ตอนที่ 887 จุดโคมวิญญาณ
ยามเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มต้น มีผู้กล้าจากต่างบริเวณทั่วแดนฐิติประจิมเข้าร่วมนับหมื่น
แต่ช่วงที่การทดสอบถกมรรครอบสามนี้จวนสิ้นสุด กลับเหลือแค่พันกว่าคน อัตราการคัดออกช่างน่าตกตะลึงโดยไม่ต้องสงสัย
“หลินสวิน ใกล้ถึงแล้ว” เยวี่ยเจี้ยนหมิงเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่
ตลอดทางก่อนหน้าเขาเครียดเกร็งตื่นตัวอยู่เสมอ เกรงแต่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรอีก ตอนนี้จึงกล้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หลินสวินผุดลุกจากการนั่งสมาธิ ยืนบนกลีบบัวทอดมองห่างออกไป อาภรณ์โบกสะบัด มีไอโดดเด่นไร้มลทิน
หลังซัดซาหลิวฉานจนพ่าย ตลอดทางมานี้พวกเขาไม่พบอุปสรรคอะไรอีก อาศัยโอกาสนี้ หลินสวินก็ทำให้ขั้นพลังปราณของตนเสถียรมั่นคงโดยสมบูรณ์
ไม่เพียงเท่านี้ การล่องเรือดอกบัวในทะเลปรวนแปร สภาวะจิตล้วนได้รับการเคี่ยวกรำตลอดเวลา ทำให้หลินสวินได้ประโยชน์ไม่น้อย ความแข็งแกร่งมั่นคงแห่งสภาวะจิตเปลี่ยนเป็นประหนึ่งดุจหินผาร้อยหลอมโดยไม่ต้องสงสัย
จิตดั่งหินผา แม้โลกธรรมทั้งแปดก้าวล้ำเข้ามา ยังคงตระหง่านไม่ไหวติง
มีประโยชน์อันไม่อาจประเมินสำหรับการบำเพ็ญมหามรรค อย่างน้อยที่สุดเมื่อเลื่อนขั้นทะลวงปราณต่อจากนี้ ด่านเคราะห์ปกติไม่อาจส่งผลต่อจิตใจหลินสวินได้
“ข้ารู้สึกว่าสภาวะจิตเหมือนได้รับการชะล้างและยกระดับใหม่ทั้งหมด แน่วแน่ในมรรคาแห่งตนยิ่งกว่าเดิม”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงกล่าว
เห็นชัดว่าไม่ใช่แค่หลินสวิน เยวี่ยเจี้ยนหมิงและผู้กล้าคนอื่นคงต่างได้รับประโยชน์จากการทดสอบครั้งนี้
“ถึงแล้ว”
เส้นชายฝั่งอยู่ในสายตา หลินสวินเห็นผู้แข็งแกร่งมากมายที่ขึ้นฝั่งต่างเผยสีหน้ายกภูเขาออกจากอก
มองย้อนกลับไป ทะเลปรวนแปรฟองคลื่นไหลเชี่ยว คลื่นโถมโอฬาร นี่ทำให้หลินสวินอาวรณ์อยู่เสี้ยวหนึ่ง
ทะเลปรวนแปรแม้อันตราย แต่กลับเป็นแดนมงคลที่เคี่ยวกรำสภาวะจิต หากสามารถฝึกปราณอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่ง คงเพียงพอทำให้สภาวะจิตของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
น่าเสียดาย นี่ก็คือวาสนาซึ่งมีแค่ครั้งเดียว
…
การทดสอบด่านที่สี่มีชื่อว่า ‘จุดโคมวิญญาณ’ สิ่งที่ทดสอบคือพลังจิตวิญญาณ
ก่อนบททดสอบเริ่มต้น ผู้แข็งแกร่งพันกว่าคนรวมหลินสวินถูกเคลื่อนย้ายมายังทุ่งโล่งกว้างผืนหนึ่งผ่านยันต์มรรคในมือ
ม่านรัตติกาลปกคลุมเวิ้งฟ้า มืดสนิทไปทั้งแถบ
เงยหน้ามองไป สามารถเห็นว่าบนห้วงอากาศสูงราวหมื่นจั้งนั่น ปรากฏโคมดวงแล้วดวงเล่าลอยคว้างอยู่
แต่ละดวงมีขนาดเพียงกำปั้น ประดุจหลอมจากหินผลึก เรืองแสงสีเงินนุ่มนวล
นี่ก็คือโคมวิญญาณ สมบัติซึ่งหลอมจาก ‘ผลึกจิตมายา’ เจตวัตถุที่สาบสูญไปนานแล้วในปัจจุบัน
เจตวัตถุ!
