พวกท่านอ๋องฉีอยู่แต่ในห้องของตนไม่ได้ออกมา ส่วนเซี่ยเฟิงก็ครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ในห้อง จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนมาสืบข่าวพวกเขา  

 

 

หลังจากที่บ่าวรับใช้ของจวนฮั่วกลับไปแล้ว ก็รายงานเรื่องที่ตนไปสืบมาตามจริง ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ลูบเครา แล้วยิ้มออกมาด้วยความได้เปรียบว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขาอยู่ที่เจียงหนานไปตลอดกาลเถิด” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์โตที่เมืองหลวง เข้าใจจวนอ๋องฉีเป็นอย่างดี คิดอยู่พักหนึ่ง โน้มน้าวว่า “ท่านตา อย่าได้วู่วามเป็นอันขาดนะเจ้าคะ จวนอ๋องฉีไม่ได้มีแค่องครักษ์เงาเท่านั้น แถมยังมีองครักษ์ลับอีกสามพันนาย พวกเขาออกเดินทาง ไม่มีทางไม่พาคนพวกนั้นมาแน่นอน พวกเราต้องสืบให้ดีก่อน แล้วค่อยลงมือ จัดการพวกเขาอย่างแยบยล มิเช่นนั้นอาจมีปัญหาภายหลังได้นะเจ้าคะ” 

 

 

“องครักษ์เงางั้นรึ” ฮั่วเจี่ยรู้ เพราะในจวนของเขาก็มีเช่นกัน เอาไว้สำหรับคุ้มกันเจ้านายเท่านั้น แต่องครักษ์ลับนั้นไม่เคยได้ยิน เลยถามว่า “องครักษ์ลับคืออะไร” 

 

 

ตอนนี้เรื่ององครักษ์ลับไม่ใช่ความลับอะไรอีกต่อไปแล้ว รู้กันทั้งเมืองหลวง หลิวอวี้เอ๋อร์ก็พอรู้มาบ้าง จึงอธิบายให้ฟัง 

 

 

ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ลูบเคราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ ไว้มีโอกาสข้าจะให้คนไปสืบเรื่องพวกเขามา” 

 

 

 

 

 

ส่วนอีกทางหนึ่ง เกิดเรื่องขึ้นในรัฐ จึงต้องดูแลงานราชการตลอดเวลา ท่าป๋าหั่นหลินจึงต้องรีบรุดกลับมา สีหน้าดำทมิฬขึ้นทุกวัน หลายเดือนมาแล้ว ยังหาจังหวะที่เหมาะสมในการลงมือไม่ได้สักที ส่วนที่รัฐอิง พี่น้องของเขา กำลังฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ วางแผนการลับ เพื่อจะแย่งบัลลังก์ของเขา ถ้าหากไม่มีเสด็จแม่ของเขาเป็นหูเป็นตาให้ หาตัวการที่คอยยุแยงวางแผนการลับพวกนั้น แล้วส่งม้าเร็วไปเรียกตัวเขากลับมาหยุดยั้งได้ทันการพอดี มิเช่นนั้นล่ะก็ ตำแหน่งฮ่องเต้ของรัฐอิงคงถูกช่วงชิงไปนานแล้ว และปัญหาของทั้งหมดนั้นมาจากยัยหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่นคนเดียว ตอนแรก ที่นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย แล้วมายั่วยวนเสด็จพี่ เลยทำให้เขาต้องมาตายอย่างน่าอนาถในเงื้อมมือของหวงฝู่อี้เซวียน พอมาวันนี้ยังบังอาจมาปฏิเสธงานแต่งงานอีก แถมยังมีหน้าให้เขาต้องมาวิ่งตามนางครั้งแล้วครั้งเล่า ยังต้องคิดหาวิธีเข้าใกล้นาง อ่อยนาง ทำให้นางปฏิเสธตนไม่ได้ แล้วแต่งงานกับตน  

 

 

ยืนมองรถม้าที่แล่นผ่านไปมาด้านนอกจากริมหน้าต่างโรงเตี๊ยม ความกดดันก็ค่อยๆ รุมเร้าเข้ามาเรื่อยๆ ความเดือดดาลภายในใจก็ค่อยๆ ประทุออกมา เลยกดเสียงต่ำออกคำสั่งว่า “ไปสืบมาให้ไว ว่าพวกเขามีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง” 

