ตอนที่ 546 มีงานเข้า โดย Ink Stone_Fantasy
“ทำไม หรือว่ามีหลักการอะไรอยู่อีก”
ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนระดับไหน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนทำหน้าแบบนี้ ในใจพลันเข้าใจขึ้นมาอยู่หลายส่วน คำพูดของตัวเองเมื่อซักครู่ บางทีอาจจะไปกระทบกับข้อห้ามของเยี่ยเทียน
“พอเถอะ ถ้าไม่อยากให้ผมอายุสั้นลงก็อย่าถามมาก!”
เยี่ยเทียนมองไปที่ซ่งเฮ่าเทียนทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “ดวงชะตาบ้านเมือง เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะมาทำนายได้เหรอ แพร่งพรายความลับสวรรค์ คนแบบผมจะสามารถต่อสู้กับความสมดุลได้ คุณก็อยู่มานานขนาดนี้แล้ว แต่ผมยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย…”
อาจารย์ทำนายฮวงจุ้ยในสมัยก่อนนั้น ส่วนใหญ่แล้วหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะยอมออกมาช่วยฮ่องเต้
เพียงแต่ว่าอาจารย์ที่ออกแรงมาช่วยฮ่องเต้นั้น ที่บอกว่าทำนายชะตาขับเคลื่อนประเทศทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงว่ากันตามจริงแล้ว หลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังทำนายออกมาได้ภาพดันหลัง แต่รูปภาพนั้นสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจ
ต่อมาเมื่อหลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังพบว่าพวกเขานั้นทำผิดข้อห้าม จึงได้แยกรูปภาพแยกกันเก็บ และตั้งใจทำให้ตระกูลหลี่และหยวนนั้นเป็นศัตรูกัน ทำให้ภาพดันหลังไม่สามารถกลับมารวมกันได้
แต่เมื่อถึงในช่วงปลายราชวงศ์หมิงและต้นราชวงศ์ชิง จินเซิ้งทั่นผู้สือบทอดได้นำภาพดันหลังมาทำเป็นลำดับและใส่ความคิดเห็นเอาไว้ นำเอาภาพที่เป็นตำนานแยกกันมากว่าร้อยปีมาประกบเข้าด้วยกัน
แต่ว่าหลังจากที่เขาทำเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็ได้รับความลำบากและอันตราย ถูกใส่ร้ายป้ายสีประหารชีวิต ภรรยาและลูกชายสูญสิ้นทรัพย์สมบัติ ทั้งตระกูลนั้นสาบสูญแตกกระจายกันไป
ปละจินเซิ้งทั่นที่ได้รับเคราะห์ร้ายแบบนี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขานั้นไขปริศนาในภาพดันหลังอย่างแน่นอน เนื่องด้วยการทำนายโชคชะตาเมืองนั้น ก็ได้กลายมาเป็นข้อห้ามในวงการของฮวงจุ้ยไปโดยปริยาย
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย”
หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนอธิบายแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็พลันเข้าใจ เมื่อตอนที่เขารับตำแหน่งแน่นอนว่าไม่สามารถสอบถามพระหรือนักพรตเต๋าในเรื่องนี้ได้ จึงไม่ทราบความจริงที่ซ่อนอยู่ของเรื่องนี้
“พ่อ เรื่องอื่นมีให้ถาม ถามเรื่องนี้ทำไมกัน ดูสิทำให้ลูกโกรธขนาดนี้”
ซ่งเวยหลันมองไปทางบิดาอย่างโมโห ลูกชายตัวเองอายุเพิ่งได้ยี่สิบต้น ๆ เป็นเพราะชะตาเมือง จะต้องทำให้อายุขัยของลูกชายสั้นลง ในสายตาของแม่คนหนึ่งนั้น ต่อให้สงครามโลกปะทุเกิดขึ้น ก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของลูกชาย
“ฉันถามแล้ว เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่ตอบเหรอ”
การที่ลูกสาวเข้าข้างหลานชายขนาดนี้ ซ่งเฮ่าเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแอบหวง โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “เอาเถอะ พวกเธอสองแม่ลูกกลับไปได้แล้ว เห็นไอ้หลานคนนี้แล้วฉันก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมา!”
“ได้ อยู่นี่มีแต่คนรังเกียจ พวกเราไปเถอะ!”
