ตอนที่ 547 ยุคต่อไปคือยุค 8

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 547 ยุคต่อไปคือยุค 8 โดย Ink Stone_Fantasy

นั่งอยู่บนเครื่องบินได้เห็นวิวทั้งเมืองของฮ่องกง เยี่ยเทียนค่อยๆ หรี่ตาลง ทุกครั้งที่มาที่เกาะฮ่องกง เขาจะต้องพยาการณ์สังเกตดูสถานที่ที่มีฮวงจุ้นดีอย่างด้านหลังหันหาแผ่นดินใหญ่สามด้านติดน้ำ

แม่น้ำจูเจียงไหลจากตะวันตกไปยังทิศทางค่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกภูเขาต้าหยู่ดันให้ไหลเข้ามาในอ่าววิกตอเรีย จากนั้นแม่น้ำก็ผ่านประตูจระเข้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ออกไป ทั้งภูมิทัศน์ของทางน้ำนั้นเหมือนกับแตร…ขามาปากทางเข้าใหญ่และขาออกไปปากทางออกเล็ก

บริเวณปากทางน้ำออกนั้นยังมีรูปปั้นสัตว์ใหญ่ตั้งอยู่…เกาะตงหลง ลักษณะทางน้ำแบบนี้นั้นหาดูได้ยากมาก เป็นลักษณะชัยภูมิที่ดีมาก

แม่น้ำจูเจียงสายใหญ่ถูกเกาะต้าหยู่ผ่าออก ทำให้ปากทางแม่น้ำจูเจียงที่มีน้ำออกมาสองในห้านั้นไหลเข้าสู่ฮ่องกง ในการเรียนฮวงจุ้ยบอกว่า “หากมีภูเขานั้นจะสูงล้ำ หากมีน้ำจะร่ำรวย” ฮ่องกงนั้นรับน้ำไว้ปริมาณมาก จึงได้ตั้งว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ร่ำรวย

นี่ก็คือฮ่องกงที่มีพื้นที่น้อยนิดแต่กลับถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของเมืองที่มีครอบครัวร่ำรวยที่สุดในโลกและเช่นหลี่เชาเหวินและถังเหวินหย่วนพวกนั้น ยิ่งอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ของรายชื่อมหาเศรษฐีของโลก

แต่ทว่าในโลกนี้นั้นมีของที่แพ้ทางกันอยู่ นั่นก็คือ “มีสุขมากก็ทุกข์มาก” กฎเกณฑ์นี้นั้นเหมาะกับการนำไปใช้ในสรรพสิ่งบนโลกนี้ทั้งหมด บนโลกนี้ไม่มีนักรบที่แพ้ตลอดไปและไม่มีแม่ทัพที่รบชนะตลอดกาล

เยี่ยเทียนในครั้งนี้สังเกตเกาะจากบนฟ้า กลับพบว่าเมื่อโลกเข้าสู่ยุคใหม่ยุค 8 แล้ว เกาะฮ่องกงก็ไม่อาจฝืนชะตาเข้าสู่ภาวะถดถอย

หากว่าอยากจะรู้ว่าอะไรคือนยุคแห่งฟ้ายุคต่อไปยุค 8 อย่างนั้นก็จะต้องอธิบายเสียก่อนว่าอะไรคือ “ยุคดินซำง้วงเกาอุ่ง”

ยุคดินซำง้วงเกาอุ่งอยู่ในวัฒนธรรมโบราณของประเทศ “วิชาพยากรณ์ดาวเหิน” เป็นหนึ่งในชื่อเรียกเฉพาะ จากการเฝ้าสังเกตุระยะเวลาของพระอาทิตย์เป็นเวลานาน ตามการโคจรของดาวนพเคราะห์รอบดวงอาทิตย์และการเฝ้าสังเกตุหยินหยางและธาตุทั้ง 5 ผสมกัน จึงได้ออกมาเป็นยุคดินซำง้วงเกาอุ่ง

