กลางอากาศเหนือสมรภูมิรบ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังประจันหน้ากับฮวาเฉินโดยระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งและไม่รีบร้อนลงมือ ทั้งสองฝ่ายทราบสิ่งหนึ่งเป็นอย่างดี…การต่อสู้ของพวกตนจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์สุดท้ายของสงครามครานี้
“ฮวาเฉิน หากเหยียนเอ๋อร์อยู่ที่นี่ คิดว่าเจ้าจะมีโอกาสพูดจาไร้สาระอะไรอีกงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าพลังอำนาจของฉินเฟยเหยียนในตอนนี้เหนือจินตนาการของพวกนางไปมากแล้ว หากนางมาที่นี่ได้ ฮวาเฉินอาจรับมือกับกระบวนท่าเดียวของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ
“อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีเหยียนเอ๋อร์ เจ้าก็ยังมิใช่คู่มือของพวกข้าอยู่ดี เมื่อพันปีก่อน ข้าทำให้เจ้าบาดเจ็บสาหัสจนปางตายได้ ครานี้ข้าจะทำให้เจ้าหายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิง !”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยความมั่นใจ หากเทียบกับเมื่อพันปีก่อน เรียกได้ว่านางพัฒนาขึ้นมาก ในการตัดสินใจประจันหน้ากับฝ่ายมารครานี้ นางวางแผนไว้แล้วว่าจะต้องกำจัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตให้สิ้นซากเสียที
“ยโสโอหังยิ่งนัก เมื่อพันปีก่อน จิตวิญญาณของเจ้าอาจจะรอดพ้นไปได้ ทว่าครานี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีทางได้เกิดใหม่อีกเลย !”
ฮวาเฉินแสยะยิ้มและบุปผาสีดำลึกลับก็ปรากฏตรงหน้าเขา ภายในเวลาเพียงครู่เดียว พลังงานของมันก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของฮวาเฉินจนฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของฮวาเฉินพัฒนาเพิ่มขึ้นทันที เดิมทีความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดทว่าตอนนี้นางไม่อาจสัมผัสถึงมันได้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกต่อไป
“เหอะ ระดับพลังในดินแดนนี้ถูกจำกัดไว้จริง แต่ก็ใช่ว่าจะทะลวงพลังไปไม่ได้”
เขากล่าวออกมาเบา ๆ นี่คือไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮวาเฉิน ด้วยความช่วยเหลือจากบุปผาแห่งความมืด พลังของเขาจะสามารถพัฒนาไปถึงขีดจำกัดและกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนนี้ได้
“วันนี้ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าได้เห็นถึงพลังของขอบเขตราชาเซียน !”
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว เขาก็ตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างรวดเร็ว
พลังมายาปริมาณมหาศาลแผ่ออกจากร่างของฮวาเฉินและเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่ยาวที่แทงตรงไปที่ร่างของฉินอวี้โม่
“ฮวาเฉิน นี่คือพลังในขอบเขตราชาเซียนที่เจ้ากล่าวถึงงั้นรึ ? มันไม่น่าตลกไปหน่อยหรือ”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไป นางคาดการณ์สถานการณ์ทำนองนี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือของพลังจากบุปผาแห่งความมืด ไม่ยากเลยที่ฮวาเฉินจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวได้ แม้ว่าพลังในขอบเขตราชาเซียนจะแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากเป็นเพียงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว การร่วมมือกันของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็จะรับมือกับมันได้ไม่ยากนัก
ทั้งสองก็มองหน้ากันก่อนปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาเพื่อต่อสู้กับผู้นำฝ่ายมารได้อย่างเต็มที่
พลังของบุปผาแห่งความมืดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณก็คอยเติมเต็มพลังงานให้กับจอมยุทธ์ฝ่ายมารอย่างต่อเนื่องในขณะที่ดูดกลืนพลังงานของฝ่ายดินแดนเทพมายาไปเช่นกัน
เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และภายในชั่วพริบตา สงครามก็ดำเนินมากว่าสองก้านธูปแล้ว
สภาวะชะงักงันในช่วงแรกค่อย ๆ ถูกทำลายและการต่อสู้ในหลายจุดเริ่มแสดงผลที่ชัดเจนมากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในจุดแรกก็คือจุดของอวิ๋นซื่อเทียน
ความแข็งแกร่งของหลงเทียนเฉียงและอวิ๋นซื่อเทียนอยู่ระดับไล่เลี่ยกัน เพราะฉะนั้นทั้งสองจึงต่อสู้กันอย่างสมน้ำสมเนื้อในตอนแรก ทว่าหลังจากต่อสู้กันไปพักหนึ่ง สิ่งประดิษฐ์มากมายของอวิ๋นซื่อเทียนก็เริ่มปรากฏออกมา นางหยิบสิ่งหลอมของตนออกมาใช้อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่หลงเทียนเฉียงจะป้องกันพวกมันทั้งหมดได้ จากการต่อสู้ที่ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบในตอนแรก ในที่สุดก็กลายเป็นหลงเทียนเฉียงที่ตกเป็นรองไปอย่างรวดเร็ว
“ของพวกนี้คืออะไรกัน ?”
เขาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงุนงงขณะมองอวิ๋นซื่อเทียนด้วยสายตาที่หวาดหวั่น นักประดิษฐ์เล่นแร่แปรธาตุเป็นอาชีพที่พบได้ยากอย่างยิ่งในดินแดนนี้ นอกเหนือจากอวิ๋นซื่อเทียนก็มีเพียงฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงเท่านั้นที่เข้าใจจุดประสงค์และการใช้งานของสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีสายเลือดของเผ่ามังกรและสามารถแปลงร่างเป็นมังกรได้มิใช่รึ ? ไหนล่ะ แสดงให้ข้าได้เห็นหน่อยเถอะว่าเจ้าแปลงกายได้จริงรึไม่”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงยั่วยุไม่เปลี่ยนแปลง หลงเทียนเฉียง—จ้าวนิกายหงส์มังกรมีสายเลือดของเผ่ามังกรไหลเวียนอยู่ในร่างและสามารถแปลงร่างเป็นมังกรได้ เมื่อใดที่เขาแปลงกาย พลังในการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างยิ่งซึ่งถือเป็นไพ่ตายที่เลื่องชื่อของเขาเลยก็ว่าได้
“ในเมื่อเจ้าอยากเห็นนัก ข้าก็จะทำตามความปรารถนาของเจ้า ฮ่า ๆ ๆ !”
หลงเทียนเฉียงหัวเราะอย่างภาคภูมิใจก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ไม่นานนัก ร่างของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์ นอกเหนือจากศีรษะที่ยังคงเหมือนเดิม ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นร่างมังกรที่ทรงพลัง แม้ความแข็งแกร่งภายนอกดูจะไม่พัฒนาเพิ่มขึ้นเท่าใดนัก ทว่าพลังการป้องกันก็เพิ่มขึ้นมากและยากที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำต่อคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน
“ในชีวิตนี้ ข้าไม่เคยฆ่ามังกรมาก่อน มังกรเก๊อย่างเจ้าจะได้กลายเป็นตัวแรก !”
อึดใจต่อมา อวิ๋นซื่อเทียนก็พุ่งตรงไปโจมตีหลงเทียนเฉียงทันที นางเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วและกระหน่ำโจมตีร่างกายขนาดใหญ่ของอีกฝ่ายจากรอบด้าน
“โอ้ งั้นรึ ? การแปลงร่างเป็นมังกรไม่เพียงแต่เพิ่มพลังป้องกันของข้าเท่านั้น ทว่ามันยังเพิ่มความเร็วและความแข็งแกร่งของข้าอีกด้วย ไม่มีทางที่เจ้าจะเอาชนะข้าด้วยความแข็งแกร่งนี้ อุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ พวกนั้นก็จะไม่มีผลต่อข้าแล้วเช่นกัน”
หลงเทียนเฉียงยิ้มอย่างเหยียดหยามและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม การกลายร่างเป็นมังกรช่วยให้เขาทรงพลังขึ้นมาก เมื่อเผชิญหน้ากับอวิ๋นซื่อเทียนในตอนนี้ แน่นอนว่าเขาไม่กังวลอีกต่อไป
“จริงรึ?”
อวิ๋นซื่อเทียนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนกล่าวสั้นๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ลองรับสิ่งนี้ดูเถิด”
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว ระเบิดพลังมายาในมือของนางก็ถูกโยนตรงเข้าใส่ร่างของหลงเทียนเฉียง
การแปลงร่างเป็นมังกรทำให้ร่างกายของหลงเทียนเฉียงมีขนาดใหญ่ขึ้นและยากที่ระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนจะพลาดเป้าได้ อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
ตูมมม !
เสียงดังสนั่นปะทุขึ้นเมื่อระเบิดพลังมายาระเบิดออกบนลำตัวของหลงเทียนเฉียง
จากนั้นร่างขนาดมหึมาของมังกรหัวมนุษย์ก็ร่วงดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็วดั่งวิหคปีกหัก
“รีบหลีกออกไปเร็วเข้า !”
