ตอนที่ 935 ลำนำต้าเฟิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 935 ลำนำต้าเฟิง

ยิงฮวากลับไปยังสถานทูตแคว้นหลิวแห่งเมืองกวนหยุนด้วยความรู้สึกเป็นกังวล ทว่าฟู่เสี่ยวกวนยังคงพักอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหู

เขาเดินช้า ๆ รอบทะเลสาบจิ้งหูโดยมีเจี่ยหนานซิงและเป่ยหวังฉวนเดินตาม

เจี่ยหนานซิงมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนซึ่งแผ่นหลังนั้นดูค่อมลงเล็กน้อย ดูเหมือนงอเพราะภาระที่แบกอยู่บนบ่าของอีกฝ่าย

เดิมทีแผนการตื่นจากจำศีลนี้คือกวาดล้างกองกำลังหลักของราชวงศ์หยูและแคว้นอี๋ในที่ราบฮวาจ้ง เมื่อเรือรบของกองทัพเรือแล่นเข้าสู่แม่น้ำฉินหวาย ราชวงศ์หยูก็จะถูกทำลายล้าง

ดังนั้นความสำคัญของกองทัพเรือในการสู้รบครานี้ มิต้องเอ่ยก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว

ทว่าบัดนี้ราชวงศ์อู๋มีเรือรบเพียง 6 ลำที่ติดตั้งเครื่องจักรไอน้ำ ทว่าบังเกิดศัตรูที่มีเรือรบทรงอานุภาพถึง 20 ลำแล่นอยู่บนทะเล…มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้เร่งรัดทางอู่ต่อเรือและสำนักวิทยาศาสตร์ ก็เพราะอีกฝั่งของทะเลมีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่จริง ๆ

หากย้ายเรือรบทั้งหกลำของราชวงศ์อู๋ไปช่วยเหลือแคว้นหลิว การทำสงครามกับราชวงศ์หยูก็จะกลายเป็นทางตันเพราะว่าราชวงศ์หยูยังมีกองทัพชายแดนอีกหลายล้านนาย !

หากช่วยแคว้นหลิวจะต้องใช้เวลาในการเดินทางราวหนึ่งเดือนกว่า ๆ จากราชวงศ์อู๋ไปยังแคว้นหลิว

นอกเสียจากว่าการสู้รบทางบกกับราชวงศ์หยูจะสามารถปราบปรามให้สงบได้ภายในเดือนนี้ มิเช่นนั้นราชวงศ์อู๋จะเผชิญกับสนามรบทั้งทางบกและทางทะเล

หลังจากเดินอยู่ในความเงียบมากกว่าครึ่งก้านธูป เจี่ยหนานซิงก็พบว่าแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนยืดตรงขึ้นมา

ทรงยืดตัวตรง !

ดุจดั่งต้นสน !

“กลับวัง แล้วเรียกไป๋ยู่เหลียนมาพบข้า”

เมื่อก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นหนานกงอี้หยู่ยืนอยู่ในนั้นก่อนแล้ว

บนไหล่ของหนานกงอี้หยู่มีไห่ตงชิงเกาะอยู่ สีหน้าของเขาดูลนลานมากยิ่งนัก

“ทูลฝ่าบาท นี่คือข่าวที่ส่งมาจากแคว้นฝานพ่ะย่ะค่ะ”

จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รับจดหมายนั้นมาดู สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที “อันใดกัน ? ”

เขาคุ้นเคยกับลายมือในจดหมายนี้ดี มันคือลายมือของบิดาอ้วนนั่นเอง

มีเพียงมิกี่บรรทัดที่เขียนเอาไว้ในจดหมายฉบับนี้

‘เสี่ยวกวน ครานี้ท่านบิดาของเจ้าตกตายไปแล้วจริง ๆ

ฝานอู๋เซียงหัวหน้านิกายฝูแห่งแคว้นฝานนำพระนักรบสามพันรูปพาโลงศพของบิดาเจ้าไปยังเมืองกวนหยุน คาดว่าจะถึงในปลายเดือนสอง เจ้าต้องคอยระมัดระวังเอาไว้ให้ดี สวี่หยุนชิงมารดาของเจ้าก็ร่วมเดินทางด้วยเช่นกัน !

ในบรรดาพระนักรบนี้ มีพระภิกษุฝีมือระดับสูงจากวัดลันทาอยู่ 2 รูป จากวัดป๋ายหม่าอีก 2 รูป รวมกับหัวหน้านิกายก็มีปรมาจารย์อยู่ถึง 5 รูป!