 

 

มีเสียงตอบรับ แล้วออกไป พร้อมกับแอบถอนหายใจออกมา เพราะจริงๆ แล้วพวกเขาเข้าใกล้พวกท่านอ๋องฉีไม่ได้เลยสักนิด ไปสืบได้ แต่ก็ลงมือไม่ได้อยู่ดี ทำได้เพียงไปสืบความจากโรงเตี๊ยมที่พวกเขาพำนักอยู่เท่านั้น  

 

 

เดือนห้าของเจียงหนาน อากาศร้อนระอุ เกรงว่าพระชายาฉีจะทนความร้อนนี้ไม่ไหว ในวันที่สอง ท่านอ๋องฉีและอีกสามคนออกจากโรงเตี๊ยมตั้งแต่เช้าตรู่ นั่งรถม้าชมนกชมไม้ไปอย่างสบายใจ  

 

 

ออกเดินทางไปได้ครึ่งชั่วยาม ยังไม่ทันถึงที่หมายที่เถ้าแก่แนะนำมา ท่านอ๋องฉีก็รู้สึกได้ว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเขา แต่ไม่ได้บอกให้อีกสามคนตื่นตระหนก จึงแอบเปิดม่านรถม้าออก แล้วมองไปรอบๆ พอรถม้ามาถึงที่ๆ เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านสักเท่าไร ล้อรถที่เคลื่อนอยู่ก็มีเสียงดังจนแสบแก้วหู 

 

 

วางม่านรถม้าลง แล้วสั่งคนรถว่า “รีบหน่อย วันนี้อากาศร้อน เราจะต้องถึงโรงเตี๊ยมให้ได้ก่อนเวลากลางวัน” 

 

 

คนรถตอบรับ ฟาดแซ่ลงไป ให้ม้าเร่งความเร็วมากกว่าเดิม  

 

 

และในขณะนั้น ก็มีกลุ่มคนเสื้อดำปรากฏตัวขึ้น มือถือดาบเล่มใหญ่ ยืนขวางรถม้าอยู่  

 

 

คนรถตกใจมาก รีบดึงแซ่ให้ม้าหยุด แล้วรายงานว่า “ท่านอ๋องขอรับ พวกเราพบโจรขอรับ” 

 

 

คำพูดของเขา ทำให้ท่านอ๋องฉีเปิดม่านออก แต่พอเห็นคนพวกนั้นเป็นคนที่ได้รับการฝึกมา ก็หรี่ตา  

 

 

พระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่นานถึงกลับมามีสติ หวงฝู่เย่าเย่ว์นึกสนุก เลยลุกขึ้น เพื่อจะชะเง้อมองออกไปด้านนอก  

 

 

แล้วพระชายาฉีก็เอ็ดนาง “เย่ว์เอ๋อร์ อย่างวู่วาม” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่กล้าขัดคำสั่ง นั่งกลับไปโดยดี ได้แต่เอียงคอมองม่านรถที่โดนท่านอ๋องฉีเปิดออก ด้วยความตื่นตาตื่นใจ  

 

 

“ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามทำอะไรเป็นอันขาด!” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเสร็จ ก็โค้งตัวลงจากรถม้ามา ม่านที่ปิดลง เหมือนการตัดขาดจากภายนอก  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ประหลาดใจเหลือทน เอื้อมมือไปยกม่านรถม้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองออกไปด้านนอก  

 

 

พระชายาฉีกังวล แต่ก็อยากรู้สถานการณ์ด้านนอกเช่นกัน จึงไม่ได้ห้ามนาง 

 

 

ท่านอ๋องฉีลงจากรถม้ามา ยืนตัวตรง มือไพล่หลัง ถามอย่างช้าๆ ว่า “ทุกท่าน นี่มันกลางวันแสกๆ มาขวางทางรถม้าเช่นนี้ ช่างบังอาจนัก” 

 

 

แล้วมีคนหนึ่งหัวเราะออกมา “งานของพวกข้าก็คือขวางทางรถแล้วปล้นสิ่งของมีค่ามา ถ้าใจไม่เด็ดพอ แล้วจะมีเงินได้เยี่ยงไร ถ้าเข้าใจแล้ว ก็เอาของมีค่าออกมาให้หมด ไว้พวกข้าพอใจเมื่อไรก็จะปล่อยพวกเจ้าไป” 