อวิ๋นซื่อเทียนตะโกนเสียงดังและคนของนครเวหาที่เตรียมความพร้อมไว้แล้วก็ถอยออกไปไกลอย่างพร้อมเพรียงกันทันที ทว่าฝ่ายคนของนิกายหงส์มังกรจำนวนมากกลับตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ทันและถูกกระแทกโดยร่างขนาดมหึมาของหลงเทียนเฉียงที่ร่วงลงมาจนส่งผลให้เกิดการตายของหลายชีวิตและผู้บาดเจ็บอีกจำนวนไม่น้อย
“แค่ก ๆ แค่ก ๆ…”
หลงเทียนเฉียงไอออกมาเบา ๆ และลมหายใจอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
“วัตถุบ้านั่นคืออะไรกัน ?!”
พลังที่เผชิญเมื่อครู่ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก มันทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสโดยไม่ทันตั้งตัว เกรงว่าหากเป็นร่างมนุษย์ของเขา เขาก็อาจจะตายไปในชั่วพริบตา
“เป็นอย่างไรล่ะ ? อุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ ของข้ามีผลต่อเจ้าหรือไม่ ? ฮ่า ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจของอวิ๋นซื่อเทียนดังขึ้นในหูของเขา และหลงเทียนเฉียงก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจหลอกล่อให้เขากลายร่างเป็นมังกรเพื่อการโจมตีเมื่อครู่
นับตั้งแต่สืบทอดตำแหน่งจ้าวนิกายหงส์มังกร หลงเทียนเฉียงไม่เคยได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงเช่นครานี้มาก่อน หากมิใช่เพราะสายเลือดมังกรที่ช่วยให้เขาฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่าเขาคงสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้ว
ในเวลานี้ หลงเทียนเฉียงได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและทุกคนมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน พวกเขาหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่อวิ๋นซื่อเทียนโยนออกมาเมื่อครู่ แม้แต่หลงเทียนเฉียงในร่างมังกรทรงพลังก็ยังบาดเจ็บหนัก นับประสาอะไรกับพวกเขา
“เป็นอย่างไรล่ะ วัตถุนั่นน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยเลยใช่รึไม่ ?”
อู่เทียนฉิงยิ้มขณะกล่าวกับเซิ่งเหยียนซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของตนเองพลางคิดไตร่ตรองว่าควรจะให้คนตรงหน้าได้ลิ้มรสระเบิดพลังมายาของเขาด้วยหรือไม่
“เหตุใดพวกเจ้าจึงมีสิ่งของที่น่ากลัวพวกนั้น?”
เซิ่งเหยียนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสับสนขณะหัวใจเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา พลังของอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ นั่นแกร่งกล้ามากเกินไป หากอีกฝ่ายมีอุปกรณ์นั้นนับร้อยชิ้น ฝ่ายของเขาก็จะพ่ายแพ้ในสงครามครานี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าอยากรู้งั้นรึ ?”
พลังมายาของอู่เทียนฉิงเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่ยาวและพุ่งตรงไปที่หัวใจของเซิ่งเหยียนและกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ข้าไม่มีทางบอกเจ้าหรอก !”
เซิ่งเหยียนพยายามหลีกหนีขณะพลังมายาของเขาก่อตัวกลายเป็นอาวุธและป้องกันการโจมตีของอู่เทียนฉิงไว้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ
พลังของระเบิดพลังมายาดังกล่าวทำให้สมาชิกของฝ่ายมารทั้งหมดตกตะลึงและหวาดกลัวไปตาม ๆ กันและการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็เริ่มแย่ลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเสียสมาธิ หากสถานการณ์ยังคงดำเนินเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าฝ่ายของพวกเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในไม่ช้า
“เหอะ ก็แค่ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ พวกเจ้าจะกลัวอะไรกัน ?!”
ฮวาเฉินผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับฉินอวี้โม่ก็ตะโกนออกมาอย่างโมโห “ผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้เวลาเปิดม่านแล้ว… แสดงให้คนเหล่านี้ได้เห็นไพ่ตายที่แท้จริงของพวกเราฝ่ายมาร !”
หลังจากออกคำสั่ง เหล่าผู้อาวุโสหลายคนของฝ่ายมารที่ไม่ปรากฏตัวให้เห็นก่อนหน้านี้ก็ก้าวออกมาจากความว่างเปล่าอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นพวกเขาก็รวมตัวกันประจำตำแหน่งในลักษณะราวกับกำลังจัดเตรียมค่ายกลบางอย่าง
ท่ามกลางความว่างเปล่า จู่ ๆ ก็มีเสียงคลื่นบางอย่างดังขึ้นและพลังของบุปผาแห่งความมืดก็หลั่งไหลออกไปอย่างต่อเนื่องราวกับทำปฏิกิริยาตอบสนองกับเสียงเหล่านั้น
“ออกมาซะ หน่วยพิเศษของพวกเรา !”
