ชั้นสามถูกนำมาจัดงานทั้งชั้น เมื่อเจี่ยว่างชวนพาเฉินโม่และคนอื่นๆมาถึงตรงประตูชั้นที่สาม ชายหนุ่มที่สวมชุดสูทสีดำเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นพวกเขา ก็พูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “เฮ้ย ประธานของบริษัทว่างชวนกรุ๊ปมาถึงแล้ว”
เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้ เฉินโม่รู้สึกได้ถึงเจี่ยจวินเซี่ยที่อยู่ด้านข้างหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย
สีหน้าของเจี่ยว่างชวนไม่เปลี่ยน “พูดอย่างราบเรียบ ประธานหานจัดงานทั้งที ผมกล้าที่จะไม่มาเหรอ?”
แววตาของชายหนุ่มมีความลำพองใจ หัวเราะแล้วพูด “ท่านประธานเจี่ยพูดเล่นแล้ว ปกติพ่อของผมนั้นเคารพท่านมากที่สุด เอาท่านเป็นเยี่ยงอย่างมาโดยตลอด!”
“เชิญเข้าไปข้างในเลยครับ!” ชายหนุ่มคนนั้นผายมือเชิญ และมองเฉินโม่โดยไม่ได้ตั้งใจ ในแววตานั้นแฝงไว้ด้วยความหมายของการข่มขู่
เฉินโม่เดินตามเจี่ยว่างชวนเข้ามาในงานเลี้ยง
ในงานมีแขกมาแล้วไม่น้อย ขณะที่เห็นเจี่ยว่างชวนเข้ามา เฉินโม่สังเกตเห็นว่า แววตาของคนบางส่วนก็เป็นประกาย
ไม่ช้า ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทก็ได้เดินเข้ามา ยิ้มทักทาย “ประธานเจี่ย ไม่เจอกันนานเลย!”
“ไม่เจอกันนานเลย!” เจี่ยว่างชวนมองพวกเขา แล้วยิ้มๆ มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เจี่ยว่างชวนหันไปพูดกับเจี่ยจวินเซี่ย เสี่ยวเซี่ย นายกับเพื่อนของนายไปเดินตามสบายเลย พ่อกับคุณอาทั้งหลายมีเรื่องต้องคุยกัน
เจี่ยจวินเซี่ยพยักหน้า “ครับ!”
“เฉินโม่ เราไปทางโน้นก่อนเถอะ! เจี่ยจวินเซี่ยมองเฉินโม่แล้วพูด
เฉินโม่พยักหน้า “โอเค!”
เมื่อตามเจี่ยจวินเซี่ยมาถึงอีกฝั่ง เจี่ยจวินเซี่ยก็กระซิบพูด “พวกเขาเป็นเพื่อนรักของพ่อฉัน คาดว่าน่าจะถูกตระกูลหานข่มขู่ด้วยเช่นกัน ต้องหารือกับพ่อฉันถึงวิธีการรับมือกับตระกูลหานอย่างแน่นอน!”
เฉินโม่พยักหน้า แม้ว่าเขาจะเดินห่างจากเจี่ยว่างชวนและคนอื่นแล้ว แต่ว่าพลังการฟังของเขา ขอเพียงอยากฟัง การสนทนาของพวกเขาก็ไม่สามารถปิดบังเขาได้
เขารู้ว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกัน เป็นเหมือนกับสิ่งที่เจี่ยจวินเซี่ยพูด กำลังหารือถึงวิธีการรับมือกับตระกูลหาน
“เอ่อ ไอ้เจี่ย นายบอกตระกูลหานใครๆก็เป็นตระกูลบู๊เหรอ?” เฉินโม่ถามขึ้นในทันที
เจี่ยจวินเซี่ยส่ายหัว “ไม่ใช่ ตระกูลหานก็เหมือนกับพวกเรา เป็นคนธรรมดาทั่วไป ตระกูลหานเป็นคู่แข็งคนสำคัญของตระกูลฉันมาโดยตลอด อำนาจของเราสองตระกูลไม่ต่างกันนัก เพียงแค่ไม่รู้ว่าพวกเขาไปรู้จักปรมาจารย์บู๊คนนั้นมาจากไหน ตอนนี้พวกเรานั้นถูกตระกูลหานกดดันทั้งหมด!”
เฉินโม่คิดในใจ “ไม่ใช่ตระกูลบู๊ คาดว่าปรมาจารย์บู๊ที่ว่าน่าจะเป็นเพียงผู้ฝึกทั่วไป ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโลกบู๊โบราณ!”
คนยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ ค่อยๆก่อตัวเป็นสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายหนึ่งมีเจี่ยว่างชวนเป็นผู้นำ อีกฝ่ายหนึ่งมีตระกูลหานเป็นผู้นำ
ดูแล้วเจี่ยว่างชวนที่อยู่ในเมืองเหลียวโจวบารมีก็ไม่น้อยเลย
เมื่อคนมาใกล้ครบแล้ว ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสูทสีเทาก็ค่อยๆเดินขึ้นไปบนเวที หยิบไมค์ที่บริกรยื่นให้ กระแอมไปหนึ่งที
“ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ!”
ในห้องจัดเลี้ยง คนที่กำลังสนทนากันอยู่ สายตาก็มองไปยังคนที่พูดอยู่บนเวที
เมื่อในงานเงียบสงบแล้ว คนบนเวทีก็ยิ้มแล้วพูด “ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอันมีค่ามาร่วมงานที่ตระกูลหานจัดขึ้น……”
คนที่อยู่บนเวทีก็พูดคำพูดตามมารยาททั่วไป เจี่ยว่างชวนโบกมือเรียกเจี่ยจวินเซี่ยที่อยู่ไม่ไกล เพื่อให้เจี่ยจวินเซี่ยไปหา
“เฉินโม่ เราไปกันเถอะ!”
“อืม!”
ทั้งสองคนเดินมาที่ข้างกายของเจี่ยว่างชวน เจี่ยว่างชวนมองชายวัยกลางคนที่กำลังพูดอย่างน่าเกรงขามในบนเวที แล้วพูดเสียงต่ำ “สิ่งที่หานเทียนฟ่างพูดดูเหมือนจะเปิดเผยและยึดมั่นในคุณธรรม ช่างพูดได้คล่องปากเหลือเกิน!”
เจี่ยจวินเซี่ยพูดอย่างเย็นชา “จอมปลอม คนที่อยู่ในงานมีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลหานนั้นมีความทะเยอทะยานอย่างมาก เขากล้าดียังไงถึงได้แสดงท่าทีที่ดูมีคุณธรรมเช่นนี้? ไร้ยางอายสุดๆ!”
เฉินโม่มองคนที่อยู่บนเวที ดูแล้วนายคนนี้น่าจะเป็นผู้นำของตระกูลหาน
อย่างไรก็ตามปรมาจารย์คนนั้นยังไม่ได้ปรากฏตัว เฉินโม่ใช้พลังสัมผัสคนที่อยู่ในงานอย่างละเอียดแล้ว มีเพียงพวกนักบู๊แดนนอกที่ด้อยฝีมือ ไม่มีนักบู๊แดนในเลย น่าจะเป็นบอดี้การ์ดที่เหล่าเศรษฐีจ้างมา