ฮวาเฉินเรียกกองทัพผีดิบออกมาและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในสมรภูมิรบในทันที จากเดิมที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอย่างเท่าเทียม ความได้เปรียบก็ค่อย ๆ เอนเอียงไปทางขุมกำลังมารร้าย
แม้ฉินอวี้โม่เรียกกองทัพอสูรมายาของตนออกมารับมือ มันก็ยังไม่สามารถเอาชนะกองทัพผีดิบเหล่านั้นได้
ข้อได้เปรียบของกองทัพผีดิบก็ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว นั่นคือพวกมันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดและไม่มีจิตสำนึกหรือความรู้สึกใด ๆ เว้นแต่ว่าพวกมันจะถูกทำลายไปอย่างสิ้นซาก กองทัพผีดิบก็จะเดินหน้าต่อสู้ไปตลอดกาลโดยที่ความสามารถในการต่อสู้ไม่ลดน้อยลงแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ปิดบังความแข็งแกร่งของตนอีกต่อไปและปลดปล่อยพลังออกไปอย่างเต็มพิกัดขณะกระหน่ำโจมตีฮวาเฉินอย่างไม่หยุดยั้ง
ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของบุปผาแห่งความมืด พลังของฮวาเฉินก็เพิ่มสูงขึ้นจนบรรลุขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว เดิมทีเขาเชื่อว่าตนจะสามารถเอาชนะฉินอวี้โม่ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะรับมือกับการโจมตีทั้งหมดของตนได้ด้วยการร่วมมือกันและในช่วงระยะหนึ่ง เขาก็ไม่มีหนทางเอาชนะจอมยุทธ์หนุ่มสาวคู่นี้ได้เลย
อย่างไรก็ตาม กองทัพผีดิบของเขาสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลให้กับกองกำลังฝ่ายดินแดนเทพมายาและการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็ดุเดือดรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ อวิ๋นซื่อเทียนก็ปลดปล่อยการโจมตีใส่หลงเทียนเฉียงอย่างไม่ยั้งมือโดยที่เขาทำได้เพียงตั้งรับการโจมตีเท่านั้น คาดว่าอีกเพียงหนึ่งก้านธูป การต่อสู้ระหว่างทั้งสองก็คงจะสิ้นสุดลง
จ้าวนครหมื่นอสูรก็ถือเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้นำขุมกำลังทั้งหมดและเขาสามารถต่อสู้กับหลี่อีหรานได้อย่างไม่เสียเปรียบในตอนต้น ทว่านั่นก็เปลี่ยนแปลงไปหลังจากปะทะกันนับร้อยกระบวนท่า
วิชากระบี่ของหลี่อีหรานทั้งยอดเยี่ยมและทรงพลังจนยากที่ผู้ใดจะป้องกันหรือหลบหลีกได้ อีกทั้งเขาก็มีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนอย่างมากและโจมตีจุดอ่อนของจ้าวนครหมื่นอสูรได้หลายคราส่งผลให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ท้ายที่สุดแล้วจ้าวนครหมื่นอสูรก็ทำได้เพียงหลบหลีกการโจมตีของหลี่อีหรานอย่างน่าเวทนาเพื่อถ่วงเวลาต่อไปเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกัน การต่อสู้ระหว่างอู่เทียนฉิงและเซิ่งเหยียนอยู่ในสถานการณ์ที่ชะงักงันมากที่สุด
ความแข็งแกร่งของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกันมาตลอดหลายปีและไม่มีฝ่ายใดเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้โดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ ธาตุพลังของทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อต้านซึ่งกันและกันส่งผลให้ยากที่จะหาผู้ชนะได้ในระยะสั้น ๆ
“อู่เทียนฉิง หากคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ละก็…เลิกฝันไปได้เลย !”