เยี่ยเทียนออกแรงดึงแม่ เดินมาถึงขอบประตูจงใจบ่นออกมาประโยคหนึ่ง “อายุอานามก็แปดสิบกว่าแล้ว ยังคิดถึงเรื่องที่จะกลับมาเป็นหนุ่มอีก หากว่าทั้งตัวมีพละกำลังนั่นก็ไม่เท่ากับว่าเป็นหนุ่มอายุยี่สิบกว่าเหรอ”
เสียงของเยี่ยเทียนไม่ดัง แต่ก็พอดีที่ซ่งเฮ่าเทียนจะได้ยิน พลันก็โกรธจนกระทุ้งไม้เท้าอยู่หลายที แต่ว่าเมื่อกลับไปรับคำนี้ของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนกก็หัวเราะขึ้นมา
โบราณว่าไว้ว่าพละกำลังนั้นเอาชนะฟ้ากำหนดไม่ได้ เกิดแก่เจ็บตายเป็นวัฏจักรธรรมชาติของมนุษย์ ตัวเองว่างมาบ่นที่กำลังกายไม่แข็งเรงเท่าเมื่อก่อน จิตใจก็ถือว่ามีปัญหาอยู่นิดหน่อยแล้ว
“เยี่ยเทียน อย่ายั่วโมโหคุณตาเธอให้มาก คุณตาอายุแปดสิบกว่าแล้ว ถือว่าแม่ขอนะ ได้มั๊ย” นั่งอยู่ในรถที่เยี่ยเทียนเป็นคนขับ ซ่งเวยหลันส่งสีหน้าเป็นเชิงขอร้องไปที่ลูกชาย
ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจกับการจัดการในตอนนั้นของซ่งเฮ่าเทียน แต่ว่าเห็นพ่อที่ผมขาวโพลนเงาร่างโดดเดี่ยว ซ่งเวยหลันในใจก็รู้สึกสงสารเหลือประมาณ หากว่าลูกชายไม่บอกว่าเธอไม่เหมาะที่จะอยู่เป็นเพื่อน ซ่งเวยหลันวันนี้ก็คิดอยากจะย้ายมาอยู่ที่นี่ซักพักหนึ่งเหมือนกัน
“คุณวางใจเถอะ คุณตาร่างกายยังแข็งแรงไม่เลว สองสามปีนี้ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
เยี่ยเทียนมองไปที่มารดาหนึ่งที กล่าวว่า “เขาลงมาจากตำแหน่งสูง สภาพจิตใจรู้สึกไม่สบายอัดอั้น ให้ได้โมโหระบายออกมาบ้างก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี”
เช่นซ่งเฮ่าเทียนที่มีฐานะทางสังคมแบบนี้ ปกติเรื่องที่ทำให้เขาโมโหคิดมาก นั้นเรียกได้ว่าน้อยจนถึงน้อยมาก
และซ่งเฮ่าเทียนนั้นตลอดชีวิตอยู่ในตำแหน่งสูงมาตลอด การสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานทำให้ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป แน่นอนว่าก็คงจะไม่โมโหมใส่คนทำงานในเวลาปกติ
ยิ่งนานวันเข้า ความไม่สบอารมณ์ที่เก็บอยู่เป็นพลังด้านลบไม่ได้รับการปลดปล่อย ทำให้ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของเขา เยี่ยเทียนที่ทำทีแสดงจำอวดนี้ กลับทำให้ในใจของซ่งเฮ่าเทียนนั้นรู้สึกเบาสบายขึ้นเป็นอย่างมาก
“อย่างนั้นก็ดี…”
ซ่งเวยหลันเดิมทีอยากให้ลูกชายนั้นช่วยบิดาปรับสภาพร่างกาย แต่เมื่อคิดว่าตระกูลซ่งนั้นติดค้างกับลูกชายอยู่เยอะมาก ถึงกระทั่งทำให้เยี่ยเทียนไม่เอ่ยปากเรียกแม่ จึงได้แต่ถอนหายใจและไม่ได้พูดออกไป
วันที่สิบห้าเทศกาลโคมไฟผ่านพ้นไป การงานของหยูชิงหย่าก็พลันเปลี่ยนเป็นยุ่งขึ้นมา เยี่ยเทียนฉับพลันก็กลายเป็นคนว่างไม่มีอะไรทำ
เยี่ยเทียนต้นเดือนสามเตรียมตัวไปฮ่องกง เห็นว่าไม่กี่วันแล้ว ก็เลยไม่ได้ออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหน อยู่ที่บ้านฝึกปรือวิชาการทำนายของตระกูลโจว ในตอนที่จิตใจเหนื่อนล้า ก็พูดคุยกับมารดา ชีวิตก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมา
“เยี่ยเทียนแม่เตรียมเอาบริษัทส่งต่อให้กองทุนบริหารงานแทน แต่ว่าอยากจะเอาหุ้นที่มีหน้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้เป็นชื่อของเธอ อีกหน่อยแม่ก็จะไม่ต้องเหนื่อยแล้ว”
วันนี้ทั้งวันนั่งอยู่ในสวนดอกไม้กลางลานของเรื่อนสี่ประสาน ซ่งเวยหลันก็พูดเรื่องเดิมขึ้นมาอีก พูดชักจูงลูกชายอย่างยากลำบาก
“แล้วบริษัทของคุณส่งต่อให้กองทุนดูแลนั่นทำเรื่องเสร็จแล้วหรือยัง”
