ตอนที่ 734 ทำลายความชะงักงัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ร่างของเซิ่งเหยียนถูกปกคลุมไปด้วยพลังแห่งแสงที่ทรงพลังและพลังมายาในร่างกายของเขาก็ถูกดูดกลืนไปอย่างต่อเนื่องราวกับว่าจะแห้งเหือดไปในไม่กี่อึดใจ

เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเซิ่งเซียวจะมีพลังที่แกร่งกล้าเช่นนี้และไม่อยากเชื่อว่าตนจะเลี้ยงลูกเสือไว้ใกล้ตัวมาตลอด หากทราบว่าวันหนึ่งจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็คงสังหารเซิ่งเซียวด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาล่วงหน้า

“เซิ่งเซียว ข้าคืออาของเจ้า เจ้าคิดจะฆ่าข้าจริง ๆ งั้นรึ ?”

หลังจากพยายามต้านทานพลังมหาศาลหลายครา เขาก็ไม่สามารถทะลวงออกไปจากพลังของเซิ่งเซียวที่ยับยั้งเขาไว้ แววตาของเซิ่งเหยียนในตอนนี้ฉายแววความตื่นตระหนกและกล่าวออกไปอย่างกังวลใจ

“เหอะ อาของข้า…นับตั้งแต่ที่เจ้าฆ่าพ่อแม่ของข้า ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของเราก็ถูกตัดขาดไปแล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าก็อุทิศทั้งชีวิตของข้าเพียงเพื่อการล้างแค้นให้กับพวกเขาเท่านั้น !”

เซิ่งเซียวแค่นเสียงในลำคอและไม่คิดที่จะยั้งมือแม้แต่น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นฝันร้ายสำหรับชีวิตของเขา เซิ่งเหยียนผู้นี้สังหารบิดามารดาของเขาไปอย่างเลือดเย็นและไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตั้งมั่นที่จะชำระความแค้นนี้ให้จงได้

“ตายเสียเถอะ !”

ด้วยประโยคสั้น ๆ พลังมหาศาลนั้นก็แกร่งกล้าขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาก็พุ่งตรงออกไปแทงทะลุร่างของเซิ่งเหยียน

“อ๊ากกก !”

เซิ่งเหยียนส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์แทงทะลุหัวใจของเขาและพลังทั้งหมดในร่างก็สลายหายไปทันที

“เซิ่งเซียว หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่มีทางเลี้ยงดูลูกเสืออย่างเจ้าและปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสฆ่าข้าเช่นนี้ !”

หลังจากกล่าวอย่างรู้สึกผิด ร่างของเซิ่งเหยียนก็ทรุดลงไปกับพื้นและพลังชีวิตทั้งหมดของเขาก็ดับมอดไป

“ท่านจ้าวอาราม !”

เหล่าผู้ที่ยังสนับสนุนเซิ่งเหยียนอุทานออกมาด้วยความตกใจและการเคลื่อนไหวของพวกเขาเริ่มวอกแวกไม่มีจังหวะ พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าเซิ่งเซียวจะสังหารเซิ่งเหยียนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ในเวลานี้เซิ่งเซียวมีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดแล้วและสามารถกวาดล้างพวกเขาทุกคนได้เช่นกัน แล้วพวกเขาจะดิ้นรนต่อสู้ไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน ?

“ยอมจำนนซะ มิฉะนั้นข้าจะสังหารพวกเจ้าอย่างไม่ปรานีแน่ !”

เซิ่งเซียวกวาดสายตามองสมาชิกอารามโชติช่วงทุกคนที่ยังมีชีวิตและกล่าวขึ้นเบา ๆ ขณะแผ่แรงกดดันออกไปกดข่มคนเหล่านั้น

“คารวะท่านจ้าวอารามคนใหม่ !”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี คนเหล่านั้นที่ยังคงภักดีต่อเซิ่งเหยียนเมื่อครู่นี้ก็รีบคุกเข่าลงและกล่าวกับเซิ่งเซียวอย่างเคารพ

เซิ่งเซียวเพียงยกยิ้มมุมปากก่อนตรงเข้าไปปรากฏตัวข้างอู่เทียนฉิง

“ท่านผู้นำวิหาร เหตุใดเราไม่ไปช่วยพวกเขากันล่ะ?”

