ตอนที่ 934 มิคาดคิด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 934 มิคาดคิด

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบหก เดือนหนึ่ง

การเจรจาที่ว่อเฟิงเต้าเดิมทีวางไว้ในวันที่หนึ่งเดือนสองตามแผนการชุนเหลย ก็ได้มาเสร็จสิ้นที่เมืองฉางจินแห่งแคว้นฝานเสีย

มิมีเยียนหานยวี่จากแคว้นอี๋เข้าร่วมประชุมนี้ ทว่าหยูเวิ่นเต้าก็ได้ส่งจดหมายถึงเยียนหานยวี่หนึ่งฉบับโดยส่งผ่านสายลับหอซี่หยู่

ในการประชุมลับครานี้ ตระกูลใหญ่ทั้งสามแห่งราชวงศ์อู๋ยอมสละผลประโยชน์ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้แคว้นฝานส่งกองกำลังทหารเข้าราชวงศ์อู๋

ราตรีนั้นทหารจำนวน 300,000 นายจากแคว้นฝานจึงขึ้นเรือและล่องไปตามแม่น้ำหลาน

วันรุ่งขึ้นนักบวชทั้งหมด 3,000 รูปในวัดป๋ายหม่าภายใต้การนำของท่านหัวหน้านิกายได้เคลื่อนโลงศพของจักรพรรดิอู๋ฉางเฟิงไปยังราชวงศ์อู๋

ผู้ร่วมเดินทางย่อมมีสวี่หยุนชิงที่มีสีหน้าโศกเศร้าอยู่ด้วย

อีกด้านหนึ่งของวันเดียวกันนี้ หยูเวิ่นเต้าได้ทราบข่าวว่า…เสด็จแม่ของตนได้เสด็ออกจากวังหลวงเพื่อไปยังราชวงศ์อู๋โดยกล่าวว่า…จะไปชมอาทิตย์อัสดง !

หยูเวิ่นเต้ามิได้ทูลบิดาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็พาทุกคนออกจากแคว้นฝาน ทว่ามิได้กลับไปยังเมืองจินหลิง แต่กลับมุ่งหน้าไปยังกองทัพชายแดนใต้ !

เขายังเอ่ยอันใดได้อีกเล่า ?

นี่เป็นเรื่องที่น่าอัปยศยิ่งนัก แล้วยังจะเอ่ยอันใดได้อีกกัน !

หยูเวิ่นเต้านั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกัดฟันด้วยความโกรธ…อู๋ต้าหลาง ! ข้าจะถลกหนังเจ้าทิ้งเสีย !

บัดนี้อู๋ต้าหลางผู้ซึ่งโดนหยูเวิ่นเต้าชิงชังเข้ากระดูกดำอยู่ที่ใดน่ะหรือ ?

เขาพาเกาเสี่ยนไปที่คฤหาสน์ซึ่งเคยซื้อเอาไว้เยี่ยงไรเล่า

“จงกระจายผ้าปักเหล่านี้ออกไปให้หมด หากพบโจงถงถง อืม…เมื่อก่อนเจ้าถูกโจวถงถงจับตัวกลับไปยังราชวงศ์อู๋มิใช่หรือ ? ครานี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกหนึ่งครั้ง อ้อ…เจ้ามิมีวรยุทธแล้ว ! ดังนั้นหากพบตัวโจวถงถงก็จงแจ้งให้แก่ข้า แล้วข้าจะไปจับตัวเขาด้วยตนเอง”

เกาเสี่ยนรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่กำลังจะถอยออกไปก็ถูกชายอ้วนเรียกตัวกลับมาอีกครา

“เจ้าว่าอู๋ฉางเฟิงตายแล้วจริงหรือ ? ”

เกาเสี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจัง “องค์จักรพรรดิเหวินได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนนั้นพ่ะย่ะค่ะ ทรงใช้ชีวิตอยู่ในวัดป๋ายหม่าตลอดสองปีที่ผ่านมานี้จนสุดท้ายก็สิ้นพระชนม์…ช่างลำบากมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”

“เหตุใดเขาต้องสร้างสถานการณ์หิมะถล่มใหญ่โตถึงเพียงนั้นด้วย ? ”

เกาเสี่ยนทำความเคารพ “กระหม่อมมิสามารถทูลความจริงในตอนนั้นได้ ทว่าบัดนี้จักรพรรดิเหวินกลายเป็นเซียนแล้ว ยิ่งมิอาจเอ่ยออกไปได้ โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ชายอ้วนคันไม้คันมือยิ่งนัก “เจ้าโง่นี่ ! เจ้ามิบอกความจริงแก่ข้า แล้วข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าควรจะจัดการเยี่ยงไรต่อไป ? ”

เกาเสี่ยนก้มศีรษะลง “พระองค์มิจำเป็นต้องทำอันใดอีกเพราะบัดนี้ทรงจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ไสหัวไป ! ”