เซิ่งเหยียนเรียกสติกลับคืนมาหลังจากตกตะลึงเพราะระเบิดพลังมายาที่อวิ๋นซื่อเทียนโยนออกไปเมื่อครู่และสบตาตรงมาที่อู่เทียนฉิงอย่างยั่วยุ ขุมกำลังของพวกเขามีปัญหาบาดหมางกันมาตลอดเวลายาวนานกว่าพันปีและไม่เคยตัดสินผลแพ้ชนะกันได้ แม้แต่ครานี้ก็ยังยากที่จะบอกได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ จนกระทั่งเมื่อการต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่และฮวาเฉินสิ้นสุดลงเท่านั้นที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ทราบถึงผลแพ้ชนะ
“โอ้ ข้าไม่คิดจะเอาชนะเจ้าหรอก !”
อู่เทียนฉิงกล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ สิ่งเดียวที่เขาต้องการทำในตอนนี้คือถ่วงเวลาเท่านั้น ทุกคนเข้าใจตรงกันดีว่าการประจันหน้าระหว่างฉินอวี้โม่และฮวาเฉินคือตัวกำหนดผลลัพธ์ของสงครามชี้ชะตาครานี้ ไม่ว่าใครในทั้งสองเป็นผู้ชนะ นั่นก็หมายถึงชัยชนะของเหล่าขุมกำลังพันธมิตรเช่นกัน
“เขาอาจจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่ข้าทำได้ !”
น้ำเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังของเซิ่งเหยียน จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนถึงกับต้องกระอักเลือดคำโตออกมา
“เซียวเอ๋อร์ เจ้า…”
เมื่อหันหลังไป เขาก็พบว่าคนที่ทำร้ายตนจนบาดเจ็บก็คือเซิ่งเซียว—โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามโชติช่วงผู้ซึ่งต่อสู้กับเหล่าผู้อาวุโสของวิหารทมิฬอยู่ก่อนหน้านี้
“เหอะ คาดไม่ถึงเลยสินะ…”
เซิ่งเซียวพยักศีรษะให้กับอู่เทียนฉิงก่อนหันกลับมาสบตากับเซิ่งเหยียนที่ชะงักนิ่งด้วยความตกตะลึงและแสยะยิ้มเย้ยหยัน
“ทำไมกัน…?”
เซิ่งเหยียนสบตาเซิ่งเซียวด้วยความไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขามั่นใจว่าตนดีกับเซิ่งเซียวมาเสมอ แล้วเหตุใดบุรุษหนุ่มจึงลอบโจมตีเขาในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ?
“เจ้าปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตได้อย่างแนบเนียนจริง ๆ อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่มีกำแพงใดที่ไร้ช่อง คิดว่าเมื่อทราบความจริงเรื่องนั้นแล้วข้าจะยังซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ ?”
น้ำเสียงของเซิ่งเซียวฟังดูถากถางอย่างชัดเจนและแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารแรงกล้าโดยที่ไม่มีความเรียบเฉยเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาแอบสืบสาวความเป็นไปเป็นมาของเรื่องนั้นมาเสมอ เมื่อเซิ่งเหยียนสืบทอดตำแหน่งจ้าวอาราม ในตอนนั้นเซิ่งเซียวก็ยังเด็กมากและจำอะไรไม่ได้มากนัก ทว่าในความทรงจำของเขาคือบิดามารดารักเขาเป็นอย่างยิ่งและบิดาของเขาก็ไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิดต่อผู้เป็นน้องชายอย่างเซิ่งเหยียน
เกรงว่าแม้แต่ก่อนตาย บิดามารดาของเซิ่งเซียวก็คงมิอาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดเซิ่งเหยียนจึงคิดทำร้ายพวกเขาเช่นนั้น
“เซิ่งเซียว เจ้ารู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตจริง ๆ หรือ ? ใช่…ข้าเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของเจ้าจริง ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ายังดีกับเจ้าไม่พอหรือ ? มันไม่เพียงพอที่จะชดเชยให้กับสิ่งที่ข้าทำลงไปอย่างนั้นหรือ ?”