เขาประสานกำปั้นเข้าด้วยกันตรงหน้าอู่เทียนฉิงและชี้ไปทางฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวออกมาโดยตรง ตอนนี้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือฮวาเฉินจากฝ่ายมาร ในเมื่อเซิ่งเหยียนเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว พวกเขาก็มีโอกาสที่จะเข้าไปสมทบเพื่อช่วยอีกแรงได้

“เป็นความคิดที่ดี ที่ผ่านมาวิหารทมิฬของเราและอารามโชติช่วงเป็นปฏิปักษ์กันมาตลอด ครานี้ข้าอยากให้เราได้กลายเป็นพันธมิตรกันเสียที !”

อู่เทียนฉิงตบไหล่เซิ่งเซียวเบา ๆ และรู้สึกถูกชะตากับบุรุษหนุ่มผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ การที่เขาได้ขึ้นกลายเป็นจ้าวอารามโชติช่วงคนใหม่ เชื่อว่าอารามโชติช่วงจะเปลี่ยนจากหลังมือกลายเป็นหน้ามืออย่างแน่นอน

“แน่นอน ในอนาคตข้างหน้า เราจะช่วยกันจับตาดูความเรียบร้อยและปกป้องดินแดนเทพมายาด้วยกัน !”

เซิ่งเซียวพยักศีรษะอย่างหนักแน่น จากนั้นทั้งสองก็พุ่งตรงเข้าไปปรากฏตัวข้างกายของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ

“เซิ่งเซียว ข้าคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าท่านมิใช่บุรุษธรรมดาทั่วไปและหวังที่จะได้ร่วมมือกันมานานแล้ว ในที่สุดความคาดหวังนั้นก็เป็นจริงเสียที”

ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายเซิ่งเซียวก่อนและไม่ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อเขา

“อะแฮ่ม ! หานโม่ฉือยังอยู่ตรงนั้น อย่าแสดงท่าทีชื่นชอบข้ามากนักเลย เขาอาจจะหึงหวงเอาได้”

เซิ่งเซียวกระแอมเล็กน้อยและกล่าวติดตลกก่อนเข้าร่วมการต่อสู้อย่างไม่ลังเล

อู่เทียนฉิงก็ยิ้มออกมาบาง ๆ เช่นกัน ทว่าเขาก็ไม่เข้าใจโลกของคนหนุ่มสาวเท่าใดนัก เขาเพียงหยิบอาวุธของตนออกมาและเข้าร่วมการประจันหน้ากับฮวาเฉิน

ตูมมม !

ในอีกฟากหนึ่งของสมรภูมิรบ การโจมตีของอวิ๋นซื่อเทียนก็กระทบเข้ากับร่างของหลงเทียนเฉียงอีกครั้งซึ่งทำให้เขาได้รับบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น

“บัดซบ ! นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นนี้ !”

หลงเทียนเฉียงตะโกนกร้าวด้วยความโมโหและจ้องหน้าอวิ๋นซื่อเทียนตาเขม็ง น้ำเสียงของเขาแสดงถึงจิตสังหารอย่างรุนแรงทว่าใบหน้ากลับแสดงถึงความสิ้นหวังจนปัญญา

กล่าวได้ว่าอวิ๋นซื่อเทียนผู้นี้คือคู่ต่อสู้ที่แกร่งกล้าที่สุดที่เขาเคยประจันหน้ามา นางไม่เพียงแต่ทรงพลังมากเท่านั้น ทว่ายังมีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนและอาวุธประหลาดมากมายที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

“ฮ่า ๆ ๆ คิดว่าข้าต้องการจะทำให้เจ้าบาดเจ็บสาหัสเพียงเท่านั้นรึ ?”

อวิ๋นซื่อเทียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่หอกยาวจะปรากฏในมือของนางอย่างกะทันหัน นี่คืออาวุธที่ล้ำค่าที่สุดของนาง—หอกอสนีบาต

แม้หลายคนจะทราบดีว่าอวิ๋นซื่อเทียนทั้งทรงพลังและประหลาดเกินคาดเดา รวมถึงทราบว่านางมีวิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะทราบว่าวิชาที่แกร่งกล้าที่สุดของนางคือวิชาหอก

“วิชาหอกอสนีบาตทะลวงฟ้า!”

