ตอนที่ 731 เริ่มต้นสงคราม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

แม้ระเบิดพลังมายาสิบลูกจะดูน้อยเกินไป แต่พวกมันจะสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงในช่วงเวลาวิกฤตได้อย่างแน่นอน

ส่วนวิธีการทำงานของระเบิดพลังมายาก็เรียบง่ายอย่างมาก ยิ่งอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งมากเพียงใด พลังของมันที่ปลดปล่อยออกมาก็จะรุนแรงมากเพียงนั้น จากนั้นทุกคนก็หารือกันและตัดสินใจมอบระเบิดหกลูกให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในสงคราม ในขณะที่ระเบิดส่วนที่เหลืออยู่กับอวิ๋นซื่อเทียน

เมื่อเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของอู่เทียนฉิงและคนอื่น ๆ ที่มองมา อวิ๋นซื่อเทียนก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งและตัดสินใจมอบให้พวกเขาคนละหนึ่งลูกเพื่อศึกษามันอย่างระมัดระวัง

แน่นอนว่านั่นทำให้เหล่าผู้นำมารวมตัวกันด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขและศึกษาระเบิดพลังมายากันอย่างจริงจัง

แม้สงครามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ บรรยากาศรอบ ๆ ของทุกคนก็ไร้ซึ่งความตึงเครียดราวกับมีความมั่นใจในสงครามครานี้อย่างเต็มเปี่ยม

ในอีกฟากหนึ่งของที่ราบกว้างขวางไร้จุดสิ้นสุด ฮวาเฉินและกองกำลังฝ่ายมารก็มาถึงแล้วเช่นกัน

“เหอะ หัวเราะกันไปก่อนเถอะ เพราะเดี๋ยวพวกเจ้าจะหัวเราะไม่ออกไปอีกนาน !”

เมื่อเห็นสีหน้าผ่อนคลายไร้กังวลของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ฮวาเฉินก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้

ในทางตรงกันข้าม สมาชิกฝ่ายมารมีท่าทีกังวลกว่ามาก แม้คนส่วนใหญ่ปกคลุมร่างกายด้วยเสื้อคลุมสีดำ ทว่าความตึงเครียดของพวกเขาก็ยังแผ่ออกมาจนรู้สึกได้

“เจ้าแก่หนังเหนียว ดูเหมือนว่าคนของเจ้าจะเตรียมตัวมาไม่ดีพอ !”

ซิวก้าวออกมาจากมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่และมองตรงไปที่ฮวาเฉินด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้อันแรงกล้า

“เหอะ เจ้าหนู แม้ผ่านมานานนับพันปี เจ้าก็ยังทะนงตนไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนไปแล้วงั้นรึ ?!”

เมื่อเห็นใบหน้าของซิว แววตาของฮวาเฉินก็ฉายแววจิตสังหารรุนแรงทันที เขาไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสงครามครานั้นแม้แต่เสี้ยวอึดใจ ฉินเฟยเหยียนและชิงเหอในอดีตร่วมมือกันโจมตีจนเขาแทบไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ ในครานั้น ซิวคืออสูรของฉินเฟยเหยียนที่ฮวาเฉินเกลียดชังเป็นที่สุด และพลังที่มันปลดปล่อยออกมาระหว่างการประจันหน้านั้นยังคงทำให้เขาหวาดผวาเมื่อนึกถึงมัน

“แน่นอนว่าข้าจำได้ไม่มีวันลืม ครานี้เทพอสูรผู้นี้จะไม่ให้โอกาสเจ้าได้กลับมายืนหยัดอีก !”

ซิวยังคงมีความทะนงตนและความเผด็จการเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าอสูรมายาภายในคฤหาสน์เฟิงหัวก็แทบอยากจะวิ่งออกมากราบไหว้บูชามัน

“เซิ่งเหยียน อารามโชติช่วงของเจ้ายังน่ารำคาญไม่เคยเปลี่ยน !”