ยุคแห่งฟ้ายุคต่อไปยุค 8 ก็คือ การจัดระยะเวลาในยุคดินซำง้วงเกาอุ่ง ยุค 8 อยู่ในกึ๊งข่วย กึ๊งข่วยอยู่ในทิศทางที่ตรงกันกับตะวันออกเฉียงเหนือ ในตำราวิชาฮวงจุ้ยนั้นคือมังกรทุกลาภตัวหนึ่งหยั่งรากลึกอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮ่องกงถือว่า ไม่ดี

แต่คนไม่ดีนั้นคือภูเขา ในตำราวิชาฮวงจุ้ยผู้มีลาภ ชนชั้นสูง หัวกระทิ พลังช่วยเหลือ สุขภาพและเรื่องอื่นๆ ดังนั้นยุค 8 ชะตาของฮ่องกงที่เด่นชัดที่สุดก็คือ ขาดคนมีความรู้ความสามารถ ผู้นำไร้ความสามารถ ยุทธศาสตร์ผิดพลาด ชนชั้นสูงไม่มา

และตามที่จากเยี่ยเทียนสำรวจพยากรณ์ ในวันหน้าฮ่องกง มาเก๊าและพื้นที่อื่นๆ ในลำดับต่อไปจะมีอหิวาตกโรคเกิดระบาดขึ้น

ดีที่ว่าคนไม่ดีในยุค 8 ของฮ่องกงนั้นคือ “ภูเขา” ไม่ใช่ “น้ำ” น้ำเป็นทรัพย์หลัก ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงสามารถพยาการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจของฮ่องกงนั้นในด้านหนึ่งจะซบเซา แต่จะไม่ถึงขั้นล่มสลาย

“อาจารย์ ลงพื้นแล้ว ลงจากเครื่องกันเถอะ”

เสียงตะโกนของโจวเส้าเทียน ทำให้เยี่ยเทียนตื่นจากภวังค์ ถึงได้พบว่าตัวเองตกอยู่ในเกมที่ถูกวางไว้ การกระทำที่ไม่ตั้งใจนี้ ทำให้เยี่ยเทียนแอบรู้สึกว่าตบะของเขานั้นก้าวหน้าไปอีกขั้น

“ศิษย์พี่รอง พี่มาได้ยังไง”

เพิ่งเดินออกจากทางเดินของสนามบิน เยี่ยเทียนก็เห็นจั่วเจียจวินที่สวมใส่ชุดราชวงศ์ยืนอารมณ์ดีอยู่ โดยส่งยิ้มมาที่ตัวเอง

“ฉันไม่มาก็ไม่ได้ซะด้วยสิ!”

จั่วเจียจวินหัวเราะแค่นๆ และเอาตัวหลีก ให้หลิ่วติ้งติ้งปรากฏตัวออกมา กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ยังไงกดื้อจะมารับให้ได้ แต่ก็ไม่อยากมาคนเดียว ฉันนี้ก็เท่ากับถูกลักพาตัวมาแล้วไง…”

“คุณตา ห้ามพูดเหลวไหล”

หลิ่วติ้งติ้งสีหน้าปรากฏสีแดงก่ำขึ้นมา นับตั้งแต่ตกลงความสัมพันธ์นั้นกับโจวเส้าเทียนแล้ว หน้าของเจ้าเด็กนี่ก็ดูบางลงเป็นอย่างมาก บางเวลาก็เริ่มมีความรู้สึกเป็นสาวเป็นนางขึ้นมาบ้างแล้ว

“ได้สิ ติ้งติ้งของเราก็รู้จักเขินอายเป็นแล้ว”

จิ่วเจียจวินหัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างดัง หันไปกวักมือเรียกเยี่ยเทียน หมุนกายเดินออกไปทางนอกสนามบิน หลิ่วติ้งติ้งและโจวเส้าเทียนก็เดินรั้งท้ายอยู่สองคนโดยอัตโนมัติ พูดคุยกระหนุงกระหนิงหัวร่อต่อกระซิกกัน

เห็นอารมณ์ของจั่วเจียจวิน เยี่ยเทียนก็รู้ว่าปัญหาไม่ได้ใหญ่โตอะไร หัวเราะพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เรื่องคงไม่ได้ใหญ่โตใช่มั๊ย เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนยุค 8 หรือเปล่า ในภาพรวมเกิดปัญหานิดหน่อย”