เซิ่งเหยียนมองเซิ่งเซียวด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจ ต้องกล่าวเลยว่าเขาเลี้ยงดูเซิ่งเซียวเสมือนเป็นบิดาคนหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาและไม่เคยปฏิบัติสิ่งใดที่ผิดต่อเซิ่งเซียว ไม่คิดเลยว่าเซิ่งเซียวจะโหดเหี้ยมถึงขั้นคิดสังหารตนเช่นนี้
“โอ้ งั้นรึ ? สำหรับการทำดีกับข้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างน่าขันยิ่งนักที่เจ้าคิดว่ามันจะชดเชยความผิดในอดีตได้”
เซิ่งเซียวยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าวต่อ “เซิ่งเหยียน หากข้าสังหารพ่อแม่ของเจ้าและนำเจ้ามาอบรมเลี้ยงดูรวมถึงให้การศึกษาเป็นอย่างดี เจ้าจะนับถือโจรเป็นพ่อเจ้ารึ ?”
*认贼作父 นับถือโจรเป็นพ่อ อุปมา รับใช้สมคบคนเลวทำเรื่องชั่วร้าย
เซิ่งเหยียนยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวและใบหน้าของเขาแข็งทื่อไปทันที
“ยิ่งไปกว่านั้น อย่าคิดว่าข้าไม่รู้สาเหตุที่เจ้าดีกับข้ามาตลอด !”
เห็นได้ชัดว่าเซิ่งเซียวทราบความจริงทุกอย่าง สาเหตุที่เซิ่งเหยียนดีกับเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นเพราะผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน หลายคนในอารามโชติช่วงไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและมีเพียงน้อยคนที่สนับสนุนให้เขารับช่วงต่อตำแหน่งจ้าวอาราม หากมิใช่เพราะเขาให้คำมั่นว่าจะเลี้ยงดูเซิ่งเซียวเป็นอย่างดี เกรงว่าเขาคงไม่ได้รับสืบทอดตำแหน่งจ้าวอารามโชติช่วงอย่างแน่นอน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ภายนอกดูเหมือนว่าเขาดีกับเซิ่งเซียวอย่างแท้จริง ทว่าเขาก็แอบทำหลายสิ่งหลายอย่างอยู่เบื้องหลังเช่นกัน
เขาเริ่มจากการกำจัดผู้อาวุโสที่ไม่สนับสนุนตนไปทีละคนและปิดบังหลายสิ่งหลายอย่างจากเซิ่งเซียว แม้แต่วิชาลับเฉพาะของอารามโชติช่วง เขาก็ไม่เคยถ่ายทอดให้กับเซิ่งเซียวที่เป็นทั้งหลานชายของเขาและโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งอาราม มิฉะนั้น ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นของเซิ่งเซียว เกรงว่าเขาคงจะเหนือกว่าเซิ่งเหยียนไปแล้ว
“ท่านจอมยุทธ์ ไม่ทราบว่าจะให้ข้าได้เป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้หรือไม่ ?”