 

 

“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น  

 

 

“อั้ยหยา วันนี้เจองานหนักแล้วล่ะสิ” คนเมื่อครู่พูดตอบ “ไม่ให้งั้นรึ ถ้าไม่ให้ เชงเม้งปีนี้ครอบครัวพวกเจ้าคงได้ไหว้พวกเจ้าแน่” 

 

 

“ทุกวันนี้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า พวกเจ้ายังหนุ่มยังแน่น ทำไมไม่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่กลับมาเป็นโจรเช่นนี้ พวกเจ้าไม่กลัวราชสำนักจะเล่นงานพวกเจ้างั้นรึ” 

 

 

“ราชสำนักคืออะไร ในย่านเจียงหนานแห่งนี้ มันขึ้นอยู่กับข้า อย่ามาพูดมาก เอาของมีค่าออกมาให้หมด ไม่งั้นเจอดีแน่” 

 

 

ท่านอ๋องฉีหยิบกระเป๋าที่ติดตัวออกมาอย่างช้าๆ ถืออยู่ในมือ ลูบเบาๆ แล้วพูดว่า “ในนี้มีเงินอยู่หลายพันตำลึง ถ้าหากพวกเจ้าอยากได้ ก็เข้ามาเอาเอง” 

 

 

ดวงตาของคนพวกนั้นก็เป็นประกาย เจ้านายสั่งมาว่า ถ้าหากครั้งนี้ทำสำเร็จ ของที่ได้มาก็จะเป็นของพวกเขา เงินหลายพันตำลึงนี้ก็จะเอามาแบ่งๆ กัน มันพอที่จะใช้เอาไปเคล้านารีที่หอนางโลมได้เป็นเดือน  

 

 

คิดได้เช่นนั้น ก็โบกมือให้กับชายที่อยู่ข้างๆ “เจ้า ไปเอากระเป๋านั้นมาให้ได้” 

 

 

คนนั้นกำลังจะก้าวเท้าออกมา ท่านอ๋องฉีก็ชี้ไปที่คนที่พูดอยู่ว่า “เจ้ามาเถอะ ข้าจะดูหน่อยสิว่าพวกเจ้าจะมีน้ำยาสักเพียงใดกันเชียว” 

 

 

“อื้อหือ” ชายคนนั้นเข้าใจในความหมาย จึงโกรธเป็นอย่างมาก “ไอ้แก่เอ้ย ยังจะมาเล่นลิ้นกับข้าอีกนะ เงินแค่นี้ มันจะแค่ไหนกันเชียววะ” 

 

 

พูดจบ ก็มุ่งไปหาท่านอ๋องฉีทันที  

 

 

แล้วท่านอ๋องฉีก็ยื่นกระเป๋านั้นให้  

 

 

คนนั้นก็กำลังจะหยิบมาด้วยความดีใจ  

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องฉีจะชักกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วถีบเขาออกไป 

 

 

คนนั้นไม่ทันระวัง โดนถีบจนกระเด็นตกลงที่พื้นอย่างแรง 

 

 

“พี่ใหญ่!” 

 

 

“พี่ใหญ่!” 

 

 

…… 

 

 

คนที่เหลือร้องเรียกออกมา แล้ววิ่งไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา  

 

 

ท่านอ๋องฉีแรงเท้าหนัก หนักเสียจนทำให้ชายคนนั้นตาปรือเลยทีเดียว ในขณะที่ทุกคนกำลังช่วยพยุงเขาขึ้นมานั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ออกคำสั่งด้วยความโกรธ “พวกเจ้าเข้าไปจัดการเดี๋ยวนี้ ตีไอ้แก่นั่นให้ตายสะ” 

 

 

ทุกคนตอบรับ ปล่อยเขา แล้วกรูกันเข้าไปหาท่านอ๋องฉี  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นดังนั้น ก็ลืมคำพูดของท่านอ๋องฉี กระโดดลงมาจากรถม้า มายืนอยู่ข้างๆ 

 

 

“เย่ว์เอ๋อร์ กลับไป!” ท่านอ๋องตวาดนาง 

 

 

“ท่านปู่ ข้ามาช่วยท่าน” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ฟังคำพูดของเขาเลยสักนิด มองจ้องไปที่พวกที่เข้ามาโจมตีด้วยความสนุก  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งกับพระชายาที่นั่งอยู่ในรถ ก็มองออกไปด้วยความร้อนใจ  

 

 

พวกชายเสื้อดำดูดุดันน่าเกรงขราม ร้องตะโกนออกมาอย่างดุดัน แต่น่าเสียดายที่วิทยายุทธไม่ได้ดีนัก เพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็โดนเตะจนนอนกองกับพื้น โอ้ย! 