“นายก็ดูออกเหรอ”

จั่วเจียจวินหัวเราะแค่นๆออกมา กล่าวว่า “เศรษฐกิจของฮ่องกงคงต้องหยุดชะงักไปหลายปีแล้ว แต่ว่าเรื่องนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ไป พวกเรากลับบ้านแล้วค่อยคุย”

เรียกเยี่ยเทียนและคนอื่นขึ้นรถ จั่วเจียจวินขับรถด้วยตนเองพาพวกเขาไปยังคฤหาสน์ของตนเอง

ก่อนหน้าที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของเยี่ยเทียนจะสร้างเสร็จ โก่วซินเจียก็มาพักอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่น้องทั้งสามรวมตัวกัน แน่นอนว่าจะต้องเป็นสถานการณ์ที่ครึกครื้นยกใหญ่

ในตอนกลางวันกินอะไรรองท้องง่ายๆ ไป ทั้งหมดหลังจากนั่งลงที่ห้องรับแขกแล้ว คนที่ยกน้ำชาและรินแน่นอนว่าก็ต้องเป็นหลิ่วติ้งติ้งและโจวเส้าเทียน หลังจากชงและรินชาให้เยี่ยเทียนกับคนอื่นแล้ว ทั้งสองคนก็รามือไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง

กฎในฉีเหมิน ย่อมต้องใหญ่โตกว่าพวกกฎในสำนักยุทธภพพวกนั้น ตามปกติเยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ใจมาก แต่ในตอนนี้เท่ากับว่าอยู่ในเหตุการณ์ทีเป็นทางการ ก็ไม่มีโจวเส้าเทียนกับอีกคนเป็นสองที่นั่งแล้ว

ถึงแม้แต่ตำแหน่งที่นั่งของเยี่ยเทียนและคนอื่นนั้นก็มีกฎเกณฑ์ เยี่ยเทียนถึงแม้อายุจะน้อย แต่มีฐานะเป็นประมุขลัทธิ ก็นั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกลางที่นั่งแรก โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินก็ได้แต่ต้องนั่งอยู่บริเวณซ้ายขวาของเขาแล้ว

“ศิษย์น้อง ไม่เจอกันเดือนหนึ่ง มารยาทของนายนี่ก้าวหน้าไปมากนะ”

หลังจากนั่งลงเรียบร้อย โก่วซินเจียก็มองไปที่เยี่ยเทียนและหัวเราะขึ้นมา เดิมทีเขาคิดว่าศิษย์น้องนั้นจะอดใจไม่ไหวถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทันที ไม่คิดว่าตั้งแต่ต้นจนจบเยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไรซึกคำเดียว

“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่สองคนไม่ได้รีบร้อน ผมจะร้อนรนไปทำไมกันเล่า”

เยี่ยเทียนก็ยิ้มในสีหน้า “ยังไงซะคฤหาสน์หลังนี้สร้างเสร็จแล้ว ยังคงเป็นพี่กับศิษย์พี่รองอยู่อาศัย ผมก็แค่รีบเดินทางข้ามวันข้ามคืนมาจากปักกิ่งเท่านั้น”

“ได้ เจ้าเด็กน้อยนี่ฝึกปรืออีกไม่กี่ปี ก็จะกลายเป็นปราชญ์แล้ว”

โก่วซินเจียสรหน้าเป็นทางการ กล่าวว่า “เยี่ยเทียน นายรู้มั๊ยว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดทะเลนั้นทำไมถึงมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะเศรษฐกิจซบเซามั๊ย”

เยี่ยเทียนนึกย้อนกลับไปที่สถานที่นั้น กล่าวขึ้นว่า “สถานที่นั้นอยู่เรียบทะเลเป็นบริเวณอ่าว ด้านหลังก็ถูกภูเขากั้นเอาไว้ ชี่พิฆาตไม่มีทางระบาย เป็นเพราะแบบนี้จึงมีการเก็บกักสะสมมานานทำให้ความสมดุลของพลังหยินและหยางเสียไป จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมจากผู้คน”

