เฉินโหยวมองเฉินซินที่ลมหายใจรวยรินในอ้อมแขนด้วยน้ำตาที่รื้นดวงตา
“ซินเอ๋อร์ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ ?”
แท้ที่จริง เขาไม่ได้โกรธแค้นเฉินซินมากเท่าที่คิดไว้ หลังจากได้ทราบตัวตนที่แท้จริงของศิษย์รัก เขาก็เข้าใจสาเหตุที่เฉินซินทำทุกอย่างลงไป อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดยืนที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาก็ถูกลิขิตให้เป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกัน การเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเขาในครานี้ก็มิได้เกิดจากความโกรธแค้นแต่อย่างใด
เฉินโหยวเพียงต้องการทราบว่าศิษย์ที่เขาฝึกฝนด้วยตัวเองมีจิตสำนึกที่ดีและจะคิดสังหารตนหรือไม่
ตลอดการประจันหน้าครานี้ เฉินซินยั้งมือมาตั้งแต่ต้นและตัวเขาเองก็ไม่ได้ใช้พลังอย่างสุดความสามารถเช่นกัน หากต้องการสังหารเฉินซินจริง เขาก็คงโยนระเบิดพลังมายาออกไปโดยตรงซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสได้อย่างแน่นอน
เฉินโหยวเอื้อมมือออกไปและพยายามใช้พลังมายาของตนในการปิดบาดแผลของเฉินซิน เดิมทีเขาคิดว่าบาดแผลดังกล่าวจะค่อย ๆ สมานและดีขึ้น แต่แล้วก็ต้องพบว่ามันไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดแม้แต่น้อย เลือดสดยังคงไหลออกมาจากบาดแผลจนอาภรณ์ทั่วทั้งร่างของเฉินซินกลายเป็นสีแดงฉาน
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?!”
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวและเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของเฉินซินยังคงสลายไปอย่างต่อเนื่อง
“ท่านอาจารย์…กระบี่…กระบี่ของฮวาเหยียนอวี่ มันมีพิษประหลาดจากชนเผ่าอู่ซินเคลือบไว้ ตราบใดที่มันแทงทะลุร่างกาย มันก็ไม่มีหนทางใดในการรักษาได้ ทะ…ท่านอย่าเสียเวลาพยายามเลย”
เฉินซินคลี่ยิ้มอย่างอ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับสิ่งนี้ไว้ก่อนแล้วและคิดว่าตนเองไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาพยายามต่อสู้กับความรู้สึกสับสนในหัวใจมาตลอด ฝั่งหนึ่งก็คือบิดาผู้บังเกิดเกล้าของเขาซึ่งก็คือฝ่ายมารที่เป็นถิ่นฐานตั้งแต่กำเนิด ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือเฉินโหยวที่อบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูเขามาตลอดผู้ซึ่งทั้งรักและหวังดีกับเขาเสมือนบิดาแท้ๆ นอกจากนี้ทุกคนในสมาคมช่างหลอมก็ไม่เคยคิดร้ายกับเขาและปฏิบัติต่อเขามาอย่างดีเสมอ
ไม่ว่าจะต้องจัดการกับฝ่ายใด มันก็มิใช่สิ่งที่เฉินซินต้องการ เรียกได้ว่าการจบชีวิตในตอนนี้คือความโล่งใจที่สุดสำหรับเขา
“ท่านอาจารย์ หากชาติหน้ามีจริง…ข้าขอเป็นเพียงศิษย์ของท่านและไม่ต้องมีความเกี่ยวข้องใดกับฝ่ายมารอีกเลย ข้า…ข้าเหนื่อยมากแล้ว มันเหนื่อยเหลือเกิน”
เฉินซินกล่าวกับเฉินโหยวและสบตาอย่างจริงใจก่อนหลับตาลงอย่างช้า ๆ เขาทราบดีว่าท่านอาจารย์ได้ให้อภัยตนแล้ว เพราะเหตุนั้นเขาจึงจะจากโลกนี้ไปได้อย่างไร้ความกังวล
“ซินเอ๋อร์…อาจารย์ผู้นี้ไม่เคยถือโทษโกรธเจ้า”
น้ำตาแห่งความเสียใจของเฉินโหยวไหลอาบลงมาและใบหน้าของเขาก็ดูแก่ชราลงไปหลายปี หากการทรยศหักหลังของเฉินซินก่อนหน้านี้เป็นความเจ็บปวดใจครั้งใหญ่สำหรับเขา ทว่าครานี้เมื่อต้องเห็นเฉินซินต้องตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตนไม่อาจทำอะไรได้ เฉินโหยวก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งกว่าเสียอีก เขาทั้งรักและรู้สึกผูกพันกับศิษย์ผู้นี้มากเกินไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองมิใช่เป็นเพียงอาจารย์และศิษย์เท่านั้น หากแต่เปรียบเสมือนบิดาและบุตรแท้ๆ
“เฉินซิน…”
คนอื่นๆจากสมาคมช่างหลอมก็เข้ามารายล้อมรอบตัวเขา พวกเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเฉินซินจะยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องเฉินโหยวเช่นนี้
“นายน้อย !”