ก่อนหน้านี้ภายในนครล่าฝัน ทุกคนได้หารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วิหารทมิฬจะรับหน้าที่ประจันหน้ากับอารามโชติช่วง นครเวหาจะประมือกับนิกายหงส์มังกร และนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะรับมือกับนครหมื่นอสูร ส่วนขุมกำลังอื่น ๆ ล้วนมีคู่ต่อสู้ที่เฉพาะเจาะจงในการประจันหน้ากับขุมกำลังพันธมิตรของฝ่ายมาร ในขณะที่นครล่าฝันเป็นกองกำลังหลักที่จะต่อสู้กับฝ่ายมารซึ่งแน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะประจันหน้ากับฮวาเฉินด้วยตัวเอง

จากนั้นอู่เทียนฉิงก็เข้าไปเผชิญหน้ากับเซิ่งเหยียนโดยตรง ในความเป็นจริง ทั้งสองขุมกำลังนี้ไม่เคยประจันหน้ากันในลักษณะเช่นนี้มาก่อนแม้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานนับพันปีก็ตาม ทั้งสองฝ่ายมักมีเรื่องบาดหมางเล็ก ๆ น้อย ๆ มาตลอด ทว่าไม่เคยมีการเผชิญหน้าที่ตรงไปตรงมาและเที่ยงธรรมเช่นนี้ในสงคราม อู่เทียนฉิงจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้ต่อสู้วัดฝีมือกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียที

“เหอะ วิหารทมิฬของพวกเจ้ามีดีอะไรกัน ? อย่าคิดว่าการที่พวกเจ้าเกาะต้นขาของนครล่าฝันแล้วพวกเจ้าจะได้อยู่อย่างสุขสบาย ครานี้พวกข้าจะชนะอย่างแน่นอน !”

เซิ่งเหยียนแสดงสีหน้าท่าทางราวกับถือไพ่เหนือกว่าซึ่งไม่อาจทราบได้เลยว่าเขามั่นใจว่าฝ่ายตนจะคว้าชัยชนะได้จริงหรือเพียงเสแสร้งทำเป็นวางใจเท่านั้น

“อย่ามั่นใจเกินไปนักเลย ฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ เราจะได้รู้กันหลังจากการต่อสู้ แต่ก็เอาเถอะ พวกเจ้าอารามโชติช่วงเก่งแต่ปากมาเสมอและมักอวดอ้างตนว่าเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในดินแดน ช่างไร้ยางอายเสียจริง”

อู่เทียนฉิงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างเปิดเผย ทว่าในหัวใจของเขาก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเล็กน้อยด้วยเกรงว่าขุมกำลังมารร้ายจะมีไพ่ตายที่เหนือความคาดหมายอยู่จริง การประจันหน้าครานี้คงไม่ง่ายแน่ !

“หยุดกล่าววาจาไร้สาระ รับการโจมตีของข้าไปซะ !”

อึดใจต่อมา เซิ่งเหยียนก็พุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็วและโจมตีอู่เทียนฉิงอย่างจัง ฝ่ายของพวกเขาก็ได้มีการหารือมาก่อนแล้วเช่นเดียวกับฝ่ายของฉินอวี้โม่และพันธมิตร

จากนั้นสมาชิกจากอารามโชติช่วงและวิหารทมิฬก็ตรงเข้าประจันหน้ากันอย่างรวดเร็ว

“ข้าได้ยินมานานว่าจ้าวนครเวหาเป็นสตรีที่มากฝีมือและมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ข้าเองไม่เคยมีโอกาสได้พบหน้า ทว่าครานี้ในที่สุดเราก็ได้พบกัน !”

หลงเทียนเฉียง—จ้าวนิกายหงส์มังกรดำรงตำแหน่งดังกล่าวมานานกว่าร้อยปี เขาทำท่าทางคารวะตรงไปทางอวิ๋นซื่อเทียนและแววตาแสดงถึงความตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่เคยพบหน้าอวิ๋นซื่อเทียนมาก่อนและได้ยินเพียงข่าวลือเกี่ยวกับนางเท่านั้น เดิมทีเขาเคยคิดว่าข่าวลือเหล่านั้นไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก ทว่าตอนนี้ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าจ้าวนครเวหาผู้นี้เหนือยิ่งกว่าคำร่ำลือเหล่านั้นเสียอีก ไม่ว่าในด้านรูปลักษณ์หรือพรสวรรค์ คุณสมบัติของนางก็ถือว่าเป็นยอดสตรีในหมู่สตรีด้วยกัน

“ดูเจ้าก็เป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว ทว่าการกระทำกลับสวนทางกับใบหน้า ข้าเห็นพวกเจ้านิกายหงส์มังกรขัดหูขัดตาของข้ามานานแล้วและครานี้ข้าจะได้เป็นตัวแทนของสวรรค์ในการลงทัณฑ์พวกเจ้าเสียที !”