มนุษย์เราเมื่อต้องการพรรณนาถึงลักษณะที่เป็นด้านบวก มักจะชอบใช้คำว่าสดใสเหมือนพระอาทิตย์และคำศัพท์อื่น และด้านที่ตรงข้ามก็จะใช้คำว่าหม่นหมองประเภทนี้ สถานที่หนึ่งหากว่าพลังหยินมีเยอะมากก็จะทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง

เป็นดั่งเช่นที่เยี่ยเทียนกล่าวสถานที่ท่องเที่ยวที่หยินและหยางไม่สมดุล จะทำให้ออร่าของคนนั้นรู้สึกว่าไม่เข้ากันอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าตอนแรกนั้นธุรกิจจะดีใหญ่โต แต่ในไม่ช้าก็จะค่อยๆ ถดถอยลงไป

เยี่ยเทียนคิดอีกซักครู่แล้วก็กล่าวต่อว่า “จริงๆ แล้วสถานที่นั้นน่าจะสร้างสุสานถึงจะเหมาะสม ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นตอคิดทำที่นั่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปได้”

หลังจากฟังที่เยี่ยเทียนกล่าวแล้ว จั่วเจียจวินก็พลันหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ศิษย์น้อง โดยสัตย์จริงเมื่อปีกลายฉันก็เสนอความคิดให้สร้างสถานที่นั้นไป แต่ว่า…ประชาชนที่นั่นท่าทางแข็งกร้าวและไม่เห็นด้วย…”

ถึงแม้ว่าในด้านของศาตร์วิชาจะเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่เช่นสถานที่รวมพลังหยินเอาไว้ จั่วเจียจวินแน่นอนว่าก็สามารถแยกแยะออกได้ ในตอนยี่สิบกว่าปีก่อน เขาเคยเสนอรัฐบาลของฮ่องกงให้เปลี่ยนเป็นสุสาน

เพียงแต่ว่าหมู่บ้านชาวประมงที่ฝากชีวิตไว้กับทะเลไม่กี่หมู่บ้านนั้นไม่เห็นด้วยที่จะให้พื้นที่โดยรอบบ้านตัวเองกลายเป็นสุสานล้อมรอบ คนพวกนี้การศึกษาไม่สูง มีหลายครั้งที่ขับไล่คนที่จะมาตรวจวัดชัยภูมิสถานที่ออกไป

เมื่อทำอะไรไม่ได้ รัฐบาลก็ให้ตำรวจเข้ามาไกล่เกลี่ย  แต่นั่นทำให้ผึ้งแตกรัง พวกคนหนุ่มในหมู่บ้านประมงที่เลือดร้อนและพวกตำรวจก็เกิดเหตุปะทะกันขึ้น ทำให้มีคนตายสามคนและบาดเจ็บสิบคน

ในสมัยที่รักสงบนั้นการสูญเสียนี้ถือว่าร้ายแรงมาก รัฐบาลของเกาะฮ่ององจึงรีบหยุดการก่อสร้างสุสาน

เพื่อเป็นการปลอบใจและทำให้ประชาชนในหมู่บ้านชาวประมงสงบลง ถึงได้ทำโครงการท่องเที่ยวออกมา และก็ทำให้หมู่บ้านชาวประมงมีรายได้เข้ามาในช่วงเวลาอันสั้น

เพียงแต่ว่าเป็นสาเหตุมาจากฮวงจุ้ยไม่ดี โครงการท่องเที่ยวเลยไม่ได้พัฒนาต่อ บวกกับรัฐบาลจำกัดธุรกิจประมงรอบเกาะฮ่องกง ชีวิตของประชาชนในหมู่บ้านชาวประมงพวกนี้ก็กลายเป็นเกิดความขัดสนกันขึ้นมา

ดังนั้นเมื่ออาจารย์จั่วที่มีชื่อของเกาะฮ่องกงไปยังสถานที่นั้นตรวจสอบชัยภูมินั้นกลายเป็นว่าได้รับการต้อนรับจากพวกผู้คนที่อยู่อาศัยที่นั่นอย่างล้นหลามต่อให้จะทำสุสาน พวกเขาก็เตรียมที่จะให้ความร่วมมือ