สมาชิกฝ่ายมารล้วนตกตะลึงอย่างที่สุด พวกเขาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรเช่นนี้ไปได้ คุณหนูของฝ่ายมารเป็นผู้ที่พลาดพลั้งและสังหารนายน้อยไปโดยบังเอิญ
“เฉินซิน เหตุใดจะต้องรอให้ถึงชาติหน้ากัน แม้ว่าพิษของฮวาเหยียนอวี่จะลึกลับและประหลาดอย่างยิ่ง ทว่ามันก็มิใช่ปัญหาสำหรับข้า”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความชะงักนิ่งของทุกคนและประกายความหวังปรากฏในแววตาของเฉินโหยวทันที
“เสี่ยวอวี้โม่…เจ้าช่วยเขาได้รึ ?”
เขาเงยหน้าสบตากับฉินอวี้โม่ที่ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศและหยุดลงตรงหน้าทุกคน
ฉินอวี้โม่จับตาดูสถานการณ์ในฝั่งนี้มาตลอดแม้ในขณะที่กำลังต่อสู้กับฮวาเฉินอยู่ ท่าทางลังเลของเฉินซินที่แสดงออกว่าไม่ต้องการสังหารเฉินโหยวทำให้นางรู้สึกประทับใจในตัวนายน้อยของฝ่ายมารมากขึ้น และเมื่อได้เห็นการโจมตีของฮวาเหยียนอวี่ ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตนอยู่ในมุมมืดมาตั้งแต่ต้น และเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางก็มั่นใจได้ทันทีว่าคนผู้นั้นก็คือฮวาเหยียนอวี่ที่พยายามหาโอกาสลอบโจมตีนาง
การที่เฉินซินยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเฉินโหยวเป็นสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก แม้พวกเขามิใช่บิดาและบุตรชายทางสายเลือด ซ้ำร้ายยังมีจุดยืนที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าความสัมพันธ์ที่รักและหวังดีต่อกันเช่นพ่อลูกคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย
แม้เฉินโหยวพร่ำบอกว่าเขาโกรธแค้นเฉินซิน ทว่าความรักความผูกพันในหัวใจก็ไม่เคยจางหายไป
“ผู้อาวุโสเฉินโหยว รีบป้อนผลโพธิ์นี้ให้กับเขาเถอะ”
ฉินอวี้โม่หยิบผลโพธิ์ออกมาพร้อมกับยื่นให้กับเฉินโหยวและกล่าวอย่างรวดเร็ว
“เฉินซิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากตาย แม้ความตายจะเป็นความโล่งใจสำหรับเจ้า ทว่ามันก็เป็นความเจ็บปวดสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ บิดามารดาผู้ให้กำเนิดเป็นผู้ที่มอบชีวิตนี้ให้กับเจ้า ทว่าเส้นทางข้างหน้าเป็นทางที่เจ้าจะต้องเลือกเอง ก่อนหน้านี้เจ้าทรยศสมาคมช่างหลอมและทำตามคำสั่งของฝ่ายมารแล้ว ตอนนี้ที่เจ้ากำลังจะตายไปเพราะฝีมือของฮวาเหยียนอวี่…นั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่มีพันธะใดต้องรับใช้ฝ่ายมารอีกต่อไป แม้ฮวาเฉินจะเป็นบิดาแท้ ๆ ของเจ้า เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ให้กับเจ้าแม้แต่น้อย ข้าเชื่อว่าเจ้าทราบดีว่าควรจะเลือกทางใด”
นางกล่าวกับเฉินซินอย่างเตือนใจ นางสัมผัสได้ว่าเขายังไม่ได้หมดสติไปและยังคงได้ยินถ้อยคำวาจาของนาง
ความตายเป็นความโล่งใจสำหรับผู้ที่ต้องการละทิ้งทุกอย่าง ทว่าในขณะเดียวกันมันก็เป็นความเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุดสำหรับคนที่รักและห่วงใยเขา ฮวาเฉินอาจไม่รู้สึกอะไรกับการตายของบุตรชายผู้นี้ ทว่าเฉินโหยวจะต้องทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