อวิ๋นซื่อเทียนตะโกนขึ้นเบา ๆ และหอกในมือของนางก็เปลี่ยนกลายเป็นมังกรสายฟ้าทรงพลังที่พุ่งตรงเข้าหาหลงเทียนเฉียง

เมื่อหอกยาวพุ่งทะลวงอากาศ เสียงสายฟ้าดังสนั่นก็ปะทุขึ้นมาซึ่งทำให้ผู้คนสั่นสะท้านได้ง่าย ๆ

“เกราะมังกร !”

หลงเทียนเฉียงทำได้เพียงควบแน่นเกราะป้องกันขึ้นมาเพื่อต้านทานแรงโจมตีอันทรงพลังจากอวิ๋นซื่อเทียน

เคร๊ง !

ด้วยเสียงกระทบที่ดังขึ้นมา การโจมตีจากอวิ๋นซื่อเทียนก็ทะลวงผ่านเกราะมังกรของหลงเทียนเฉียงจนแตกกระจายออกไป และก่อนที่เขาจะตอบสนองได้ทัน จ้าวนิกายหงส์มังกรก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงที่ทิ่มแทง ทว่านั่นก็เป็นเพราะว่าหอกอสนีบาตได้แทงทะลุกะโหลกศีรษะของเขาไปแล้ว

“ข้า…”

ก่อนที่จะได้กล่าวอะไรทิ้งท้าย พลังชีวิตของเขาก็มอดดับไปโดยที่ร่างกายของเขาก็กลับคืนร่างเดิมเช่นกัน

“จิ๊จิ๊ หากต้องการจะกล่าวทิ้งท้ายอะไรก็ควรจะรีบกว่านี้ !”

อวิ๋นซื่อเทียนก้าวออกมาเหยียบเท้าของหลงเทียนเฉียงและกล่าวขึ้นเบา ๆ

เหล่าสมาชิกนครเวหาที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นและได้ยินวาจาของอวิ๋นซื่อเทียนก็อดที่จะหัวเราะกันออกมาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การหัวเราะเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาเสียจังหวะการต่อสู้ไปและเกือบที่จะได้รับบาดเจ็บจากคนของฝ่ายนิกายหงส์มังกร

“อะไรกัน ผู้นำของพวกเจ้าตายไปแล้ว พวกเจ้ายังดื้อด้านที่จะสู้ต่อไปอีกรึ ?”

อวิ๋นซื่อเทียนกวาดสายตามองเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของนิกายหงส์มังกรพร้อมกวัดแกว่งหอกเล่มยาวในมือไปมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่

“เรายอมจำนน เรายอมจำนนแล้ว !”

บรรดาศิษย์ของนิกายคุกเข่าลงทันทีและกล่าวแสดงความจำนน พวกเขาทราบดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของตน ต่อให้รวมพลังกันก็ไม่สามารถต้านทานพลังของหอกอสนีบาตนั่นได้และจะถูกกำจัดไปได้อย่างง่ายดาย แม้แต่จ้าวนิกายผู้ที่มีร่างกายแกร่งกล้าเช่นนั้นก็ยังเพลี่ยงพล้ำและถูกแทงทะลุไปง่าย ๆ เกรงว่าพวกเขาก็คงไม่รอดพ้นเช่นกัน

“ไปช่วยนครล่าฝันจัดการกับพวกฝ่ายมารกันเถอะ”

หลังจากออกคำสั่งอย่างชัดเจน อวิ๋นซื่อเทียนก็ตรงไปหาฉินอวี้โม่และเข้าร่วมโจมตีฮวาเฉินอีกแรง

ในขณะเดียวกัน การต่อสู้ของหลี่อีหรานก็ดำเนินมาถึงจุดจบ เรียกได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าจ้าวนครหมื่นอสูรมาตั้งแต่แรกแล้วและด้วยความสามารถอันแกร่งกล้าร่วมกับกระบวนท่าเพลงกระบี่อีกนับร้อย สุดท้ายเขาก็สังหารจ้าวนครหมื่นอสูรได้สำเร็จก่อนไปเข้าร่วมกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เช่นกัน

