ตอนที่ 545 ดวงเมือง

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 545 ดวงเมือง โดย Ink Stone_Fantasy

“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ ยังไงซะถือว่าผมได้บอกไปแล้ว”

เยี่ยเทียนเปะปาก หากไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของแม่ เขาก็ขี้เกียจจะไปเตือนซ่งเฮ่าเทียน เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ซ่งเฮ่าเทียนอยู่มาได้ขนาดนี่ก็ถือว่าอายุยืนแล้ว

ซ่งเฮ่าเทียนทำท่าไม่ได้ใส่ใจอะไร ซ่งเวยหลันกลับใส่ใจ หลังจากคิดซักครู่แล้ว กล่าวว่า “พ่อ ที่เสี่ยวเทียนพูดก็มีเหตุผล ไม่งั้นรับหลานของพี่ชายคนโตกลับมาอยู่ด้วยเถอะ เด็กนั่นเพิ่งห้าขวบ กำลังดีจะได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อ”

“นี่มัน…”

คำพูดของซ่งเฮ่าเทียนนั้นเป็นอารมณ์ แต่ว่าเมื่อมองไปยังเยี่ยเทียนที่ยืนหัวเราะอยู่ด้านข้าง พลันก็รู้สึกโมโหขึ้นมา โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันเถอะ มาพูดเรื่องของเยี่ยเทียนกันเถอะ เจ้าตัวดีของเธอก่อนหน้านี้มีไปก่อเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ก่อเรื่อง ไม่มีนะ ปีนี้ทั้งปีก็อยู่ที่บ้านตลอดนะ”

เยี่ยเทียนตะลึงไปชั่วครู่ สีหน้าบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องและกล่าวว่า “ ผมก็เป็นแค่ประชาชนตาดำๆ คนหนึ่ง ปกติก็ใช้ชีวิตตามปกติเคารพกฎหมาย มีเรื่องไม่ดีอะไรก็อย่ามาปรักปรำกันนะ!”

“นายน่ะเหรอ ปฏิบัติตามกฎหมาย”

ซ่งเฮ่าเทียนถูกคำพูดของหลานชายทำให้รู้สึกจะหัวเราะก็ไม่ออกจะร้องไห้ก็ไม่ออก “คนญี่ปุ่นทางนั้นยังตรวจสอบเรื่องที่พม่าอยู่เลย นายกล้าบอกว่านายไม่เกี่ยวข้องเหรอ”

“เกี่ยวไม่เกี่ยวนั่นก็เป็นเรื่องนอกประเทศ ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายของประเทศจีนซะหน่อย”

เยี่ยเทียนกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ตระกูลคิตะมิยะล่มสลายก็มากแล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องออกหน้าให้หรอกมั๊ง”

ตระกูลคิตะมิยะในประเทศญี่ปุ่นนั้นถือว่าเป็นตระกูลที่ไม่กล้าแตะต้อง ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงสงครามโลกครั้งที่สองจบลง สำหรับคำสั่งของจักรวรรดินั้นก็ทำเป็นเชื่อฟังแต่ก็ไม่ปฏิบัติตาม กองทหารโอซาก้านั่นเป็นตัวอย่างที่ดี

เพียงแต่ว่าตระกูลคะติมิยะนั้นตั้งรกรากอยู่ในญี่ปุ่นมานานมีรากฐานที่มั่นคง จักรพรรดิก็ไม่รู้จะทำยังไงกับตระกูลใหญ่นี้ เพียงแต่ว่าตระกูลคิตะมิยะครั้งนี้นั้นขาดทุนย่อยยับ แน่นอนว่าเป็นโอกาสที่ดีในการตัดตอนให้จบ

ซ่งเฮ่าเทียนมองถลึงตาไปที่เยี่ยเทียนหนึ่งที กล่าวว่า “อูฐผ่ายผอมตายยังใหญ่กว่าม้า ยังไงก็แล้วแต่นายช่วงนี้ก็อยู่แบบสงบๆ หน่อย…”

จริงๆ แล้วเยี่ยเทียนพูดก็ไม่ผิด สำหรับการรับมือกับสมาชิกตระกูลคิตะมิยะที่ได้รับอันตรายที่พม่านั้น ทางฝั่งญี่ปุ่นเองเสียงก็แตกเป็นสองฝั่ง เสียงหนึ่งคือต้องหาผู้ร้ายให้ได้ เพื่อคืนความยุติธรรมของคนตาย

อีกทางหนึ่งก็คือให้ทางฝั่งพม่านั้นออกเงินชดเชย สำหรับเรื่องนี้ ผู้ร้ายจะหาตัวออกมาได้หรือไม่ คนพวกนี้ไม่สนใจ และคนที่มีแนวคิดแบบนี้ ล้วนแต่เป็นพวกตระกูลที่ไม่ถูกกับตระกูลคิตะมิยะ