“เสี่ยวอวี้โม่ ขอบคุณมากจริง ๆ”
เฉินโหยวกล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่อย่างจริงใจ ผลของต้นโพธิ์ถือว่าเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์และเฉินซินจะรอดชีวิตกลับคืนมาได้หากเขามีกำลังใจที่จะสู้ต่อ
“ฮวาเหยียนอวี่ คราก่อนข้าปล่อยให้เจ้ารอดออกไปได้ ครานี้เรามาสะสางเรื่องนี้ให้จบ ๆไปจะดีกว่า !”
ฉินอวี้โม่เงยหน้ามองไปที่ฮวาเหยียนอวี่ด้วยแววตาที่แผ่จิตสังหารอย่างแรงกล้า เทพธิดาของฝ่ายมารผู้นี้ทั้งโหดเหี้ยม ชั่วร้ายและน่ารังเกียจเป็นที่สุด นางไม่คู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้อีกต่อไป
“เหอะ ประจวบเหมาะพอดี ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน !”
ฮวาเหยียนอวี่แค่นเสียงในลำคอทว่าแสร้งแสดงสีหน้าท่าทางใจเย็นตอบโต้ นางตระหนักถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง นางมิใช่คู่มือของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ฮวาเหยียนอวี่ยังมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้และนางเชื่อว่ายังมีโอกาสเอาชนะได้
ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ทว่ายังไม่เปิดเผยออกไป นางมั่นใจว่าที่พึ่งสุดท้ายของฮวาเหยียนอวี่จะต้องเป็นสมาชิกจากชนเผ่าอู่ซินซึ่งยังไม่เคยแสดงตัวหรือเคลื่อนไหวออกมา และตอนนี้สาเหตุที่ฉินอวี้โม่ท้าดวลกับฮวาเหยียนอวี่โดยตรงก็เพื่อที่จะหลอกล่อให้คนของชนเผ่าอู่ซินโผล่หัวออกมาและจัดการพวกเขาให้สิ้นซาก ชนเผ่าอู่ซินนี้เป็นขุมกำลังที่ทำลายความสมดุลของฟ้าดินมานานและไม่ควรดำรงอยู่อีกต่อไป…
“ซินเอ๋อร์ กินผลโพธิ์นี้เร็วเถอะ ขอเพียงเจ้ารอดชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาก็จะเป็นเพียงภาพในอดีต ข้าไม่เคยโกรธเคืองเจ้า ข้าเพียงแค่เสียใจและเห็นใจเจ้าก็เท่านั้น หากเป็นไปได้…ข้าก็อยากมีลูกชายที่กตัญญูและชาญฉลาดอย่างเจ้า…”
เฉินโหยวพยายามป้อนผลโพธิ์ให้กับเฉินซิน ผลโพธิ์นี้ที่ฉินอวี้โม่นำมาให้เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งในสิบส่วนของผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เต็มผลเท่านั้นและมีขนาดเพียงนิ้วหัวแม่มือซึ่งเป็นขนาดที่เล็กพอจะกลืนกินได้ไม่ยาก
ก่อนหน้านี้เฉินซินมีความคิดที่อยากจะตายไปจากโลกนี้จริง ๆ ทว่าเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาก็ใช้ความคิดอย่างหนัก เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาและความเมตตาทั้งหมดที่เฉินโหยวมีต่อตน รวมถึงความตระหนักดีว่าหากตนตายไปจะทำให้อาจารย์ที่เคารพต้องโศกเศร้าไปตลอดชีวิต จิตใจที่ต้องการตายของเฉินซินก็ไม่มั่นคงเช่นเดิมอีก และเมื่อได้ยินวาจาของเฉินโหยวในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