อวิ๋นซื่อเทียนไม่ไว้หน้าหลงเทียนเฉียงแม้แต่น้อยและกล่าวด้วยท่าทางรังเกียจ

นางไม่เคยมีความประทับใจที่ดีต่อนิกายหงส์มังกรแม้แต่น้อย คนเหล่านี้ชอบรังแกผู้อื่นเป็นประจำและเจ้าเล่ห์อย่างน่ารังเกียจ นครเวหาของนางก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของนิกายหงส์มังกรมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะไม่เคยมีโอกาสที่เหมาะสม นางก็คงไปเยือนนิกายหงส์มังกรและทำลายอาณาเขตของพวกเขาจนพังพินาศไปนานแล้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลงเทียนเฉียงชะงักไปทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอวิ๋นซื่อเทียนผู้งดงามจะกล่าววาจาหยาบคายเช่นนี้ เขาเชื่อมั่นในความหล่อเหลาของตนมาเสมอและมีสตรีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะต้านทานเสน่ห์ของเขาได้

“อย่ามัวแต่เสแสร้งยิ้มอยู่เลย มันดูน่าขยะแขยงชะมัด”

อวิ๋นซื่อเทียนก็สาดวาจาไม่ไว้หน้าอย่างไม่หยุดหย่อนจนทำให้หลายคนถึงกับอดหัวเราะไม่ได้ หลงเทียนเฉียงผู้นี้มิใช่บุคคลประเภทที่นางจะชื่นชอบอย่างแน่นอน

“บัดซบ ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้หยามหน้าท่านจ้าวนิกายของพวกข้าเช่นนี้ ! รนหาที่ตายเสียแล้ว !”

คนของนิกายหงส์มังกรตะโกนกร้าวด้วยความไม่พอใจเมื่อได้ยินวาจาของอวิ๋นซื่อเทียน

“ใบหน้าของจ้าวนิกายของพวกเจ้าจะมีค่าแค่ไหนกัน ?”

อวิ๋นซื่อเทียนหันขวับไปมองบุรุษผู้นั้นและฝ่ามือวายุของนางฟาดเขาจนกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง

ก่อนที่คนผู้นั้นจะตอบสนองได้ทัน เขาก็ถูกฝ่ามือเหวี่ยงฟาดกระเด็นออกไปแล้ว เขาถึงกับกระอักเลือดออกมาและหมดสติไปโดยตรง

“เจ้าพวกลิ่วล้อตัวเล็ก ๆ อย่านำพาความตายไปสู่ตนเองเลย !”

นางปัดฝุ่นในมือและกล่าวอย่างไร้กังวล

“รนหาที่ตายซะแล้ว !”

สีหน้าของหลงเทียนเฉียงกลายเป็นเย็นชามากขึ้นและเขาพุ่งตรงเข้าไปในโจมตีอวิ๋นซื่อเทียนอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสดงพลังมหาศาลออกมาอย่างไม่ปิดบัง

อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซื่อเทียนไม่หวาดหวั่นเลยสักนิดและโจมตีตอบโต้หลงเทียนเฉียงอย่างไม่น้อยหน้าเลยเช่นกัน

จากนั้นคนของนิกายหงส์มังกรและนครเวหาก็โจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวซึ่งนำไปสู่การประจันหน้าที่ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบในระยะหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน คนของนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าประจันหน้ากับนครหมื่นอสูรจนทำให้สถานการณ์โกลาหลวุ่นวายมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทางฟากของสมาคมช่างหลอม เฉินโหยวก็ได้พบกับเฉินซินอีกครั้ง