เซิ่งเซียวยกกำปั้นประกบกันตรงหน้าอู่เทียนฉิงและแสดงความต้องการที่จะสะสางความแค้นนี้ด้วยตัวเอง
“เชิญเจ้าตามสบาย”
อู่เทียนฉิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เนื่องจากพอจะทราบเรื่องนี้มาก่อน เขาจึงเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ในเมื่อเซิ่งเซียวแสดงตัวและเสนอที่จะจัดการกับเซิ่งเหยียนด้วยตนเอง เขาและคนอื่น ๆ ก็จะผ่อนคลายลงมาก
“ขอบคุณท่านมาก”
เซิ่งเซียวกล่าวขอบคุณอู่เทียนฉิงอย่างจริงใจก่อนกวาดสายตามองบรรดาศิษย์และผู้อาวุโสของอารามโชติช่วงพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ทุกคน พวกเราล้วนเป็นคนของดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารเป็นศัตรูของเรา สิ่งที่ฮวาเฉินต้องการมิใช่เพียงยึดอำนาจดินแดนนี้เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการกวาดล้างทุกชีวิตที่ไม่สนับสนุนเขา รวมถึงคนบริสุทธิ์อีกมากมาย หากทุกคนยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง จงมาร่วมมือกับข้าเพื่อจัดการกับคนชั่วเหล่านี้และอย่าร่วมมือกับพวกเขาอีกเด็ดขาด !”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าเช่นกัน เมื่อได้ทราบความจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เขาก็แอบวางแผนเตรียมความพร้อมมาเสมอ ปัจจุบันนี้มีสมาชิกของอารามจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนเขา ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบางคนที่ไม่สนับสนุนเซิ่งเหยียนมาตั้งแต่ต้นและรอดมาได้จนถึงตอนนี้
ทันทีที่สิ้นเสียงของเซิ่งเซียว หลายคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที สมาชิกอารามโชติช่วงหลายคนที่ยังคงต่อสู้กับวิหารทมิฬหันกลับไปและเริ่มโจมตีฝ่ายมาร คนส่วนใหญ่ไม่ทราบจุดประสงค์แท้จริงของฝ่ายมารทว่าการอยู่ในขุมกำลังที่แตกต่างกันทำให้พวกเขาตัดสินใจอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฉินอวี้โม่และพวก ตอนนี้ในเมื่อได้ยินวาจาของเซิ่งเซียว พวกเขาก็ไม่คิดที่จะอยู่เฉยและทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจิตสำนึกของตนอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังคงลังเล พวกเขาคือคนของอารามโชติช่วงและจงรักภักดีต่อเซิ่งเหยียนมาตลอด ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะเปลี่ยนใจหรือแปรพักตร์เป็นอื่นได้ในตอนนี้
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย เซิ่งเหยียนฆ่าบิดามารดาของข้าเพื่อรับช่วงต่อตำแหน่งจ้าวอาราม อารามโชติช่วงของเราภาคภูมิใจในแสงสว่างและความรุ่งโรจน์มาเสมอมิใช่รึ ? คนเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำของเราทุกคน อีกอย่าง…พวกท่านยินดีที่จะยอมจำนนต่อขุมกำลังชั่วร้ายอย่างฝ่ายมารจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นว่าหลายคนยังคงลังเลและไม่อาจตัดสินใจ เซิ่งเซียวก็กล่าวเสริมขึ้นมา
“โอรสแห่งอารามพูดถูก คนอย่างเซิ่งเหยียนไม่คู่ควรที่เราจะภักดีด้วยเลยสักนิด”
เหล่าผู้ที่ลังเลในตอนแรกค่อย ๆ เปลี่ยนจุดยืนของตน พวกเขาตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อแสดงการสนับสนุนต่อเซิ่งเซียวและปลดปล่อยการโจมตีตรงเข้าใส่ผู้ที่เข้าร่วมกับฝ่ายมาร
เซิ่งเซียวพยักศีรษะเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจก่อนที่สายตาของเขาหันกลับมามองที่เซิ่งเหยียน
“เซิ่งเหยียน อารามโชติช่วงในอดีตคืออารามที่เปี่ยมไปด้วยความโชติช่วงและความสว่างไสวที่แท้จริง ทว่าอารามในทุกวันนี้ต้องแปดเปื้อนมลทินไปเพราะเจ้า วันนี้ข้าจะทำการกำจัดเนื้อร้ายที่ใหญ่ที่สุดของอารามโชติช่วงด้วยตัวเอง !”