เมื่อเห็นใบหน้าของเฉินโหยวที่ดูแก่ชราลงไปหลายปีภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ความหมดอาลัยตายอยากของเขาก็ลดน้อยลงไปอีกครั้ง
“ซินเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อยากเป็นสมาชิกของฝ่ายมารตั้งแต่แรก ตอนนี้ก็ถือว่าเจ้าได้เกิดใหม่อีกครั้งแล้ว หลังจากนี้พวกเราออกไปท่องรอบ ๆ ดินแดนกันเถอะหรือจะไปที่ดินแดนระดับสูงด้วยกัน ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้และความวุ่นวายในดินแดนนี้อีกต่อไป”
เฉินโหยวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เฉินซินจะรอดชีวิตได้ตราบใดที่เขาไม่มีความคิดอยากตายอีก
“ขอรับ…”
เฉินซินพยักศีรษะอย่างอ่อนแรงและกลืนกินผลโพธิ์นั้นลงไป
ในที่สุด บาดแผลที่มีเลือดไหลไม่หยุดมาตลอดก็สมานกันในทันที ในเวลานี้พลังมายาในร่างกายที่สลายหายไปก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับคืนมาและลมหายใจก็ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่ซีดเผือดของเฉินซินผู้ซึ่งอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงก็มีสีสันกลับคืนมาอย่างช้า ๆ เช่นกัน
“เยี่ยมไปเลย”
ทุกคนจากสมาคมช่างหลอมถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเหล่าผู้อาวุโสหลายคนที่มองดูศิษย์ของสมาคมผู้นี้เติบโตมาตั้งแต่เด็กก็เดินเข้ามาตบไหล่เขาเบา ๆ ด้วยสีหน้าท่าทางที่โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
เฉินซินลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และสายตาของเขาก็หันมองไปยังฮวาเฉินผู้ซึ่งไม่มีท่าทีสนใจตนและยังคงต่อสู้กลางอากาศก่อนเลื่อนไปมองฮวาเหยียนอวี่ที่เข้าสู่การต่อสู้กับฉินอวี้โม่แล้ว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ท่านอาจารย์ ไปกันเถอะ ข้าไม่อยากเห็นสถานการณ์พวกนี้อีกต่อไป”
เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยคิดที่จะไปจากสถานที่แห่งความวุ่นวายนี้ ไม่ว่าบทสรุปของฝ่ายมารจะลงเอยอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป
“ตกลง ไปกันเถอะ”
เฉินโหยวพยักศีรษะและเดินออกไปนอกวงล้อมของสมรภูมิรบ
ไม่มีผู้ใดขัดขวางการกระทำของพวกเขาแม้แต่น้อย สมาชิกทุกคนของสมาคมช่างหลอมก็มองดูแผ่นหลังของพวกเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจและรู้สึกได้ว่านี่คือจุดจบที่ดีที่สุดแล้ว
“นายน้อย…”
คนของฝ่ายมารต้องการรั้งเขาไว้ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าแววตามุ่งมั่นของเฉินซิน พวกเขาก็ไม่กล้าก้าวออกไปข้างหน้า
“อย่าดิ้นรนไปอีกเลย ขุมกำลังชั่วร้ายอย่างฝ่ายมารไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่แรก”
เฉินซินเดินตามเฉินโหยวออกไปและหยุดลงชั่วคราวก่อนหันกลับไปกล่าวกับคนของฝ่ายมาร จากนั้นเขาก็แตะแขนของเฉินโหยวและร่างของทั้งสองก็กะพริบหายไปท่ามกลางสายตาของทุกคน