“เฮ้อ ทำไมฉันถูกนายดึงเข้าไปในหลุมนี้ด้วยนะ”

ซ่งเฮ่าเทียนพลันจุดประกายขึ้นมา “เพิ่งพูดเรื่องที่นายทำเอาไว้เมื่อก่อนหน้านั้น ทำไมถึงไหลไปเรื่องคนญี่ปุ่นได้”

“คุณตา ไม่มีหลักฐานอะไรก็อย่ามาใส่ร้ายกันเลย ผมน่ะเป็นคนขี้ขลาด” ในใจของเยี่ยเทียนกระตุก หรือว่าเรื่องที่ทำที่เจียงซีนั้น ยังจัดการไม่แล้วเสร็จกัน

“เดือนหน้านายไปหนานชางใช่มั๊ย” คำพูดของคุณตาซ่งทำให้เยี่ยเทียนมั่นใจในความคิดของตัวเอง

“ถูกต้อง ไปมา ทำไม” เยี่ยเทียนพยักหน้า สีหน้าไม่แสดงอาการตกใจ

“คดีนั้นนายเป็นคนทำเหรอ ตายสามบาดเจ็บสอง นายกล้ามากนะ!”

เสียงของซ่งเฮ่าเทียนนั้นดุดันจนเสียงสูงขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองเยี่ยเทียนเขม็ง ลมหายใจที่กระชั้นขึ้นนั้นปรากฏให้เห็นเด่นชัด ราวกลับหวนกลับไปตอนที่เข่นฆ่าแย่งชิงตำแหน่ง

โบราณว่าไว้เมื่อเสนาบดีโกรธา เลือดนองพันลี้ เมื่อกษัตริย์โกรธา เลือดไหลดั่งสายน้ำ

ซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่หากเทียบฐานะแล้วก็สูงกว่าเสนาบดีอยู่มาก เมื่อมาถลึงตาจ้อง คนที่ขี้ขลาดหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะถูกทำให้ตกใจจนล้มลงไปกองกับพื้น

“ฮ่า ๆ ตาแก่ คุณก็อายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ต้องพูดกันด้วยเหตุผลสิ”

แต่ว่าท่าทางนี้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ได้กระทบกระเทือนแม้แต่น้อย หากว่าจะเทียบท่าทางการข่มขู่ เยี่ยเทียนนั้นทิ้งห่างซ่งเฮ่าเทียนสองช่วงถนน

“ตายสามเจ็บสองอะไร ผมไม่รู้เรื่องซักนิดเดียว หากว่าคุณมีหลักฐานก็ให้คนมาจับผมสิ”

เยี่ยเทียนมองไปที่ซ่งเฮ่าเทียนคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ในใจพลันเบาขึ้นมา หากว่าคนหนึ่งแสดงท่าทางข่มเหงนั่นแสดงว่าเขาแกล้งทำวางท่าข่มเหงไปงั้น

หากว่าซ่งเฮ่าเทียนมีหลักฐานหรือว่ายอมผดุงคุณธรรมทำร้ายคนในครอบครัว พยายามให้คนมาจับตัวเอง แต่ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการทำให้ตกใจเท่านั้น

“แก…แกมันไอ้เด็กนอกคอก!”

หลังจากเห็นปฏิกิริยาของเยี่ยเทียนแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี เมื่อมาเห็นคนหน้าหนาไม่เกรงกลัวแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

คดีที่เกิดขึ้นที่หนานชางนี้ ถึงแม้จะเป็นเพราะขาดหลักฐานหน่วยงานในพื้นที่จึงไม่ได้ติดตามสืบสวนเชิงลึกต่อไป แต่หน่วยงานของเมืองรายงานคดีเข้ามาที่มณฑล

เครื่องมือของประเทศเปิดการใช้งานตามความสามารถทั้งหมดที่มี ห่างไกลจากความคิดของเยี่ยเที่ยนเป็นอย่างมาก ชื่อของเขานั้นก็จะถูกดึงออกมาจากดาวเทียมอย่างรวดเร็ว ฝายที่เกี่ยวข้องเมื่อทำการตรวจสอบตัวตนของเยี่ยเทียน พลันก็นำเยี่ยเทียนใส่ไว้ในลิสต์ผู้ต้องสงสัย

ต้องทราบก่อนว่า ตำแหน่งของเยี่ยเทียนในแก็งชิงหงเหมินนั้น ประกอบด้วยประวัติที่มาของเขา จริง ๆ แล้วก็มีฝ่ายบางส่วนที่รับทราบข้อนี้ บวกกับก่อนหน้านั้นเยี่ยตงผิงมีคดีถูกหลอก และได้มีข่าวแพร่กระจายออกไปในวงแคบๆ