แคว้นฝานส่งกำลังทหารออกไปราว 300,000 นายโดยขึ้นเรือแล้วแล่นไปตามแม่น้ำหลาน คาดว่าจะเทียบท่าที่เมืองเป่ยจวิ้นรัฐเหอซีในปลายเดือนสอง

ครานี้เรื่องใหญ่โตสักหน่อย ความเห็นของจี้หยุนกุยคือจะดีกว่าถ้าแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ในคราเดียว เขาเอ่ยว่าเจ้าสามารถทำได้ ทว่าพ่อมิรู้ว่าเจ้าสามารถแบกรับมันไว้ได้หรือไม่

และสุดท้ายนี้ พ่อคิดว่าจะยึดเมืองฉางจินในวันที่สามเดือนสี่แล้วจะจับกุมตัวฝานจื่อกุยเอาไว้ หากเจ้ามิสามารถจัดการทางฝั่งนั้นได้ ก็จงเดินทางมาที่แคว้นฝานเถิด พวกเราหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกคราในแคว้นฝานจะดีกว่า’

ข้อความในจดหมายจบลงเพียงเท่านี้ ทว่าข่าวนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

ครานี้ท่านบิดาของเจ้าตกตายไปแล้วจริง ๆ… เห็นได้ชัดว่าหมายถึงอู๋ฉางเฟิง จักรพรรดิเหวินมิได้สิ้นพระชนม์จากเหตุการณ์หิมะถล่มคราใหญ่เยี่ยงนั้นหรือ?

สวี่หยุนชิงก็ร่วมเดินทางมาด้วย…สวี่หยุนชิงก็ยังมิตาย !

จะมีกลุ่มพระภิกษุจากแคว้นฝานเข้ามาเมืองกวนหยุนและในกลุ่มนั้นมีปรมาจารย์อยู่ 5 รูป นี่คือแผนเปิดฉากสังหารเยี่ยงนั้นหรือ ? !

แคว้นฝานส่งทหารมา 300,000 นาย เรื่องสำคัญเช่นนี้โจวถงถงกลับมิส่งข่าวมา หากมิใช่เพราะบิดาอ้วนแจ้งให้ตนทราบ… กองทหาร 300,000 นายนี้จะขึ้นฝั่งในรัฐเหอซีแล้วโจมตีเมืองกวนหยุนโดยตรง นี่จะทำให้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นมิใช่หรือ ?

บิดาอ้วนจักเข้ายึดเมืองฉางจินในวันที่สามเดือนสี่…ชายอ้วนกำลังรนหาที่ตายอยู่หรือไร!

นี่มิใช่การบีบบังคับให้ข้ากำราบสงครามนี้ได้ก่อนวันที่สามเดือนสี่ เพื่อส่งกำลังทหารไปที่เมืองฉางจินของแคว้นฝานหรอกหรือ !

เรื่องที่จี้หยุนกุยก่อไว้ช่างร้ายแรงเสียจริง เจ้าจะก่อเหตุใหญ่โตเพียงใดก็ได้ ทว่าช่วยแจ้งให้ข้ารู้สักหน่อยก็ยังดี !

ทหารถูกโยกย้ายออกไปแล้ว กองทัพเรือที่สามารถสู้ได้ในตอนนี้มีราว 50,000 นาย แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนเช่นเดียวกับทหารดาบเทวะจึงสามารถสู้รบบนบกได้

แผนเดิมคือโยกย้ายกองนาวิกโยธิน 50,000 นายออกไป แล้วแล่นไปที่แม่น้ำฉินหวาย ส่วนทางนี้ให้กองทัพเรือ 100,000 นายไปช่วยเหลือแคว้นหลิว…บัดนี้กองกำลังรบของอีกฝั่งทะเลยังอยู่บนผืนปฐพีของแคว้นหลิว ดังนั้นจำนวนคนบนเรือก็จะเหลือเอาไว้น้อยมากยิ่งนัก หากจู่โจมโดยที่พวกนั้นมิทันตั้งตัวก็คงจะสำเร็จ ทว่าบัดนี้คงใช้แผนเดิมมิได้แล้ว

การสู้รบครานี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคราใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวของจักรพรรดิเหวิน สวี่หยุนชิง และแคว้นฝานยังได้เข้าร่วมสงครามครานี้อีกด้วย ส่งผลให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องจัดการกับการเปลี่ยนแปลงคราใหญ่นี้ให้สอดคล้องกัน

เขามิสามารถลงสนามด้วยตนเองได้ ทว่าเขาอยากพบสวี่หยุนชิงมากยิ่งนัก และยังต้องการพบ ‘ท่านพ่อ’ อู๋ฉางเฟิงที่คอยห่วงใยเขาเสมอ อีกทั้งเขายังต้องคอยบัญชาการในเมืองกวนหยุนแห่งนี้เพื่อควบคุมการสู้รบคราใหญ่ !