ขุมกำลังอื่น ๆ ก็ร่วมมือกันและปลดปล่อยการโจมตีใส่ขุมกำลังมารร้ายและกองทัพผีดิบของพวกเขา ไม่นานนัก สถานการณ์ที่เคยเสียเปรียบของดินแดนเทพมายาก็พลิกกลับมาอีกครั้ง

เวลานี้ทั้งสมรภูมิเหลือการต่อสู้เพียงสามจุดเท่านั้น

จุดแรกก็คือจุดที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ล้อมรอบโจมตีฮวาเฉินและจุดที่สองก็คือจุดที่คนอื่น ๆ กำลังต่อสู้กับกองทัพผีดิบและกองกำลังของฝ่ายมาร ส่วนจุดสุดท้ายก็คือการต่อสู้ระหว่างเฉินโหยวและเฉินซิน

แม้สมาคมช่างหลอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าด้วยคำสั่งของเฉินซินก่อนหน้านี้ คนของฝ่ายมารจึงไม่กล้าสังหารพวกเขาและสถานการณ์ก็ตกอยู่ในสภาวะจนมุมเป็นพักใหญ่

หลังจากที่สามขุมกำลังใหญ่ในฝ่ายของพวกเขาพ่ายแพ้ไป สมาชิกฝ่ายมารที่อยู่กับเฉินซินก็กระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด

“นายน้อย เราจะยั้งมืออีกไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นเราจะต้องแพ้แน่ !”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของฝ่ายมารกล่าวขึ้นจากด้านข้าง หากมิใช่เพราะคำสั่งของนายน้อยฝ่ายมารก่อนหน้านี้ เขาก็คงลงมือสังหารสมาชิกของสมาคมช่างหลอมด้วยตัวเองไปแล้ว

“หุบปาก !”

เฉินซินทราบดีว่าสถานการณ์ของฝ่ายมารในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ทว่าเขาไม่มีความคิดที่จะสังหารคนเหล่านี้ เขามิใช่คนไร้ความกตัญญูรู้คุณคนและจำได้ดีว่าทุกคนในสมาคมช่างหลอมดีกับตนมากเพียงใด หากจะปล่อยให้คนเหล่านี้ถูกสังหารทั้งที่เขาสามารถห้ามได้ เฉินซินก็ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน !

“ไร้ประโยชน์ชะมัด หากเจ้าไม่ยอมสังหาร ถ้าเช่นนั้นข้าจะจัดการเอง !”

น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังของเฉินซินและเงาร่างทะมึนพุ่งตรงออกมาพร้อมกระบี่สีเข้มในมือที่จ้วงแทงตรงไปที่เฉินโหยวอย่างไม่ลังเล

เฉินโหยวและเฉินซินประมือกันพักใหญ่และทั้งสองฝ่ายสูญเสียพลังไปมากพอสมควรส่งผลให้ตอนนี้อยู่ในสภาพที่ไม่เต็มร้อยอีกต่อไป เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารแรงกล้า แม้ว่าจะต้องการหลบหลีกออกไป ทว่าเขาไม่อาจบังคับร่างกายให้ขยับเขยื้อนได้เลย

เมื่อเห็นกระบี่เล่มยาวพุ่งตรงเข้ามาหาตนและใกล้ถึงตัวเต็มที เฉินโหยวก็เพียงหลับตาลงอย่างหมดหนทางเท่านั้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ทว่าสุดท้ายเขาก็มิอาจทำใจสังหารศิษย์ที่อบรมสั่งสอนมาด้วยตัวเองได้

“ไม่นะ !”

ด้วยเสียงอุทานที่ดังขึ้น ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่จินตนาการไว้ เฉินโหยวก็ลืมตาขึ้นมาและพบกับใครคนหนึ่งที่เข้ามาขวางหน้าตนไว้และกระบี่เล่มยาวก็แทงทะลุร่างของคนผู้นั้น

“ซินเอ๋อร์ !”

สีหน้าของเฉินโหยวถอดสีทันทีที่เห็นคนตรงหน้า เขายื่นมือออกไปประคองร่างของเฉินซินที่กำลังทรุดลงทันที

“เจ้าขยะ !”