แค่เพียงคำนี้ก็พอพิสูจน์ความล้ำค่าและหายากของโคมวิญญาณ
“ด่านนี้ สิ่งที่ทดสอบคือพลังจิตวิญญาณ ในห้วงอากาศหมื่นจั้งอัดแน่นไปด้วยลมกาฬวาต ไอชั่วร้าย สภาพอากาศแปรปรวนและอสนีเคราะห์ หมายจุดโคมวิญญาณต้องควบคุมกำลังแห่งพลังจิต พุ่งทะยานสู่ฟ้าหมื่นจั้งนี่”
“พลังจิตยิ่งแข็งแกร่ง โอกาสผ่านการทดสอบก็ยิ่งมาก เทศกาลโคมกถามรรคในอดีต ด่านที่สี่นี้แม้ไม่ใช่ด่านที่อัตราการคัดออกสูงสุด แต่กลับเป็นด่านที่ยากลำบากที่สุด”
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดวิพากษ์วิจารณ์ ต่างเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
คนที่สามารถทะลวงผ่านการทดสอบสามรอบแรกมาถึงที่นี่ แทบจะเป็นยอดบุคคลในเหล่าผู้กล้าทั้งสิ้น แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่มีใครกล้าประมาท
เยวี่ยเจี้ยนหมิงเอ่ยเสียงเบา “ด่านนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกลอบโจมตี หากมีคนลงมือเพียงครั้งจะถูกคัดออกทันที”
หลินสวินพยักหน้า สายตาเหลือบมองคราหนึ่งและเห็นซาหลิวฉานในฝูงชน เจ้าหมอนี่ไม่สะทกสะท้าน ไม่มีทีท่าของผู้ปราชัยซึ่งควรมีแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นสายตาหลินสวิน เขาถึงขั้นยิ้มเล็กน้อย ทำมือปาดคอสื่อความอย่างไร้เสียง
อาการยั่วยุนี้ชัดเจนเกินไป เห็นได้ว่าเขามองออก ว่าบนทุ่งโล่งกว้างนี้หลินสวินไม่กล้าลงมือเด็ดขาด
“เจ้าหมอนี่ช่างหน้าด้านจริงๆ” เยวี่ยเจี้ยนหมิงคิ้วขมวด
หลินสวินเอ่ยถาม “เจ้าเคยกินเนื้อฉลามสมุทรหรือไม่”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงชะงัก “ยังไม่เคย”
หลินสวินยิ้มกล่าว “รอข้าฆ่าเจ้าหมอนั่น พวกเรามาชิม ‘อาหารทะเล’ นี้ด้วยกัน ก่อนหน้านี้ข้าเคยกินเนื้อสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมาก่อน รสชาติเรียกได้ว่าล้ำเลิศ ก็ไม่รู้ว่าเนื้อฉลามสมุทรรสชาติเป็นอย่างไร”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงสีหน้าพิลึกพิลั่น เจ้าหมอนี่ไม่เพียงใจกล้า แม้แต่ความรสชาติอาหารที่ชื่นชอบยังผิดแปลกเกินธรรมดา
อาหารทะเล?
ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้เคียงสีหน้าพิกล เพิ่งเคยได้ยินคนกล้ามองซาหลิวฉานบุตรเทพเผ่าฉลามสมุทรเป็นอาหารทะเลเลิศรสครั้งแรก
แต่ซาหลิวฉานที่อยู่ห่างไปกลับสีหน้าอึมครึม ไม่อาจอยู่เฉย ความแค้นในใจดุจเพลิงผลาญ ลอบกล่าวว่า เทพมารหลินเอ๋ยเทพมารหลิน รอถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ข้าจะให้เจ้าเข้าใจอะไรที่เรียกว่าตายก็ไม่ได้อยู่ก็ไม่สามารถ!
เสียงธรรมราวเสียงธรรมชาติสายหนึ่งดังขึ้นบนเวิ้งฟ้ายามราตรี โคมวิญญาณมากมายซึ่งเดิมเงียบงันไม่ขยับ ขณะนี้เริ่มแกว่งไกวเวียนวน เริงระบำเหนือห้วงอากาศหมื่นจั้ง
ฟึ่บ!
ทุกสายตาต่างมองไปในชั่วพริบตา การทดสอบด่านที่สี่เริ่มขึ้นแล้ว!
…
นอกเขาพยับคราม
“การทดสอบด่านที่สี่เริ่มขึ้นแล้ว ลือกันว่าสมัยบรรพกาล มีเพียงสำนักใหญ่ชั้นเลิศซึ่งยอดเยี่ยมที่สุดจึงจะมีมรดก ‘จุดโคมวิญญาณ’ เมื่อใดที่ศิษย์สามารถจุดโคมวิญญาณได้ ก็บ่งชี้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณสามารถส่องนำมรรคาแห่งตน ไปเสาะหาปริศนาแห่งระดับราชันที่แท้จริงได้”
“ไม่ผิด จิตวิญญาณดุจดวงประทีป ส่องประกายสู่ตน พลังจิตไม่เสื่อมสูญ โคมวิญญาณสว่างชั่วนิจนิรันดร์ หากสามารถผ่านการทดสอบเช่นนี้ ก็บ่งชี้ว่ามีศักยภาพในการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน มีความหวังในมหามรรคแล้ว!”
คนใหญ่คนโตมากมายกำลังแลกเปลี่ยนความเห็น
“การจุดโคมวิญญาณไม่ใช่ธรรมดาเพียงแค่นี้ พลังที่จุดโคมวิญญาณต่างกันไป พลังแผงซึ่งเป็นลางในการกลายเป็นราชันก็ต่างออกไป”
ทันใดนั้นท่านย่ากระเรียนทองเอื้อนเอ่ย “โดยทั่วไปพลังโคมวิญญาณแบ่งเป็น ‘แววระยับ’ ‘สว่างไสว’ ‘สุริยันกลางนภา’ สามระดับ”
“ทั้งสามระดับไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติและพลังแฝงแห่งตน มุ่งเน้นแค่จิตวิญญาณ ผู้ที่พลังจิตวิญญาณธรรมดา โคมวิญญาณที่จุดสว่างคงได้แค่ ‘แววระยับ’ แต่ผู้มีพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่ง สามารถจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สว่างไสว’ ”
“สำหรับโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’… นี่คงไม่อาจกล่าวแน่ชัด เพราะเกี่ยวเนื่องกับปริศนาแก่นแท้ของจิตวิญญาณ แม้แต่อริยะก็ไม่อาจให้คำวินิจฉัยที่แม่นยำ”
“มู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของข้า ในวัยเยาว์ยามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ก็เคยจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’ ได้ ต่อมาใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีก็ก้าวสู่ระดับราชันในคราเดียว ยืนหยัดเหนือปลายยอดแห่งยุคสมัย บัดนี้… เขาขาดแค่ครึ่งก้าวก็สามารถก้าวสู่ระดับอริยะแล้ว!”