 

 

หัวหน้าพวกชายเสื้อดำรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวรอบๆ นิ่งเงียบ ไม่มีคนมาช่วยเหลือ สิ่งที่อยากจะสืบก็สืบได้แล้ว คนพวกนี้ไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของท่านอ๋องเลย ชายผู้นั้นเลยตะโกนเรียกพวกด้วยเสียงแหบแห้ง “ถอย!” 

 

 

พวกคนเสื้อดำเหมือนกำลังรอคำนี้อยู่ พอสู้กันได้อีกหนึ่งกระบวนท่า ก็ถอยกลับไป พยุงเพื่อนที่นอนอยู่ที่พื้นขึ้น “วันนี้ถือว่าพวกเจ้าโชคดี ที่ข้าออมมือให้ ไว้ชีวิตพวกเจ้า” พูดจบ ชายคนนั้นวิ่งออกไป ส่วนที่เหลือก็ค่อยๆ เดินหนีไป  

 

 

ส่วนท่านอ๋องฉียืนมือไขว้หลัง มองพวกมันหนีหัวซุกหัวซุนไป แล้วมองว่าจะมีใครมาปล้นอีกหรือไม่ 

 

 

“เซี่ยเฟิง!” 

 

 

เซี่ยเฟิงก็ออกมาจากที่ลับ “ขอรับท่านอ๋อง!” 

 

 

“ส่งคนตามไป” 

 

 

“ขอรับ!” เซี่ยเฟิงตอบรับ โบกมือ แล้วองครักษ์ลับคนหนึ่งก็ออกมาตามพวกมันไป  

 

 

พระชายาฉีเปิดม่านรถม้าออก แล้วเดินลงมา ถามด้วยความร้อนใจว่า “ท่านอ๋อง เย่ว์เอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านย่า” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบด้วยความสนุก  

 

 

“ปล้นกันกลางวันแสกๆ คงอยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้วล่ะ พวกเรากลับไปเก็บของที่โรงเตี๊ยมกันเถอะ แล้วรีบออกเดินทางไปที่อื่นกัน” พระชายาฉีเสนอขึ้นด้วยความกังวลใจ  

 

 

“ท่านย่า… …” หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ยอม นางโตจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยดูแข่งเรือมังกรเลย อย่างไรเสียก็ไม่อยากพลาด เลยเขย่าแขนของพระชายาฉี แล้วพูดอ้อนวอน  

 

 

“อีกไม่กี่วันก็จะแข่งเรือมังกรแล้ว พวกเราดูเสร็จค่อยไปก็ยังไม่สาย” ท่านอ๋องฉีเข้าใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ เลยแอบกระซิบกับพระชายาฉีเบาๆ 

 

 

“แต่ว่าข้าไม่สบายใจ รู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ เจ้าค่ะ” พระชายาฉีเอามือทาบที่อก ขมวดคิ้วพูดออกมา  

 

 

“มันก็แค่ไอ้พวกสวะ ทำอะไรไม่ได้มากหรอก เจ้าไม่ต้องกังวลไป มีข้าอยู่ทั้งคน” ท่านอ๋องฉีปลอบใจนาง 

 

 

พระชายาฉีก็ยิ่งไม่สบายใจหนักเข้าไปอีก แต่พอมองไปที่หน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงพยักหน้า “เอาเถอะ ดูแข่งเรือมังกรเสร็จพวกเราต้องออกเดินทางทันที ข้าล่ะไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว” 

 

 

ตั้งแต่พวกนางออกจากเมืองหลวงมา ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย แต่พอมาถึงเจียงหนานแห่งนี้ กลับมีเรื่องติดกันสองครา ทำให้นางเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา  