กระบี่ส่องประกายสว่างเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือของเขาก่อนชี้ตรงไปที่เซิ่งเหยียนโดยที่แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณนักสู้ที่ร้อนแรง
“กระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์ ! เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
เมื่อเห็นกระบี่เล่มยาวในมือของอีกฝ่าย สีหน้าของเซิ่งเหยียนก็แสดงถึงความตกใจสุดขีดและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่เชื่อระคนตื่นตระหนก
‘กระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์’ คือสมบัติล้ำค่าประจำอารามโชติช่วงและมีเพียงจ้าวอารามเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติถือครองมันได้
กระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเองและมักจะเลือกนายของมันเสมอ เขาเป็นจ้าวอารามมานานนับร้อยปีทว่ากระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้กลับไม่ยอมรับเขาเป็นนายของมัน เดิมทีเซิ่งเหยียนต้องการทำลายมันเสีย ทว่าก่อนที่จะได้ลงมือ กระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่คิดเลยว่ามันจะอยู่ในมือของเซิ่งเซียวผู้นี้
“เจ้าคิดว่าการที่ข้าเก็บตัวเงียบมาหลายปี ข้าทำไปเพื่ออะไร ?”
เซิ่งเซียวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุที่เขาไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวใด ๆ ก็เพื่อรอให้โอกาสนี้มาถึง และในสงครามครานี้ ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสชำระความแค้นที่เก็บมานานเสียที
“เหอะ ก็ลองดู ! การที่บิดามารดาของเจ้าก็ยังมิใช่คู่มือของข้า คิดว่าเจ้าจะเป็นคู่มือให้กับข้าได้รึ ?!”
เซิ่งเหยียนแค่นเสียงและเรียกสติคืนกลับมาพร้อมแสดงสีหน้าทะนงตนเช่นเดิม แม้เซิ่งเซียวจะมีกระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์ของอารามอยู่ในมือ บุรุษหนุ่มก็อาจจะแสดงศักยภาพของมันออกมาไม่ได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น เซิ่งเหยียนไม่เคยถ่ายทอดวิชาลับเฉพาะของอารามให้กับเซิ่งเซียวมาก่อนและเขาเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเซิ่งเซียวเพียงอย่างเดียวไม่มากพอที่จะเอาชนะตนอย่างแน่นอน
“หากฝีมือของเจ้าเก่งกาจได้ครึ่งหนึ่งของฝีปาก เจ้าคงจะกลายเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของดินแดนไปนานแล้ว !”
เซิ่งเซียวแสยะยิ้มเหยียดหยามก่อนกระบี่ในมือของเขาแทงตรงที่ร่างของเซิ่งเหยียน เวลานี้ทั้งร่างของเขาปกคลุมไปด้วยคลื่นพลังสว่างไสวและเจิดจ้าจนผู้คนไม่อาจมองเข้ามาตรง ๆ ได้
“อะไรกัน ?!”
เซิ่งเหยียนตกใจสุดขีดและความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมที่เรียกกลับคืนมาก่อนหน้านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
เหตุใดเซิ่งเซียวถึงได้มีพลังแห่งแสงที่บริสุทธิ์เช่นนี้ได้ ? และพลังแห่งแสงนี้ก็เหมือนจะยับยั้งพลังมายาภายในร่างกายของเขาเช่นกัน…
“อย่าคิดว่าการที่เจ้าไม่ถ่ายทอดให้ข้า…แล้วข้าจะหาทางฝึกมันเองไม่ได้ !”
เซิ่งเซียวเลิกคิ้วเล็กน้อยและคาดเดาความคิดของเซิ่งเหยียนได้ทันที
ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ทราบเกี่ยวกับวิชาลับเฉพาะของอารามมาก่อนจริง ๆ ทว่าหลังจากที่เข้าไปในพื้นที่ลับของอารามโชติช่วงเมื่อห้าปีก่อน เขาก็ได้โอกาสสำคัญซึ่งมิใช่เพียงแต่ได้พบกับกระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ทว่ายังรวมถึงวิชาลับเฉพาะของอารามโชติช่วงด้วยเช่นกัน ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เขาก็แอบฝึกมันอย่างลับ ๆ และเพิ่งจะบรรลุผลสำเร็จเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
ตูมมม !
พลังมหาศาลครอบงำร่างของเซิ่งเหยียนทันทีและค่อย ๆ กลืนกินพลังชีวิตของเขาไป…