ทว่าแผนการที่เขาจะออกจากเมืองกวนหยุนนั้นต้องแสดงต่อไป แล้วยังทำอันใดได้อีกกัน ? คงมีเพียงให้หนิงซือเหยียนกลับมาและให้สวี่ซินเหยียนปลอมแปลงรูปโฉมระหว่างทั้งสองดังเดิม

“ใต้เท้าหนานกง”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“เรื่องที่เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่…ท่านทราบหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิทราบจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“เหตุใดเขาถึงไปที่แคว้นฝาน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนจำได้ว่าฝานเทียนหนิงเคยเอ่ยถึงพระภิกษุรูปหนึ่ง โดยเอ่ยว่าพระรูปนั้นชื่อพระอาจารย์ปิ้งเฉินที่ได้ออกบวชอยู่ในวัดป๋ายหม่า

ในตอนนั้นเขามิได้สนใจเลยสักนิด ทว่าบัดนี้คาดว่าพระอาจารย์ปิ้งเฉินผู้นั้นจะเป็นอู๋ฉางเฟิง

“ฝ่าบาท…บัดนี้ทั้งสามแคว้นร่วมมือกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้ารู้ แต่มิเป็นไรหรอก”

เจี่ยหนานซิงพาจัวเปี๋ยหลีและไป๋ยู่เหลียนเข้ามาด้านใน

“จัวเปี๋ยหลีรับคำสั่ง ! ”

“กระหม่อมจัวเปี๋ยหลีน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ให้ทหารเรือจำนวน 50,000 นายมุ่งหน้าไปยังเมืองเป่ยจวิ้นรัฐเหอซีทันที ให้ปักหลักอยู่ที่นั่นเพื่อรอกองทัพของแคว้นฝาน หลังจากเอาชนะกองทัพ 300,000 นายของแคว้นฝานได้แล้ว ให้ขึ้นไปยังเรือของศัตรูและบุกเข้าโจมตีเมืองฉางจินทันที ! ”

“…กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ไป๋ยู่เหลียนรับคำสั่ง ! ”

“กระหม่อมไป๋ยู่เหลียนน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“สิ่งที่เจ้าต้องจัดการก็คือ หลังจากยึดเมืองจินหลิงได้แล้วให้ทิ้งทหารรักษาการณ์ไว้ที่นั่น 10,000 นายและอีก 40,000 นายให้ขึ้นเรือกลับทันที เนื่องจากด้านหลังของเรามีแนวโน้มของกองเรือรบปรากฏขึ้น 20 ลำ”

ไป๋ยู่เหลียนตื่นตกใจขึ้นมาใด “ฝ่าบาท…เหลือทหาร 10,000 นายรักษาการณ์ไว้ในเมืองจินหลิงหรือพ่ะย่ะค่ะ ? จะพอรับมือกับกองทัพชายแดนทั้งสี่ที่เร่งมาช่วยจินหลิงได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ผู้ที่มีฝีมืออย่างแท้จริงก็คือกองทัพชายแดนตะวันตกของเฟ่ยอัน ทว่าเฟ่ยอันถูกหยูเวิ่นเต้าย้ายไปยังกองทัพชายแดนใต้อย่างลับ ๆ เขาควบคุมกองทัพสวรรค์ฆาต 300,000 นาย มิรู้ว่าหยูเวิ่นเต้าจะแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้บัญชาการของกองทัพชายแดนตะวันตกแทน ส่วนกองทัพชายแดนเหนือของหยูเวิ่นเทียนก็ให้สองกองพลจากทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งออกไปเฝ้าระวังไว้ หากเขาเคลื่อนทัพก็สามารถโจมตีได้ทันที แต่ถ้าเขามิเคลื่อนไหวก็ถ่วงเวลาเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับกองทัพชายแดนตะวันออกของราชวงศ์หยู”

“สำหรับกองทัพอาฆาต 100,000 นายของแคว้นอี๋ก็ให้อีก 6 กองพลที่เหลือของดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งเข้าปราบปรามจนสูญสิ้นแล้วบุกยึดเมืองไท่หลินทันที”

“สงครามครานี้เป็นการสู้รบคราใหญ่ของราชวงศ์อู๋ ! ”

“หลังจบการสู้รบครานี้…” ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่หน้าแผนที่ขนาดใหญ่ จากนั้นก็ยื่นมือออกไป “ผืนปฐพีและราษฎรทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของราชวงศ์อู๋ ! ”

“หลิวจิ่น ฝนหมึกให้เจิ้น ! ”

“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนมองพวกเขาแล้วหัวเราะออกมา ใบหน้ามิได้แสดงความตึงเครียดอยู่เลย จากนั้นก็เอ่ยว่า “อยู่ ๆ ข้าก็อยากประพันธ์กวี เจ้าสนใจจะรับฟังหรือไม่ ? ”

เมื่อหนานกงอี้หยู่ได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน ลอบคิดไปว่าเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านยังมีอารมณ์ประพันธ์กวีอยู่อีกหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร เขาหยิบพู่กันแล้วจุ่มลงไปในหมึก จากนั้นลายมือไก่เขี่ยก็ได้ปรากฏขึ้นบนกระดาษ

วายุโหมเมฆาลอยล่อง

ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้าล้วนคืนถิ่น

เหล่านักรบป้องสี่ทิศสุขสงบ !

เพียงสามประโยค…

ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลงแล้วชื่นชมผลงานของตนเองด้วยสีหน้าจริงจัง “บทกวีนี้มีชื่อว่าลำนำต้าเฟิง ! ”

“ปล่อยให้หยาดพิรุณและสายลมโหมกระหน่ำดุเดือดรุนแรงกว่านี้เถิด ! ”