จากนั้นเกาเสี่ยนก็จากไปอย่างรวดเร็ว

……

……

ณ พระตำหนักขององค์ชายสิบสามฝานเทียนหนิง

องค์จักรพรรดิฝานจื่อกุยและองค์รัชทายาทฝานเทียนหยูแห่งแคว้นฝานกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝานเทียนหนิง

“เจ้าเป็นผู้มีไหวพริบ ทว่าเจ้าคิดว่าเสด็จพี่สิบเอ็ดของเจ้าจะส่งข่าวนี้ให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฝานจื่อกุยทอดพระเนตรไปยังฝานเทียนหนิงโดยไร้สายพระเนตรตำหนิแต่อย่างใด

“สิ่งที่เจ้าทำก็เพื่อแคว้นฝาน พ่อจะมิโทษเจ้า พ่อมีบุตรตั้งมากมายและต่อหน้ารัชทายาทพ่อมีประโยคที่จะเอ่ยแก่เจ้าว่า แท้ที่จริงแล้วพ่อเอ็นดูเจ้ามากยิ่งนัก แต่เจ้าคิดหรือไม่ว่าเหตุใดพ่อถึงยกบัลลังนี้ให้พี่ใหญ่แทนที่จะเป็นเจ้าเสียเอง ? ”

“การเป็นผู้ปกครองแคว้นต้องอุทิศตนเพื่อราชอาณาจักร ! ”

“มิตรภาพของเยาวชนสามารถมีได้ พ่อ หยูไป๋ไป๋ อู๋ต้าหลางหรือแม้กระทั่งอู๋ฉางเฟิงในตอนนั้นพวกเราก็เป็นสหายที่ดีต่อกัน”

“ทว่ามิตรภาพหลังจากที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้วนั้น มิว่าพ่อหรือพวกเขาจะยังนึกถึงสุราจอกนั้นหรือภาพตอนเล่นว่าวกระดาษด้วยกัน ทว่าการตัดสินใจในเรื่องของบ้านเมืองจะมิเกี่ยวข้องกับมิตรภาพเหล่านั้นเลย”

“นี่มิใช่ไร้ความปรานี ทว่าคือผลประโยชน์ของแคว้นต่างหากเล่า ! ”

“มันคือความจริงที่ว่าราชวงศ์อู๋เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนการตั้งตนเป็นใหญ่ในภูเขาลูกหนึ่ง เดิมทีมีเสือ 5 ตัวอยู่ในภูเขา แต่ละตัวมีอาณาเขตเป็นของตนเอง เดิมทีการต่อสู้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยตามธรรมชาติ แต่แล้ววันหนึ่งเสือตัวหนึ่งก็เติบโตขึ้นมา กรงเล็บของมันแหลมคมและคมเขี้ยวก็ยาวขึ้น”

“มันกลืนกินเสืออีกตัวในคำเดียว ส่งผลให้มันมีอาณาเขตเพิ่มขึ้นสองเท่า พ่ออยากถามเจ้าว่าเสือที่หลงเหลืออยู่จะคิดเยี่ยงไร ? พวกมันจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”

“เจ้าได้เรียนรู้หลักธรรมของพระพุทธศาสนาจากท่านราชครูก็มิน้อย แต่เจ้าเข้าใจเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เจ้าคิดว่าความเมตตาธรรมคือทั้งหมดของพระพุทธองค์ แต่เจ้ามิได้ตระหนักเลยว่าการสังหารอย่างไร้ความปรานีของผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีเมตตาธรรมมันน่ากลัวมากเพียงใด ! ”

ฝานจื่อกุยลุกขึ้นยืน สองมือไพล่หลัง จากนั้นก็เดินไปในสวนเพียงมิกี่ก้าวพลางขมวดคิ้วมุ่น “หยูเวิ่นเต้าเป็นพี่ชายของภรรยาฟู่เสี่ยวกวน มิตรภาพระหว่างพวกเขาอาจจะลึกซึ้งมากกว่าเจ้าเสียอีก ทว่าเขามิลังเลใจเลยสักนิด ที่จะร่วมมือต่อต้าน”

“หลังจากที่พ่อได้ฟังพี่ใหญ่ของเจ้าเอ่ย ก็ได้คิดทบทวนอยู่นานกว่าสิบวัน และได้ตัดสินใจยอมรับแผนการชุนเหลยของพวกเขาเพราะว่าแคว้นฝานมิสามารถเผชิญหน้ากับเสือตัวนั้นตามลำพังได้”

ฝานเทียนหนิงตั้งใจฟัง เขามิได้โกรธเพราะเสด็จพี่สิบเอ็ดถูกกักบริเวณ เขาเพียงเอ่ยถามว่า “ดังนั้นการตายของจักรพรรดิเหวินก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