ดังนั้น เยี่ยเทียนก็ไปเตะตาฝ่ายทีเกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าไม่มีหลักฐาน และภูมิหลังของเยี่ยเทียนค่อนข้างจะพิเศษ เรื่องพวกนี้จึงได้วนอ้อมโลกมาเข้าหูของซ่งเฮ่าเทียน

นอกจากเยี่ยเทียนที่มาจากฉีเหมินกล้าเกินใครแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็คิดไม่ออกว่าจะมีใครที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้

หลังจากได้ฟังมาแต่ไม่มีหลักฐานระบุว่าเป็นเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนสั่งการให้ตรวจสอบเชิงลึกอย่างเข้มงวดในทันที แต่การทำคดีจะต้องมีหลักฐาน การส่งสัญญาณสองอย่างนี้นั้นฉับพลันก็ทำให้คนที่ลือกันนั้นเข้าใจในทันที

ในแวดวงผู้มีความรู้ สิ่งทีสำคัญทีสุดคือสายตา และจะต้องเข้าใจนัยยะและประเด็นของหัวหน้า ดังนั้นเมื่อซ่งเฮ่าเทียนส่งสัญญาณออกไป เอกสารที่เกี่ยวกับเยี่ยเทียนก็ถูกปิดผนึกลงในทันที

ถึงแม้จะช่วยหลานปิดคดีอันตรายนี้ไป แต่ซ่งเฮ่าเทียนกลับอยากจะหาโอกาสสั่งสอนเขา เพียงแต่ว่าในช่วงปีใหม่นั้นเขาค่อนข้างยุ่งมาก จนกระทั่งวันนี้ที่เยี่ยเทียนและแม่มาเยี่ยม ตาแก่จึงสบโอกาสพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

แต่ทว่าซ่งเฮ่าเทียนประเมินตัวเองที่รับราชการมาเป็นเวลาสิบปีมีประสบการณ์ในการข่มขู่มากไป เยี่ยเทียนนั้นไม่ได้ยี่หระแม้แต่น้อย กลายเป็นตัวเขาเองที่มาเล่นหูเล่นตากับคนตาบอด

“เสี่ยว…เสี่ยวเทียน เธอ…เธอก่อนหน้านั้นออกไปข้างนอก.ไม่…ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่มั๊ย”

จนกระทั่งถึง ณ ขณะนี้ซ่งเวยหลันที่ประคองบิดาอยู่ถึงได้มีสติกลับมา แต่สิ่งแรกที่นึกถึงไม่ใช่ว่าลูกชายฆ่าคนไปกี่คน แต่เป็นว่ามองค้นหาไปบนตัวของเยี่ยเทียน

“แหะ ผมไม่เป็นไร ผมแค่ไปทวงหนี้เท่านั้น ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนที่เขาพูดหรอก เรื่องนั้นไม่ใช่ผมทำ…”

เยี่ยเทียนกันมือของมารดาไว้และยิ้มแกนๆ เหลือบมองไปทางซ่งเฮ่าเทียนหนึ่งที ตาแก่นี่ไม่ไว้หน้ากันเลย มาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแม่ทำไมกัน

“ลูกคนนี้นี่ อีกหน่อยไม่อณุญาตให้ใจร้อน หากว่า…ไม่พูดแล้ว อีกหน่อยถ้ามีเรื่องอะไรแบบนี้บอกแม่ ทหารรับจ้างต่างประเทศมีเยอะแยะ ทำไมถึงต้องลงมือเองด้วย”

ซ่งเวยหลันก็เป็นคนที่รักลูกมากว่าความยุติธรรมขนาดหนัก ทำทีเป็นบ่นต่อหน้าบิดา ซ่งเฮ่าเทียนที่ยืนฟังอยู่นั้นกระโดดโลดเต้นเป็นเจ้าเข้าด้วยความโมโห นี่มันลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ

ประเทศจีนเป็นดินแดนอะไรกัน ถึงจะได้อนุญาตให้ทหารจากต่างประเทศมาก่อคดี หากว่าเกิดเรื่องแบบนั้นจริงๆ ต่อให้เป็นซ่งเฮ่าเทียนก็ปิดไว้ไม่อยู่ เกรงว่าทั้งแม่ทั้งลูกจะต้องตายอยู่ต่างประเทศนั่นแหละ

“พอแล้ว เธอก็โตป่านนี้แล้ว ยังจะพูดจาเหลวไหลอีก”

ตาแก่ดุลูกสาวไปคำรบหนึ่ง และก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ยังไงซะคนพวกนั้นน่าจะมีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับโลกมืด เยี่ยเทียนก็ถือว่าไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ดี

หลังจากบ่นไปซักพัก ซ่งเฮ่าเทียนก็หันไปมองเยี่ยเทียน. “เยี่ยเทียน มีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเธอ นายสามารถดูชัยภูมิทำนายโชคดีโชคร้ายของคนได้ ไม่รู้ว่านายสามารถทำนายความเป็นไปของประเทศได้มั๊ย”

 ในหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ประเทศเกิดเรื่องใหญ่โตมากมาย โดยเฉพาะสมรภูมิรบในต่างประเทศ ประเทศจีนประชาชนผู้บริสุทธิ์กับเจอกับภัยพิบัติ เจ้าหน้าที่สถานทูตนั้นเสียชีวิตไปหลายคน สถานากรภายในและภายนอกประเทศนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่าจะใช้การเจรจาต่างประเทศแล้ว เรื่องราวนี้สุดท้ายก็สงบเงียบลงไป แต่ก็ทำให้ตาแก่รู้สึกกังวลกับอนาคตของประเทศในภายหน้า จึงได้ถามเยี่ยเทียนในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่

“หืม ตาแก่ คำพูดนี้ไม่น่าถาม!” หลังจากที่ได้ฟังซ่งเฮ่าเทียนพูดแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ทิศทางของประเทศนั้นเป็นขนาดมหัพภาค เกี่ยวอะไรกับฮวงจุ้ย”

หากว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ตาของเขาและไม่ได้มีอายุเจ็ดสิบแปดสิบ เยี่ยเทียนจะเตะกระเด็นไปแล้ว มีใครถามคำถามแบบนี้กันบ้าง นี่ไม่ได้อยากได้ชีวิตของเขาเหรอ

ต้องทราบก่อนว่า อาจารย์ซินแสนั้น ล้วนแต่เข้าใจในหลักหนึ่ง นั่นก็คือใช้การดูฮวงจุ้ยทำนายชิวิตขึ้นลงของคนได้ แต่จะไม่ทำนายอนาคตของประเทศเป็นเด็ดขาด!

เช่นหลิวปังหูยาวมีชะตาชีวิตดีผาสุก สองแขนยาวเกินเข่าลักษณะแบบนี้เป็นลักษณะของกษัตริย์ มีคนมองออก แต่จูหยวนจางนั้นฝ่าเท้ามีปานเจ็ดอัน แสดงว่าเท้าเหยียบดาวเจ็ดดวง สามารถดูแลความผาสุกของบ้านเมืองได้ ก็มีคนสามารถทำนายออกมาได้

แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคนเป็นที่ไหนทำนายนั่นก็คือดวงเมือง การแพร่งพรายชะตาฟ้าดินแบบนั้นจะถูกย้อนกลับ แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะรับไหว อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนเลย ต่อให้หลี่ซ่านหยวนตายแล้วฟื้นขึ้นมามัดรวมกันก็ไม่พอ

ในประวัติศาสตร์คนที่ตัดชะตาดวงเมืองได้นั้น ก็มีแต่เจียงจื่อหยาสุสานลอยฟ้าที่มีชื่อนั่นแหละ

เจียงจื่อหยาหลังจากที่ช่วยฮ่องเต้โจวอู่หวังสร้างยุคราชวงศ์โจวแล้ว ก่อนตายกล่าวกลับฮ่องเต้โจวเฉาว่า”หลังจากตายแล้วให้นำโลงศพของเขาไปไว้ยังผาสูงชันของราชวงศ์โจว ด่านล่างบริเวณไหนที่มีภัยพิบัติ ให้เอาหัวของโลงศพหันไปทางนั้น จะสามารถทำให้ทิศทางนั้นสงบลงได้”

ต่อมาก็เป็นตามนั้นจริงๆ ทำให้โจวเฉาปกครองประเทศมาได้ต่อเป็นเวลากว่าร้อยปี

ต่อมาในสมัยของโจวหน่าน เจ้าคนนี้ขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่ได้นั่งว่าราชการที่วังทองคำแต่กลายเป็นว่านอนที่วังทองคำ เมื่อเขาหลับก็จะฝันเห็นโลงของเจียงจื่อหยาที่อยู่ด้านบน ก็รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้คนเอาโลงของเขาลงมา

ต่อมาราชวงศ์โจวก็พบปัญหา มีการทำสงครามกับประเทศพื้นบ้านหลายแห่งและมีแต่พ่ายแพ้ จนประเทศถึงกาลอวสาน เรื่องนี้คนทั่วไปไม่ทราบแต่ในบรรดาสินแสดูฮวงจุ้ยนั้นกลับเป็นที่ทราบกันดี

ซ่งเฮ่าเทียนถามดวงเมืองกับตัวเขา ไม่ใช่ว่าคิดว่าตัวเองอายุเยอะไม่มีอะไรทำเหรอไง ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงได้หักหน้าต่อหน้าในตรงนั้น หากว่าเป็นคนอื่นจะต้องซ้อมซักหมัดหนึ่งให้ได้

…………………………….