เยี่ยเทียนมองไปทางแม่แล้วหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “หุ้นพวกนั้นอยู่ในมือคุณ ย่อมดีกว่าอยู่ในมือผม ทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้น ยากที่จะรับปากกว่าไม่มีคนสนใจ ผมไม่อยากถูกคนตามฆ่าทุกวัน”
หลังจากซ่งเวยหลันกลับบ้าน เยี่ยเทียนวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา รอยยิ้มบนสีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขายังมีศัตรูอีกคนอยู่ในตระกูลซ่งที่ยังไม่ได้สะสาง
“เสี่ยวเทียน เป็นเด็กคนนั้นทำจริงๆ เหรอ” ซ่งเวยหลันถอนหายใจ เธอได้ยินความคับข้องใจที่ออกมาจากคำพูดของลูกชาย
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าบริษัทงานจัดการเงินกว่าหลายพันล้าน ซ่งเวยหลันทำไมถึงจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการกระทำของเด็กรุ่นหลังในตระกูล
เพียงแค่ตอนแรกนั้นเธอไม่เชื่อว่าเด็กรุ่นหลังนั้นจะลงมือกับลูกชายอย่างโหดเหี้ยม รอจนเรื่องที่ไต้หวันเกิดขึ้นแล้ว ซ่งเวยหลันถึงได้พบว่า ทรัพย์สินเงินทองนั้นสามารถทำให้คนดีกลายเป็นปีศาจได้
แต่ว่าซ่งเวยหลันก็ไม่อาจจะฟันธงลงไปได้ว่าเรื่องนี้ซ่งเสี่ยวหลงเป็นคนทำทั้งหมด และบวกกับที่เลี้ยงดูเขามาสิบกว่าปี สุดท้ายก็ไม่สามารถลงโทษสถานหนักได้ ได้แต่ย้ายเขาไปยังแอฟริกา อยู่ให้ห่างจากระดับบริหารสำคัญของบริษัทใหญ่
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องสนใจหรอก ผมจะจัดการเอง”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขาไม่อยากพูดคุยกับมารดาเรื่องนี้ เพราะว่าในใจของคนในฉีเหมินนั้น ถือคติว่ามีแค้นต้องสะสาง ไม่เคยมีว่าปล่อยศัตรูลอยนวลไป
และเยี่ยเทียนก็เชื่อว่า ถึงแม้ซ่งเสี่ยวหลงจะอยู่ห่างจากมารดา แต่ความโกรธแค้นในใจของเขานั้นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย หากว่าไม่กำจัดอันตรายนี้ ไม่แน่ว่าอีกหน่อยมารดาก็อาจจะต้องมาเดือดร้อนไปด้วย
แน่นอนว่า คำพูดพวกนี้เยี่ยเทียนคงไม่ไปป่าวประกาศกับซ่งเวยหลัน ในตอนที่กำลังคิดหาเปลี่ยนเรื่องขัดเรื่องนี้อยู่นั้น เสียงของเยี่ยตงผิงก็ดังขึ้นมา
“เยี่ยเทียน โทรศัพท์ ศิษย์พี่รองของนายโทรมา”
สำหรับเรื่องจริงที่ว่าลูกชายของตัวเองนั้นแย่งความรักจากภรรยาไป เยี่ยตงผิงโมโหไม่หาย รอจนลูกชายออกไปแล้ว ตัวเองก็หย่อนก้นลงนั่งด้านหน้าของภรรยา
“พอแล้ว มีเรื่องให้ทำแล้ว”
ถึงแม้ว่ายังไม่ได้รับโทรศัพท์ ในใจของเยี่ยเทียนก็มีลางสังหรณ์ล่วงหน้า เกาะฮ่องกงทางนั้นจะต้องเดินเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่นอน มิเช่นนั้น เวลาที่ตัวเขานัดกับศิษย์พี่รองที่จะกลับฮ่องกงเอาไว้ ตัวเขานั้นคงไม่โทรมาหาโดยไม่มีเหตุผลแน่
หลังจากหยิบโทรศัพท์ขึ้น เยี่ยเทียนก็ถามไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “ศิษย์พี่รอง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่มั๊ย”
“ฮ่า ๆ ศิษย์น้อง ความสามารถในการทำนายของนายนี่เพิ่มขึ้นอีกแล้วนะ”
เสียงของโย่วเจียจวินสดใสลอดออกมาตามสาย จิตใจของเยี่ยเทียนก็พลันสบายใจคิดว่าเรื่องไม่น่าจะใหญ่โต มิเช่นนั้นอารมณ์ของศิษย์พี่รองไม่น่าจะดีขนาดนี้
ไม่รอให้เยี่ยเทียนถามต่อ จั่วเจียจวินก็กล่าวต่อมา “เป็นอย่างนี้ ถนนที่พวกเราซ่อมฮวงจุ้ยเส้นนั้นเกิดปัญหานิดหน่อย ความหมายของฉันกับศิษย์พี่ใหญ่ก็คืออยากให้นายรีบกลับมาดูหน่อย!”
