหน่งแบบเจาะจงอีกต่างหาก ไม่งั้นไม่มีวันหาเจอได้เลย ซึ่งกลุ่มคนพวกนั้นไม่ได้ออกจากเรือนเลยด้วยซ้ำจะไปหาเจอได้ยังไง?
นี่มันแปลกประหลาดเกินไป และถ้าหากไม่ใช่คนกลุ่มนั้นเอาไป ใครกันที่เอาไป?
ในเวลานี้ทั้ง ชิวไป๋หยูและหานฉีต่างรู้สึกขนลุก มันคล้ายกับว่ามีใครบางคนที่อยู่ในมุมมืดพูดกับพวกเขาว่า ‘ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้ากำลังจะทำอะไร แต่ข้ายังไม่พูดอะไรหรอก ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้าจะทำยังไงกันต่อ!’
ไม่นานต่อมา ชิวไป๋หยูพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครเอาไป แต่พวกเราจะโยนความผิดให้คนกลุ่มนั้นเป็นคนเอาไป!”
หานฉีรีบพูดขึ้นเสริมทันที “ใช่ โยนความผิดให้พวกมัน”
นี่เป็นเพราะมันใกล้จะถึงเวลาที่คนจากภูเขาฟีนิกซ์จะมารับทองคำสีชาดแล้ว ซึ่งพวกเขาไม่มีวันที่จะขุดทองคำสีชาดใหม่ได้ทัน ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้พวกเขาก็ต้องเบี่ยงประเด็นไปว่ามีคนขโมยพวกมันไป เพราะถ้าหากพวกเขาบอกว่ามันหาย มันจะต้องมีการสืบสวนขนานใหญ่
ถ้ามีการสืบสวนขึ้นมาในกรณีที่อยู่ดี ๆ ทองคำสีชาดก็หายไป แผนการของพวกเขาจะถูกพบแน่นอน
แต่ถ้ามันถูกสืบสวนในกรณีที่ถูกขโมย ทีมสอบสวนจะมุ่งไปที่กลุ่มของหลิงตู้ฉิง ซึ่งโอกาสที่แผนการของพวกเขาจะถูกเปิดโปงมีน้อยกว่าบวกกับจังหวะที่กลุ่มของหลิงตู้ฉิงปรากฏตัวมันเป็นจังหวะเหมาะพอดี เพราะฉะนั้นเรื่องทุกอย่างมันจึงดูมีเหตุผลทำให้บรรดาคนของภูเขาฟีนิกซ์จะเชื่อแน่นอนว่ากลุ่มของหลิงตู้ฉิงเป็นคนขโมย
ผลลัพธ์เช่นนี้มันจะทำให้พวกเขาไม่ต้องเป็นคนรับผิดชอบในความเสียหาย
ชิวไป๋หยูพูดกับหานฉี “ทำตามแผนนี้ ส่วนข้าจะกลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ก่อนเพื่อเตรียมการรับมือกับราชันสงครามที่กำลังจะไปเยือน ไม่เช่นนั้นชีวิตของพวกเราในอนาคตจะลำบากแน่นอน”
ก่อนหน้านี้ราชันสงครามได้เอ่ยเอาไว้ว่านางจะคิดบัญชีกับพวกเขาเมื่อนางกลับไปถึงภูเขาฟีนิกซ์บวกกับเฟิงหลิงได้กลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องรีบกลับไปอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของหลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็เตรียมออกเดินทางเช่นกัน
เรื่องที่องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงไปทำให้หลิงตู้ฉิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก อย่างน้อยที่สุดเขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถออกคำสั่งกับองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ได้ในยามคับขัน
ในทันทีที่กลุ่มของหลิงตู้ฉิงกำลังจะออกเดินทาง หานฉีก็รีบตรงมาหาทันที
“พวกท่านกำลังจะไปแล้วงั้นเหรอ?” หานฉีถามขึ้น
“ทำไม? ราชาผู้นี้จะไปไหนมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” หลิงไช่หยุนถามขึ้น
“ข้าน้อยไม่กล้า ๆ” หานฉีรีบตอบกลับทันที
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้กลุ่มของหลิงตู้ฉิงจากไป แต่เมื่อเขาต้องเผชิญกับคนในกลุ่มของหลิงตู้ฉิงที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่มองกลุ่มของหลิงตู้ฉิงค่อย ๆ จากไป
เมื่อออกจากเมืองขนนกอัคคี เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูดขึ้นทันที “นายท่าน พวกเราจะไปไหนกันต่องั้นเหรอ? ในเมื่อผู้อาวุโสชิวกลับไปแบบนี้แล้ว เขาจะต้องทำวางแผนทำอะไรสักอย่างต่ออีกแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “แน่นอนว่าเขาต้องทำอะไรต่ออีกแน่นอน ดังนั้นพวกเราจะไปกันที่เมืองลอยฟ้า”
ในระหว่างทางที่พวกเขากำลังไปที่เมืองลอยฟ้า หลิงไช่หยุนก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “ท่านพ่อ ท่านไปเอาใบบงการทัพขององค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน?”
“ใบบงการทัพนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุใด ๆ เป็นพิเศษ แต่มันถูกสร้างขึ้นจากการโคจรคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์รวมเข้ากับกลิ่นอายของพลังสายเลือดฟีนิกซ์ ดังนั้นสำหรับพ่อมันจึงง่ายมากที่จะสร้างพวกมันขึ้นมา” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
อันที่จริงแล้ว การสร้างมันไม่ได้ง่ายแบบที่หลิงตู้ฉิงพูดเลยสักนิด…
ในเวลาเดียวกันที่ภูเขาฟีนิกซ์ เฟิงเจียงก็ได้ฟังรายงานจากเฟิงหลิงเรียบร้อย ซึ่งมันทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หากเทียบกับชิวไป๋หยู เฟิงเจียงตัดสินได้เร็วกว่ามากว่า หลิงไช่หยุนเป็นราชันสงครามที่กลับมาเกิดใหม่
ราชันสงครามนั้นคือตัวตนที่อาวุโสกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงชอบใจอยู่เหมือนกันที่นางกลับมา แต่แล้วเมื่อเขาคิดถึงลักษณะนิสัยของราชันสงครามว่ามันจะกระทบกับภูเขาฟีนิกซ์อย่างไรมันก็ทำให้เขารู้สึกลังเลในใจ
ในระหว่างที่เฟิงเจียงกำลังครุ่นคิด ชิวไป๋หยูก็เข้ามาขอพบ
“นี่เจ้ากล้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนทรยศงั้นเหรอ?” เฟิงเจียงถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
ชิวไป๋หยูยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเด็กสาว 2 คนนั้นจะมีผู้หนุนหลังเป็นราชันสงคราม!”
ถึงแม้ว่าคำอธิบายแบบนี้มันจะดูสมเหตุสมผลในบางมุม แต่เฟิงเจียงก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน!
หลังจากชิวไป๋หยูอธิบายออกมาเช่นนั้น เขาก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องการนำคนไปจับกุมกลุ่มของหลิงตู้ฉิงต่อ เขารู้ดีว่าเรื่องนั้นยิ่งเขาพูดไปมันก็ยิ่งมีพิรุธ ดังนั้นเขาจึงเบี่ยงประเด็น “ผู้อาวุโสเฟิงเจียง ข้าคิดว่าการกลับมาของราชันสงครามในรอบนี้ภูเขาฟีนิกซ์ของพวกเราคงจะลำบากแน่นอน”
“ทำไม?” เฟิงเจียงเอ่ยถามขึ้น
ชิวไป๋หยูพูดต่อ “ใคร ๆ ในภูเขาฟีนิกซ์ต่างก็รู้ว่าผู้อาวุโสราชันสงครามนั้นมีอุปลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร หากนางกลับมาที่ภูเขาฟีนิกซ์ นางจะต้องนำพวกเราเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายของโลกภายนอกแน่นอน”
“เมื่อถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่ภูเขาฟีนิกซ์จะไม่มีความสงบสุข แต่พวกเราทั้งหมดคงจะต้องทุ่มเททุกอย่างไปกับความวุ่นวายของโลกภายนอก ในยุคปัจจุบันนี้ หากผู้ใดเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายของโลกภายนอก มันก็ยากที่จะทำนายว่าผลลัพธ์ที่ต้องเผชิญมันจะเป็นอย่างไร ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าการกลับมาของราชันสงครามในครั้งนี้มันจะเป็นผลเสียมากกว่าสำหรับภูเขาฟีนิกซ์ของพวกเรา”
ในระหว่างที่ชิวไป๋หยูพูดขึ้น เฟิงเจียงก็ฟังอย่างตั้งใจโดยไม่กระพริบตา
อันที่จริงการที่เขารู้สึกลังเลในใจก็เพราะว่าเขาคิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน
ถ้าให้พูดตามจริง เป็นช่วงเวลานานมากแล้วที่ภูเขาฟีนิกซ์มีแต่ความสงบสุข ซึ่งมันทำให้ไม่มีใครอยากจะกลับเข้าไปสู่สนามรบต่อไปอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหนที่มีสงครามครั้งใหญ่ ผู้ชนะย่อมได้รับชีวิตที่รุ่งโรจน์แต่ชะตาชีวิตของผู้แพ้นั้นจะกลายเป็นย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดี
แต่ถึงแม้ว่าผู้ชนะจะได้รับชีวิตที่รุ่งโรจน์ สิ่งที่พวกเขาต้องนำไปแลกคือศพจำนวนมากของพวกเขาเช่นกัน
เมื่อเฟิงเจียงคิดถึงข้อนี้ เขาก็เริ่มที่จะตัดสินใจอะไรได้แล้วเช่นกัน