พูดถึงความลับนี้ คนใหญ่คนโตในที่นั้นต่างไหวหวั่นไม่หยุด
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้เลยว่า มู่ซางเสวี่ยในปีนั้นยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเป็นเลิศเช่นนี้
“ดูท่าเรือนกระบี่เร้นปุจฉาของพวกเจ้าครานี้ คงมียอดบุคคลเหมือนเจ้าสำนักมู่ซางเสวี่ยอีกคนแล้ว” มีคนใหญ่คนโตทอดถอนใจ
“จี้ซิงเหยาเป็นผู้กล้าหญิงแห่งยุคที่หาได้ยากอย่างแท้จริง ทว่านอกจากนางแล้ว ผู้กล้าแห่งยุคคนอื่นก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน” และมีบางคนอื่นเอ่ยตาม
ท่านย่ากระเรียนทองส่ายศีรษะพลางกล่าว “พวกเจ้าพูดผิดแล้ว การทดสอบด่านที่สี่นี้ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติและพรสวรรค์ จุดสำคัญคือจิตวิญญาณ อีกทั้งเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ล้วนต่างจากอดีต การทดสอบจุดโคมวิญญาณคราวนี้คงเกิดเรื่องไม่อาจคาดเดามากมาย”
ทุกคนตะลึงงัน ตกอยู่ในห้วงความคิด
…
ม่านรัตติกาลราวสีหมึก
บนทุ่งโล่งกว้าง ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดนั่งขัดสมาธิ โคจรพลังจิตเต็มกำลัง พุ่งทะยานไปบนนภาสูงหมื่นจั้ง
เพียงชั่วขณะก็เห็นพลังจิตวิญญาณหลากสีเจิดจรัส พวยพุ่งจากเหนือศีรษะผู้แข็งแกร่งแต่ละคน โฉบขึ้นนภากาศราวรุ้งเทพ
พลังจิตวิญญาณเหล่านั้นบ้างสว่างสุกสกาว บ้างลุ่มลึกอัดแน่น
บ้างแดงสดดุจอัคคี ลุกโชนร้อนแรง
บ้างแข็งแกร่งหนาทึบ ทรงพลังดั่งควันสงคราม
นี่ก็คือรูปลักษณ์ของจิตวิญญาณ โดยปกติอาศัยเพียงการมองยากมากที่จะแบ่งสูงต่ำแกร่งอ่อน
แต่ในการทดสอบจุดโคมวิญญาณด่านที่สี่นี้ พลังจิตวิญญาณของผู้กล้าพันกว่าคนต้องถูกแบ่งระดับสูงต่ำ
ผู้อ่อนแอจะถูกคัดออก
ส่วนผู้แข็งแกร่งจะมีโอกาสจุดโคมวิญญาณ สืบเสาะแก่นแท้ของจิตวิญญาณแห่งตนจากพลังที่ผลิบานในโคมวิญญาณ!
ในที่นั้นเงียบสงัด จิตวิญญาณมากมายทะลวงเมฆา ในสีรัตติกาลประดุจมีรุ้งเทพหลากสายทะยานขึ้น แผ่ความงามแห่งตน
ทว่าไม่ช้าก็มีเสียงอึดอัดเจ็บปวด คร่ำครวญทรมานดังขึ้นแผ่วๆ
บนห้วงอากาศ ลมกาฬวาตดั่งดาบแผดเสียงก้องเสียดหู กาฬวาตนี้หาใช่ลมธรรมดา มีพลังทำลายล้างที่สามารถพัดจิตวิญญาณผู้ฝึกปราณให้แตกซ่าน
พร้อมกันนั้นยังมีไอชั่วร้ายสีดำแผ่ขยายม้วนกลืน หากพลังจิตวิญญาณถูกปนเปื้อนเพียงครั้ง จะเกิดภาพหลอนทับซ้อน ทำให้สติเรรวน หากร้ายแรงจิตวิญญาณจะจมดิ่งถลำลึก!