“เกิดปัญหานิดหน่อย”
เยี่ยเทียนตะลึง “ถนนเส้นนั้นสะดวกราบรื่นมาตั้งนาน ไม่น่ามีเกิดเรื่อง ศิษย์พี่รอง พี่กับศิษย์พี่ใหญ่แก้ไขไม่ได้เหรอ”
เยี่ยเทียนทราบดีว่า จั่วเจียจวินนั้นถนัดการทำนายทายทัก โก่วซินเจียนั้นในเรื่องของการวางค่ายกลนั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา ทั้งสองคนรวมกัน ไม่ได้ด้อยกว่าตัวเองเท่าไหร่ ปกติปัญหาเกี่ยวกับฮวงจุ้ย น่าจะไม่คณามือของพวกเขา
“แคกๆ…”
จั่วเจียจวินไอแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่ว่าฉันกับพี่ใหญ่ล้วนไม่ใช่ด้านที่ถนัดทั้งคู่ นายมาดูก็จะรู้เองแหละ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “งั้นก็ได้ ฉันจองตั๋วพรุ่งนี้แล้วจะบินไป พวกเราเจอกันแล้วค่อยว่ากันแล้วกัน”
“ฉันจะต้องเลื่อนไฟล์ทไปฮ่องกงล่วงหน้าหลายวันแล้วล่ะ”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างรู้สึกผิด กล่าวว่า “ทางนั้นมีเรื่องจัดการไม่ได้ ฉันจะต้องไปด้วยตนเอง แล้วก็ไปดูการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ก็จะอยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ได้แล้ว!”
“ดีสิ ผู้ชายยังหนุ่มยังแน่นก็ต้องถือเรื่องธุระมาเป็นสำคัญ มาขลุกอยู่บ้านทั้งวันได้ยังไง”
ซ่งเว่ยหลันไม่ได้พูดอะไร เยี่ยตงผิงก็ตบมือร้องว่าดีขึ้นมา ลูกชายอยู่บ้านทุกวัน เขารู้สึกว่าฐานะของตัวเองนั้นลดลงมาก ถึงแม้ว่าจะพูดคุยกับภรรยาในตอนกลางคืน ในสิบประโยคก็มีแปดประโยคแล้วที่พูดถึงลูกชาย
“แล้วคุณล่ะทำไมไม่เห็นเรื่องงานมาก่อน”
ซ่งเวยหลันมองไปที่สามีอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงแม้ว่าจะทำความรู้จักกับลูกชายมาได้หลายเดือนแล้ว แต่นี่ก็ไม่พอที่จะชดเชยความรู้สึกยี่สิบกว่าปีของซ่งเวยหลันได้
“ฉัน…ฉันไม่ได้เพราะอายุมากแล้วเหรอ…” เยี่ยตงผิงหัวเราะอย่างเขินอาย รู้ว่าภรรยามองความคิดของตัวเองออก
“งานก่อสร้างเร็วสุดก็ประมาณสามเดือน จะว่าไปฮ่องกงก็ไม่ไกล หากว่าไม่ติดอะไรทั้งสองคนก็ไปพักผ่อนได้ อากาศทางตอนใต้นั้นสบายกว่าที่นี่มาก”
ได้เห็นพ่อแม่ต่อล้อต่อเถียงกัน เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา สำหรับเยี่ยตงผิงนั้น ไม่มีโอกาสได้ย้อนเลยซักครั้งเดียว ทั้งแม่ทั้งลูกไม่ได้เห็นหัวเขากันเลย
เดินไปที่เรือนด้านหน้าตะโกนเรียกโจวเส้าเทียน เยี่ยเทียนให้พวกเขาไปจองตั๋วเครื่องบินสองใบ
โจวเส้าเทียนในช่วงนี้บำเพ็ญฝึกวิชานั้นก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่ว่าเขายังขาดประสบการณ์ในยุทธภพ เยี่ยเทียนเดินทางแน่นอนว่าต้องพาเขาไปด้วย
……………………….