แต่ว่าได้ฟังมาว่าเพียงแต่ขยายถนนและก่อสร้างหินกลิ้งเสริมฮวงจุ้ยก็จะสามารถแก้ไขฮวงจุ้ยได้ ประชาชนที่อยู่ที่นั้นจึงได้ลงประชามติผ่านอย่างรวดเร็ว ตกลงให้ทำการก่อกสร้าง

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในโครงการก่อสร้างที่ง่ายๆ พวกประชาชนนั้นก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย เหมือนกับว่ามีสิ่งก่อสร้างโบราณห้าสิบปีอยู่บริเวณทางแยกถนน ก็เป็นพวกเขาที่รื้อถอนออกไป

แต่เรื่องนี้ก็มาเกิดตรงที่สิ่งปลูกสร้างโบราณนี้ ในตอนที่พวกเขาล้มอาคารเพื่อขุดฐานรากนั้น ตรงพื้นที่ด้านใต้ของอาคารนั้นขุดเจอซากศพกว่าสามสิบศพออกมา

ศพเหล่านี้ล้วนไม่ได้บรรจุในโลงไม้ แต่ฝังลงในดินโดยตรง ในตอนที่ขุดขึ้นมาล้วนแต่เป็นกระดูกขาวโพลน แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกดินโคลนทับถมย่อยสลายไปแล้ว

พวกชาวบ้านเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน ในตอนนั้นก็ตกใจจนทิ้งจอบเสียม แต่ละคนก็วิ่งแจ้นกลับบ้านกันหมด

เพียงแต่ในตอนกลางคืน ก็มีคนหนุ่มรุ่นกระทงเจ็ดแปดคนเกิดเรื่องขึ้น ใบหน้าแดงก่ำไข้ขึ้นสูง และพร่ำเพ้อไม่หยุด แต่เมื่อส่งไปโรงพยาบาลตรวจสอบ อุณหภูมิร่างกายกับปกติ

เรื่องน่าพิลึกพิลั่นแบบนี้ปรากฏออกมา พลันทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน เรื่องที่สถานที่นั้นมีหลุมศพคนเรือนหมื่นก็ถูกลือไปปากต่อปากทั่วเกาะฮ่องกง

ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ก็ออกมาประกาศว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ที่คนญี่ปุ่นใช้ประหาร เคยเป็นสถานที่สังหารประชาชนที่ไม่มี “บัตรคนดี” ในคืนเดียวกว่าหนึ่งร้อยคน

ต่อมาทหารญี่ปุ่นยอมแพ้ จากการแนะนำของผู้มีวิชา ให้สร้างอาคารหลังหนึ่งขึ้นไว้ด้านบน ประโยชน์ก็คือใช้สะกดวิญญาณของผู้ตายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สิ่งปลูกสร้างถูกรื้อถอนไปต่อตา แน่นอนว่าต้องเป็นวิญญาณพวกนั้นถูกปล่อยออกมาแน่

เมื่อเรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไป ทำให้ประชาขนที่อยู่บริเวณข้างเคียงหวาดกลัวไม่เป็นอันทำอะไร การก่อสร้างก็อย่าหวังว่าจะได้ทำต่อ เรื่องราวพวกนี้ก็แพร่สะพัดมาเข้าหูของจั่วเจียจวินและโก่วซินเจียอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่ใหญ่ ต่อให้สถานที่นั้นเคยมีคนตาย พี่กับศิษย์พี่รองก็น่าจะปัดเป่าออกไปได้ไม่ใช่เหรอ”

เมื่อได้ฟังจั่วเจียจวินกล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็หันไปมองโก่วซินเจีย ศิษย์พี่ใหญ่ถึงแม้ในด้านของศาสตร์วิขานั้นกล้าแกร่งไม่เท่าตัวเอง แต่บำเพ็ญตบะนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเองเลย

โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า “ในตอนนั้นที่เกิดเรื่องฉันกับโก่วซินเจียก็รุดไปแล้ว พวกชาวบ้านนั้นเป็นที่แน่นอนว่าถูกชี่พิฆาต พวกเราสามารถสลายได้ แต่สถานที่แห่งนั้น มีอะไรบางอย่างที่แปลก ฉันก็มองไม่ชัดเจน”

……………………………….