“นี่คือความเมตตาของท่านราชครู เขาจะนำนักรบในคราบนักบวชเข้าไปยังเมืองกวนหยุน แม้หยูเวิ่นเต้าจะสาบานด้วยใจจริงว่าจะมีโจวถงถงคอยหนุนหลังสร้างความสะดวกให้ในเมืองกวนหยุน…ทว่าโจงถงถงผู้นั้นพ่อมิค่อยเชื่อใจสักเท่าใดนัก”

“ประการแรก เขาเป็นหนี้ชีวิตของอู๋ต้าหลาง ประการที่สอง…เรื่องเช่นนี้ควรอยู่ในมือของตนเองจะปลอดภัยกว่าอยู่ในมือของผู้อื่น”

ดวงตาของฝานเทียนหนิงหรี่ลงช้า ๆ “จักรพรรดิเหวินคือพระอาจารย์ปิ้งเฉินและอีกอย่างเขาก็ละทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าแล้ว หัวหน้านิกายสังหารเขาเพราะผลประโยชน์เท่านั้นน่ะหรือ ? นี่คือความทุกข์ของผู้ออกบวชและย่อมจะได้รับผลกรรมที่ก่อไว้ ! ”

“น้องสิบสาม ! ”

“พี่ใหญ่” ฝานเทียนหนิงหัวเราะ “เรื่องนี้ท่านเป็นผู้ปลุกปั่นขึ้นมาเอง ข้าจะเอ่ยอันใดได้เล่า ? ”

“พวกท่าน…ล้วนเป็นกบในกะลาครอบ พวกท่านวางแผนทำร้ายเขาอย่างเงียบ ๆ ทั้งหมดนี้ในความคิดของข้า ช่างเบาปัญญายิ่งนัก ! ”

“น้องสิบสาม ! ” ฝานเทียนหยูจ้องมองฝานเทียนหนิงเขม็ง “เจ้ากลัวฟู่เสี่ยวกวนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ทั้งสามแคว้นรวมตัวกันจะมิสามารถทำลายราชวงศ์อู๋ได้เลยหรือเยี่ยงไร ? ”

ฝานเทียนหนิงเยาะเย้ย “พวกท่านยังมิรู้ถึงความแข็งแกร่งของราชวงศ์อู๋ดีพอ เมื่อต้องเผชิญกับกำลังอันแข็งแกร่ง แผนร้ายและกลอุบายทั้งหมดจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ! ”

“ข้ารู้ว่าท่านมิเชื่อ หากมิเชื่อก็รอดูต่อไปเถิด เพราะชั่วชีวิตของท่านเกรงว่าจะมิมีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังเป็นจักรพรรดิแล้ว”

“ฝานเทียนหนิง เจ้าช่างบังอาจมากยิ่งนัก ! ” ฝานเทียนหยูลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ

“อย่าทะเลาะกันอีกเลย” สีหน้าของฝานจื่อกุยยังคงยิ้มแย้มมิคลาย “กองทัพได้ออกเดินทางแล้ว ธนูและอาวุธต่าง ๆ ก็พร้อมสรรพ เรื่องต่อจากนี้ปล่อยให้ท่านราชครูและซวี่ชินอ๋องจัดการเถิด พ่อได้แต่งตั้งซวี่เหอชี่ท่านอาของพวกเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทางไกล รอฟังข่าวดีเถิด”

……

ณ คฤหาสน์จิ้งหูแห่งเมืองกวนหยุน

ที่นั่นฟู่เสี่ยวกำลังสนทนากับสตรีนางหนึ่ง นางมีนามว่ายิงฮวา

“เจ้าเอ่ยว่า…กองทัพเรือขนาดใหญ่กำลังโจมตีแคว้นหลิวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ยิงฮวาพยักหน้า “พวกเขามีเรือรบราว 20 ลำซึ่งคล้ายกับเรือรบสามเสากระโดงของท่าน มันมีอานุภาพการยิงที่ทรงพลัง อาวุธที่ทหารของพวกเขาใช้คล้ายกับปืนคาบศิลาของท่านเช่นกัน”

“มีจำนวนคนเท่าใด ? ”

“อย่างน้อย 100,000 นาย ! ”

“โจมตีถึงที่ใดแล้ว ? ”

“เมื่อข้าได้รับจดหมายด่วนจากเสด็จพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือ พวกเขาก็ยึดพื้นที่แคว้นหลิวไปแล้วสามในสิบส่วน บัดนี้…เกรงว่าพวกเขากำลังมายึดที่เมืองหลวงหลินซีแล้ว หม่อมฉันขอฝ่าบาททรงส่งกำลังทหารไปช่วยแคว้นหลิวด้วยเถิดเพคะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก บัดซบ ! เรื่องนี้มาไวกว่าที่คาดเอาไว้เสียอีก

“เจ้าไปรอที่สถานทูตอย่างสบายใจเถิด เรื่องนี้…ข้าจะจัดการเอง”