ในช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินซินเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ภายในฐานทัพของฝ่ายมารและไม่เคยปรากฏตัวในดินแดนแม้แต่ครั้งเดียว เขาไม่ทราบเรื่องราวความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในดินแดนก่อนหน้านี้และไม่ได้ปรากฏตัวในการต่อสู้ที่เกาะไร้กังวลเมื่อบุปผาแห่งแสงปรากฏออกมา

“ท่านอาจารย์…”

เมื่อมองตรงไปที่เฉินโหยว แววตาของเฉินซินยังคงแสดงถึงเคารพไม่เปลี่ยนแปลง

“ข้าเคยกล่าวไว้แล้วว่าเราเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกันและความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์อีก”

ก่อนหน้านี้ เฉินโหยวออกเดินทางท่องไปทั่วดินแดน ทว่าเมื่อทราบว่าสงครามชี้ชะตาระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้จะมาถึง เขาก็รีบเดินทางกลับมาในทันที เขาเองก็นึกถึงเฉินซินมาตลอด กล่าวได้ว่าเฉินซินเป็นศิษย์ที่เขาอบรมสั่งสอนมาด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น เฉินโหยวจึงต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อชดเชยต่อความผิดพลาดของตน

“ข้า…”

เฉินซินพูดไม่ออกไปชั่วขณะและความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในหัวใจ ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาถูกส่งไปที่สมาคมช่างหลอมพร้อมด้วยจุดประสงค์แอบแฝง ทว่าตลอดหลายปีที่อยู่ที่นั่น เฉินโหยวและทุกคนในสมาคมช่างหลอมก็ดีกับเขาอย่างยิ่ง ราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แม้เมื่อกลับไปที่ฐานทัพของฝ่ายมาร ความรู้สึกไม่ดีในหัวใจของเฉินซินก็ยังไม่เคยจางหายไป การได้มาเป็นศิษย์ของเฉินโหยวเป็นเรื่องที่ผิดมาตั้งแต่ต้น

“ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อจัดการกับเจ้า อย่าเสียเวลาพูดจาไร้สาระเลย เริ่มลงมือเถอะ”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ไม่รอช้าและตรงเข้าโจมตีเฉินซินทันที

กล่าวได้ว่าความสามารถในการหลอมอาวุธของเฉินโหยวแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่งและวิชาการฝึกยุทธ์ของเขาก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน ด้วยการที่มีพลังในขอบเขตนภาเซียน เขาก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงของดินแดนนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเฉินซินเหนือชั้นกว่ามาก หลังจากกลับไปที่ฝ่ายมาร เขาก็ได้รับผลประโยชน์มากมาย ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้จึงบรรลุขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดแล้ว

ทันทีที่ทั้งสองตรงเข้าต่อสู้กัน เฉินโหยวก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว

หากมิใช่เพราะการยั้งมือของเฉินซิน เกรงว่าเฉินโหยวคงพ่ายแพ้ไปตั้งแต่ต้นแล้ว สมาชิกสมาคมช่างหลอมคนอื่น ๆ ก็มองดูสถานการณ์การต่อสู้นี้ด้วยสีหน้าเป็นกังวลด้วยเกรงว่าเฉินซินจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ดีในอดีตและลงมือปลิดชีพเฉินโหยว

“ท่านอาจารย์ ท่านมิใช่คู่มือของข้าหรอก สงครามระหว่างฝ่ายมารและดินแดนเทพมายาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน ท่านถอนกำลังออกไปจากที่นี่เถอะ”

เฉินซินต้านทานการโจมตีของเฉินโหยวด้วยฝ่ามือเดียวขณะกล่าวอย่างจริงจัง เขาเติบโตขึ้นมาในสมาคมช่างหลอมนับตั้งแต่เยาว์วัยและได้รับการอบรมสั่งสอนจากเฉินโหยวมาโดยตลอด เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองมิใช่เป็นเพียงศิษย์กับอาจารย์เท่านั้น ทว่ายังเป็นเหมือนกับบิดาและบุตรชายเช่นกัน ซึ่งเขาก็รู้สึกผูกพันกับเฉินโหยวมากกว่าฮวาเฉินผู้เป็นบิดาแท้ ๆ ของเขาเสียอีก ไม่มีทางเลยที่เขาจะต้องการทำร้ายเฉินโหยวผู้นี้

เฉินโหยวยังคงนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใดและเดินหน้าโจมตีเฉินซินต่อไปด้วยแววตามุ่งมั่น

เฉินซินรู้สึกจนปัญญาและต้องตอบโต้อดีตอาจารย์ของตนอย่างไม่มีทางเลือก ทว่าเขาไม่มีความคิดที่จะเอาชนะหรือสังหารอีกฝ่ายแต่อย่างใด

“นายน้อย รีบฆ่าเขา!”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของฝ่ายตะโกนมาจากด้านข้างเพื่อให้เฉินซินสังหารคู่ต่อสู้ไปเสีย

“หุบปาก !”

เฉินซินตะโกนกร้าวและเหวี่ยงฝ่ามือฟาดเข้าใส่ผู้อาวุโสคนนั้นทันที แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้อาวุโสของฝ่ายมาร เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย

“นายน้อย ท่าน…”

ผู้อาวุโสคนนั้นได้รับบาดเจ็บจากฝ่ามือของเฉินซินและสายตาบ่งบอกถึงความสับสนงุนงงอย่างที่สุด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความรู้สึกที่ซับซ้อนในหัวใจของเฉินซินแม้แต่น้อย

“นี่เป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว ใครหน้าไหนก็ตามที่ริอาจทำร้ายบรรดาผู้อาวุโสของสมาคมช่างหลอม ข้าจะไม่ปล่อยไว้แน่ !”

เฉินซินกล่าววาจาเยือกเย็น ตอนนี้เขากำลังปกป้องฝ่ายสมาคมช่างหลอมจากคนของฝ่ายมารอย่างเปิดเผย

เหล่าผู้อาวุโสของสมาคมช่างหลอมไม่ได้แข็งแกร่งนักและโอกาสที่พวกเขาจะชนะการต่อสู้กับจอมยุทธ์ฝ่ายมารก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้ทุกคนในสมาคมช่างหลอมต้องได้รับบาดเจ็บ

“เฉินซิน เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ ?”

เฉินโหยวกล่าวอย่างจนปัญญาและคนอื่น ๆ ในสมาคมช่างหลอมก็พูดไม่ออกเช่นกัน พวกเขาเพียงหยุดนิ่งอยู่ด้านข้างและหยุดการต่อสู้ในส่วนของตน

และสถานการณ์การประจันหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ติดชะงักไปชั่วขณะ

เมื่อเปรียบเทียบกัน การต่อสู้ในส่วนอื่น ๆ ของสมรภูมิรบยังคงดุเดือดเลือดพล่าน สมาชิกฝ่ายดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งโดยมีผู้เพลี่ยงพล้ำเสียชีวิตเป็นครั้งคราว

ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ประจันหน้ากับฮวาเฉินกลางอากาศ ซิวและอสูรแห่งโชคชะตาของหานโม่ฉือก็ยืนอยู่ด้วยกันและจ้องตรงไปที่ฮวาเฉินโดยพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ

“ฉินอวี้โม่ ครานี้การที่ไม่มีเจ้าฉินเฟยเหยียนที่น่ารำคาญนั่น อยากเห็นนักว่าเจ้าจะเอาชนะข้าอย่างไร !”

ฮวาเฉินจ้องหน้าฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม ทว่าในหัวใจเขาก็ไม่กล้าประมาทฉินอวี้โม่เช่นกัน

แม้ครานี้จะไม่มีฉินเฟยเหยียนที่ร่วมต่อสู้ด้วยและไม่มียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนอย่างราชินีเหมันต์ ทว่าตอนนี้ก็มีหานโม่ฉือผู้ลึกลับเกินหยั่งถึงที่เข้ามาเสริม ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของซิวในตอนนี้ก็เหนือชั้นกว่าเมื่อพันปีก่อนเสียอีก ครานี้มันจะไม่พลาดท่าไปง่าย ๆ เหมือนกับเมื่อพันปีก่อนอย่างแน่นอนและเกรงว่ามันจะกลายเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าอดีตครานั้นเสียอีก…