นอกจากลมกาฬวาตและไอชั่วร้ายแล้ว บนห้วงอากาศนั่นยิ่งสูงยิ่งน่ากลัว มีลำแสงแปรปรวนควบทะยานราวแม่น้ำไหลเชี่ยว
และมีอสนีเคราะห์ที่ประหนึ่งรังสีเล็กๆ มากมาย ดูละเอียดดั่งมายา แต่กลับมีพลังสังหารพิฆาตจิตวิญญาณ
ตามเวลาที่ล่วงเลย พลังจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งยังไม่ทันทะยานขึ้นสูงไปบนห้วงอากาศ ก็ถูกลมกาฬวาตบุกจู่โจม ได้รับบาดเจ็บสาหัสกระจัดกระจายถอยร่น
ไม่นานนักพวกเขาส่งเสียงครางแผ่ว ครวญอนาถ เจือความไม่พอใจที่ถูกคัดออกอย่างสุดซึ้ง
ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งสำแดงความล้ำเลิศเหลือประมาณ ทะลวงข้ามลมกาฬวาต พุ่งเหนือไอชั่วร้าย โฉบผ่านลำแสงแปรปรวนตลอดทาง… ทะยานสู่ที่สูงยิ่งกว่าบนห้วงอากาศ
เฉกเช่นจี้ซิงเหยา พลังจิตวิญญาณนางขาวสะอาดดุจหิมะ ศักดิ์สิทธิ์เหนือห้วงมายา พุ่งตรงตลอดทางราวไม่อาจขัดขวาง นำหน้าผู้คนไปไกล แต่เมื่อเข้าสู่เขตอุดมอสนีเคราะห์จึงประสบอุปสรรค ไม่อาจไม่ต้านทานเต็มกำลัง
คนที่เหมือนจี้ซิงเหยาก็มีไม่น้อย เช่นอวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวินพวกนี้ ต่างนำหน้าคนอื่นๆ บุกทะยานเต็มกำลัง
นี่ก็คือบุคคลแห่งยุค กล้าใช้สมญา ‘แห่งยุค’ ก็แสดงออกชัดแจ้งว่าคุณสมบัติ พรสวรรค์ ปราณ และจิตวิญญาณของพวกเขาล้วนเหนือธรรมดา อยู่เหนือผู้ฝึกปราณทั่วไป
ในกระบวนการนี้หลินสวินกลับเหมือนซ่อนเร้น เขาควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้นานแล้ว สำหรับการทดสอบจุดโคมวิญญาณหาได้มีอะไรต้องกังวล
เขาในตอนนี้กำลังใช้พลังจิตวิญญาณสัมผัสพลังนานัปการบนอากาศ
ลมกาฬวาต ไอชั่วร้าย ลำแสงปรวนแปรเหล่านั้น… ต่างถูกเขาใช้พลังจิตวิญญาณสัมผัสโดยละเอียด เพื่อศึกษาและหยั่งถึง
นี่ก็คือการบำเพ็ญบนความเข้าใจอย่างหนึ่ง ไม่เพียงแต่เปิดโลกทัศน์ เพิ่มพูนความรู้ต่อการฝึกปราณเท่านั้น ยังมีคุณประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินได้ต่อการบำเพ็ญเพียรของเขาในภายภาคหน้า
คำว่าบำเพ็ญเพียร ก็คือกระบวนการมองฟ้า มองดิน มองตนเอง ส่วนการค้นหามหามรรค แท้จริงแล้วก็คือความเข้าใจและการหยั่งรู้ต่อโลก ต่อตนเองประการหนึ่ง
ระดับปราณยิ่งสูงก็ยิ่งต้องเข้าใจแก่นแท้ของมหามรรคฟ้าดิน ไม่เช่นนั้นมรรคาคงไม่พัฒนาแม้เพียงก้าว
เอ๋!
ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นโดยไม่ตั้งใจ ว่ามีพลังจิตวิญญาณสายหนึ่งทะยานขึ้นมาจากด้านหลัง อาศัยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาพุ่งทะยานขึ้นไป สลัดบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งไว้เบื้องหลังตลอดทาง!