 

 

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านย่า” พอฟังพระชายาฉีตอบกลับมา หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ขอบพระคุณด้วยความดีใจ แล้วพยุงนางขึ้นรถม้าไปตามเดิม  

 

 

พอเจอเรื่องเช่นนี้ การเดินทางก็ไม่สนุกอีกต่อไป พระชายาฉีสั่งให้รถม้ารีบเดินทางกลับไปที่โรงเตี๊ยม 

 

 

ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้ห้าม ขึ้นนั่งบนรถม้าตามเดิม แล้วได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิด  

 

 

พวกชายเสื้อดำวิ่งหนีออกมาอย่างสุดชีวิต พอเห็นว่าท่านอ๋องฉีไม่ได้ตามมา ถึงได้หยุดพักหายใจ เอาผ้าปิดหน้าออก แล้วด่าว่า “บ้าเอ้ย นึกว่าจะเป็นเรื่องขี้หมา อีกนิดเดียวก็จะพลาดท่าให้กับไอ้แก่นั่นแล้วไหมล่ะ เงินที่อยู่แค่เอื้อมก็เอามาไม่ได้” 

 

 

ส่วนคนที่เหลือก็ถอดผ้าปิดหน้าออกมาพักหายใจเช่นเดียวกัน  

 

 

พักหนึ่ง พอเริ่มหายเหนื่อยแล้ว คนนั้นก็พูดกับทุกคนว่า “พอกลับไป บอกเพียงแต่ว่าพวกเราได้สืบมาแล้ว พวกมันไม่มีคนมาช่วย ส่วนเรื่องที่พวกเราโดนซ้อมนั้น ไม่ต้องพูดถึงเป็นอันขาด ถ้าใครปากโป้ง ทำให้ข้าขายหน้าล่ะก็ เจอดีแน่” 

 

 

คนที่เหลือตอบรับ “รู้แล้วขอรับ รองหัวหน้า” 

 

 

องครักษ์ลับที่ตามอยู่ด้านหลังได้ยินสรรพนามเช่นนี้ จึงอดสงสัยไม่ได้ 

 

 

พอคนผู้นั้นสั่งเสร็จ ก็จัดท่าทางแต่งตัวให้เรียบร้อย เชิดหน้าเดินกลับจวนฮั่วไปรายงานที่เรือนของฮั่วเจี่ย  

 

 

ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกมาดังลั่น “อ๋องฉีคนนี้มันก็แค่คนที่ไม่รู้จักระวังตัว ชอบทำตัวสูงส่งไปเช่นนั้นแหละ ออกมาเที่ยวเล่นทั้งที ดันไม่เอาคนมาคุ้มกันสักคน ดูเหมือนว่าสวรรค์คงเกลียดขี้หน้ามันเช่นกัน เลยให้ข้าช่วยจัดการเขาให้” 

 

 

“ขอรับ นายท่านพูดถูก” ชายผู้นั้นผสมโรง 

 

 

“ทำดีมาก ไปเอารางวัล คนละยี่สิบตำลึง” ฮั่วเจี่ยเบิกบานใจ จึงยิ้มแล้วพูดออกมา  

 

 

ชายผู้นั้นดีใจเป็นที่สุด หลังกล่าวขอบคุณเสร็จ ก็ไปที่ห้องบัญชีเพื่อรับเงินอย่างเบิกบาน 

 

 

องครักษ์ลับตามชายคนนั้นมาจนถึงหน้าประตูจวนฮั่ว เห็นพวกเขาเข้าไปด้วยความคุ้นเคย จดจำตำแหน่งจวนฮั่วเอาไว้ แล้วกลับมาที่โรงเตี๊ยม รายงานเรื่องนี้แก่เซี่ยเฟิง 

 

 

เซี่ยเฟิงไม่รอช้า รีบขึ้นไปด้านบนแล้วรายงานให้กับท่านอ๋องฉีทันที  

 

 

“จวนฮั่วรึ” ท่านอ๋องนั่งครุ่นคิด นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เขาเคยรู้จักคนตระกูลฮั่วด้วยงั้นรึ หากว่าไม่มีความแค้นกับเขา แล้วเหตุใดจึงลงมือกับเขาเช่นนี้