ในเวลานี้ ร่างของฮวาเหยียนอวี่ปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจนและนางคือผู้ที่ลงมือโจมตีเมื่อครู่นี้ นางซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดมาตั้งแต่ต้นด้วยหวังที่จะหาทางโอกาสลอบสังหารฉินอวี้โม่ทว่ากลับไม่พบโอกาสที่เหมาะสมเสียที และเมื่อมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังรวมตัวอยู่ใกล้ ๆ ฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อย ๆ นางก็ตระหนักดีว่าคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ทว่าเมื่อหันกลับมาเห็นสถานการณ์ของเฉินซินที่ยังลังเลอย่างเห็นได้ชัด นางจึงตรงเข้ามาและจัดการด้วยตัวเอง

ไม่คิดเลยว่าเฉินซินจะเข้าไปขวางคมกระบี่เพื่อช่วยเฉินโหยวไว้ ต้องกล่าวเลยว่ากระบี่ของฮวาเหยียนอวี่ก็มีพิษบางอย่างที่ถูกเคลือบไว้เช่นกัน และเมื่อสัมผัสมัน เป้าหมายจะต้องตายอย่างไม่มีทางเลือก

“ทะ…ท่านอาจารย์…ข้ารู้…ข้ารู้ว่าท่านผิดหวังในตัวข้า…”

เฉินซินเอนตัวลงในอ้อมแขนของเฉินโหยวและพลังชีวิตของเขาค่อย ๆ สลายไป เมื่อครู่นี้เขาไม่คิดลังเลแม้แต่น้อยและตรงเข้าไปขวางคมกระบี่ให้กับท่านอาจารย์ที่เคารพในทันที เหตุผลของเขาก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือในหัวใจของเขา เฉินโหยวเปรียบเสมือนบิดาที่แท้จริง ความรู้สึกและความผูกพันที่เขามีต่อเฉินโหยวและสมาคมช่างหลอมลึกซึ้งยิ่งกว่าความสัมพันธ์ที่เขามีต่อฝ่ายมารเสียอีก

แรกเริ่มเดิมที เขาถูกส่งตัวไปที่สมาคมช่างหลอมตั้งแต่ยังเด็กมากและมีพรสวรรค์เพียงน้อยนิด เขาไปที่สมาคมช่างหลอมเพื่อแฝงตัวอยู่ที่นั่นและถูกรังแกอย่างน่าเวทนา ทว่าเฉินโหยวคือผู้ที่พบตัวเขาและสั่งสอนบทเรียนให้กับกลุ่มคนที่รังแกเขาก่อนรับเขาเป็นศิษย์ใกล้ชิดและให้การอบรมบ่มวิชาเป็นอย่างดีมาตลอด

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉินโหยวดีกับเขาอย่างมากและทั้งสองก็ผูกพันกันอย่างแท้จริง เฉินโหยวไม่มีทายาทใดๆและแม้เฉินซินจะเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ ทว่าบุรุษหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงความรักของบิดาที่ไม่เคยได้รับจากฮวาเฉินด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ที่เขาทรยศหักหลังสมาคมช่างหลอมและได้ทำร้ายผู้คนมากมาย เฉินซินก็รู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อได้ประจันหน้ากับเฉินโหยวในครานี้ ความรู้สึกในหัวใจของเขาก็ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม แม้ด้วยจุดยืนที่แตกต่างกันคนละขั้ว เขาก็เลือกที่จะปกป้องและรับคมกระบี่แทนเฉินโหยวด้วยความยินดีและโล่งใจไปพร้อม ๆ กัน

“ท่านอาจารย์…ในหัวใจของข้า…ท่านจะเป็นอาจารย์ของข้าตลอดไป ทว่าข้าก็ต้องทำหน้าที่ตอบแทนผู้ให้กำเนิดและตัวตนนี้มิใช่ทางเลือกของข้า ข้าทำผิดต่อสมาคมช่างหลอมและการที่ท่านจะผิดหวังในตัวข้าก็เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ข้าไม่หวังว่าท่านจะให้อภัย…เพียงแต่ข้าก็ไม่อาจทนต่อความรู้สึกผิดได้อีกต่อไป…”

เสียงของเฉินซินอ่อนแอและเบาลงเรื่อย ๆ ทว่าสีหน้ากลับแสดงถึงความโล่งใจอย่างชัดเจน มันคือความโล่งใจที่ได้ตายเพื่อปกป้องคนที่เขาเคารพรักมากที่สุด