ด้วยเสียงตะโกนของผู้อาวุโสใหญ่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ากลุ่มของผู้อาวุโสเหล่านั้นทันที
จากนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน
สิ่งมีชีวิตที่ก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไม่อาจเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้ด้วยซ้ำ ร่างของพวกมันไร้ซึ่งพลังชีวิตและมีเพียงกลิ่นอายแห่งความตายเท่านั้น ร่างของพวกมันทั้งหมดล้วนขาวซีดดั่งหิมะและผอมแห้งไม่ต่างจากกิ่งไม้บาง แม้ลืมตากว้างทว่าดวงตาของพวกมันก็ไร้ซึ่งประกายชีวิตใด ๆ กลุ่มพลังรุนแรงรายล้อมผู้มาใหม่เหล่านี้ราวกับต้องการจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
“แม่เจ้า! นั่นมันอะไรกัน ?!”
ท่ามกลางขุมกำลังฝ่ายดินแดนเทพมายา ใครคนหนึ่งอดอุทานออกไปไม่ได้ กลิ่นอายแห่งความตายที่แผ่ออกมาพิสูจน์ให้เห็นว่า ‘ผู้มาใหม่’ เหล่านี้ตายไปนานแล้ว ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดของฝ่ายมารซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“นี่คือพลังที่แท้จริงของบุปผาแห่งความมืดงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามอง ‘กองทัพผีดิบ’ จำนวนมหาศาลด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ต้องกล่าวเลยว่าบุปผาแห่งความมืดเป็นพฤกษาที่แปลกประหลาดเป็นที่สุด มันทำได้แม้กระทั่งเรียกวิญญาณที่ตายไปแล้วนับร้อยนับพันดวงมารวมตัวกันเพื่อประโยชน์ใช้งานของมัน
ไม่ต้องกล่าวถึงพลังของกองทัพประหลาดดังกล่าวเลยสักนิด แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดในดินแดนเทพมายาที่จะสามารถต้านทานได้
นี่คือกองทัพผีดิบที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดหรือกลัวตายใด ๆ เว้นแต่ว่าจะสามารถชำระล้างจิตวิญญาณของพวกมันได้ พวกมันก็จะต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายและจนกว่าจะสลายหายไป
“ฮวาเฉิน การใช้พลังที่ท้าทายอำนาจสวรรค์เช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่ามันจะเกิดผลร้ายในภายหลังรึ ?”
ฉินอวี้โม่เลิกคิ้วสูงและมองตรงไปที่ผู้นำฝ่ายมารด้วยจิตสังหารแรงกล้า หากไม่สังหารบุคคลชั่วช้าผู้นี้ให้สิ้นซาก เกรงว่าดินแดนเทพมายาคงจะไม่มีวันฟื้นคืนความสงบสุขได้เช่นเดิม
“โอ้ ? แล้วอย่างไรกัน ตราบใดที่เอาชนะเจ้าได้ ข้าก็จะกลายเป็นผู้ปกครองของดินแดนเทพมายา ไม่ว่าข้าจะเผชิญกับผลสะท้อนกลับที่ร้ายแรงเพียงใด ข้าก็ไม่กลัว !”
ฮวาเฉินแค่นเสียงเย็นชา เขาตั้งตารอวันนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน ต่อให้ต้องเสี่ยงกับการใช้วิชาที่เย้ยฟ้าท้าดินเช่นนี้ เขาก็หมายใจที่จะกำจัดฉินอวี้โม่และพวกให้จงได้ !
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะทำลายความหวังสุดท้ายของเจ้า!”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและเรียกกองทัพอสูรมายาออกมาทันที
“มารยา กองทัพผีดิบพวกนี้..ข้าจะมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า”
ฉินอวี้โม่ถ่ายทอดคำสั่งออกไปทันที ไม่มีความจำเป็นที่มารยาจะต้องเอาชนะกองทัพผีดิบเหล่านี้ ตราบใดที่สามารถถ่วงเวลาได้ระยะหนึ่งเพื่อมิให้พวกมันทำร้ายผู้คนในดินแดนได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว
“รับทราบ นายหญิง !”
มารยาและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ก็ตอบรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกัน เวลานี้พวกมันทั้งหมดเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ หลังจากไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งใหญ่มานาน ในที่สุดพวกมันก็มีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสายเสียที
เหล่าอสูรตรงเข้าไปล้อมรอบกองทัพผีดิบและโจมตีด้วยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดตาม ๆ กัน
“ฮวาเฉิน เจ้าจะได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของพวกเรา !”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมองหน้ากันและไม่มีความคิดที่จะยั้งมืออีกต่อไป สงครามครานี้จะต้องสิ้นสุดลงโดยเร็วที่สุด…