หัวใจของเฉินซินในตอนนี้ผ่อนคลายลงมาก ในที่สุดเขาก็ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการที่เกี่ยวพันเขาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา…
สมาชิกฝ่ายมารในบริเวณนั้นก็นิ่งเงียบไปขณะมองไปยังทิศทางที่ทั้งสองหายไปและเริ่มเกิดความสับสนขึ้นมาในหัวใจ
“ทุกคน เราต่างก็ทราบดีว่าฝ่ายมารของเราเป็นขุมกำลังประเภทใด ผู้นำของเราใช้พลังที่เย้ยฟ้าท้าสวรรค์เพื่อเรียกกองทัพผีดิบออกมา วิญญาณเหล่านั้นตายไปนานแล้วทว่ากลับต้องมาเผชิญกับความทุกข์ทรมานอีกครั้ง ไม่เคยคิดเลยว่าท่านผู้นำจะทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้ได้ ข้าไม่อยากอยู่ร่วมกับขุมกำลังเช่นนี้อีกต่อไป”
ผู้อาวุโสสิบสองติงเหวินกล่าวเสียงดังฟังชัด เขาทราบแล้วว่าหานโม่ฉือที่อยู่กลางอากาศคือฉินฉือที่แฝงตัวเข้าไปในฐานทัพของฝ่ายมารและผูกมิตรกับพวกเขาก่อนหน้านี้
บัดนี้ฝ่ายมารตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างชัดเจนแล้วและจะพ่ายแพ้ในอีกไม่ช้า ก่อนหน้านี้เขาและอีกหลายคนก็คิดลังเลใจมาตลอดว่าควรอยู่ร่วมกับขุมกำลังนี้ต่อไปหรือไม่ ทว่าตอนนี้ถึงคราวที่พวกเขาต้องตัดสินใจอย่างจริงจังเสียที สำหรับขุมกำลังที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมเช่นนี้ พวกเขาไม่ต้องการอยู่ร่วมอีกต่อไป
“ใช่แล้ว สิ่งที่ผู้นำทำจะถูกลงทัณฑ์โดยสวรรค์เบื้องบน ทุกคนควรถอนตัวจากฝ่ายมารและหยุดทำสิ่งชั่วร้ายเพื่อท่านผู้นำเสียที”
หม่าเฟยกล่าวเสริมด้วยความรู้สึกโล่งใจอยู่ลึก ๆ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่กับฝ่ายมารอีกต่อไป การได้หลุดพ้นจากความมืดและพบกับทางสว่างเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างแท้จริง
“เหอะ คิดว่าหากเลือกยอมจำนนตอนนี้แล้วคนจากดินแดนเทพมายาจะปล่อยพวกเจ้าไปงั้นรึ ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายมารกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเมื่อสัมผัสได้ถึงความลังเลของสมาชิกหลายคน หากพวกเขาเหล่านี้ตัดสินใจแปรพักตร์จริง ฝ่ายมารก็ไม่มีโอกาสชนะได้อีกเลย
“ผู้อาวุโสใหญ่ สำหรับคนจิตใจชั่วอย่างท่าน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยให้ท่านรอดชีวิตไปได้แน่ เราเพียงทำตามคำสั่งที่ได้รับเท่านั้นและท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่เลวร้ายจนเกินไป ขุมกำลังของดินแดนเทพมายาล้วนเป็นคนเที่ยงธรรมและตรงไปตรงมาทั้งสิ้น ตราบใดที่เราไม่เป็นตั้งตัวเป็นศัตรูต่อพวกเขา เราก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก”
ติงเหวินไม่แสดงท่าทีนอบน้อมอีกต่อไปและกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสใหญ่
เขาเชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉือและมั่นใจว่าตราบใดที่สมาชิกของฝ่ายมารกลับใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในอนาคตพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติเฉกเช่นทุกคนในดินแดนเทพมายาโดยไม่ต้องกังวลหรือหวาดกลัวสิ่งใด…