GGS:บทที่ 1067 ประลอง(2)

 

หลังจากเห็นซูจิ้งที่ไม่พูดอะไรซักคำแถมยังมีท่าทางอยากเตะก้นใครสักคนแบบนี้ ทำให้ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน  และไคหวูเฟิงต่างก็รู้สึกประหลาดใจ นี่ขนาดอีกฝั่งคือสัตว์ประหลาดที่สู้กับคนได้ที่เดียวสี่สิบและห้าสิบคนเลยนะ เขาไม่กลัวเลยรึไงกัน

“อาจิ้ง นี่จะดีจริงๆรึ” ฮู่ฮงหยางถามออกมาอย่างสงสัย

“อย่ากังวลไปเลยครับ หมอนั่นไม่ใช่คู่มือของผมหรอก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร พลางคิดอะไรบางอย่าง

เขานั้นไม่ได้คิดที่จะไปกวาดล้างสุดยอดสำนักราชวงศ์อะไรนั่นแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาคิดอยู่ตอนนี้คือเขาจะลากคนที่อยู่เบื้องหลังสำนักนั่นได้ยังไงมากกว่า

และด้วยสิ่งที่ซูจิ้งโพสต์ไปนี้ทำให้ชาวเว่ยป๋อทั้งหลายคุยกันให้ทั่ว

“โว่…พี่จิ้งจะลงมือเองเลยแหะ”

“นั่นสิ แถมยังจะสตรีมตอนเย็นนี้อีกด้วย เราไปที่สำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินกันเถอะ เพื่อจะได้เห็นช็อตเด็ดกับเขาบ้าง”

“เห็นด้วย ในเมื่อพี่จิ้งกล้าไปแล้วเราจะกลัวอะไร”

“แต่… คราวนี้อีกฝ่ายแข็งแกร่งมากเลยนะ เรียกได้ว่าระดับพระเจ้าเลย ฉันกังวลจริงๆว่าเขาจะแพ้”

“จะมากังวลอะไรกันตอนนี้เนี่ย เชื่อมั่นในตัวพี่จิ้งเซ่…”

 

ข่าวการสตรีมของซูจิ้งในตอนนี้ไม่ได้จบอยู่แค่การพูดคุยในไมโครบลอกเท่านั้น ไม่นานข่าวการสตรีมก็ไปเข้าหูสื่อหลักจนเผยแพร่ไปทั่ว ทำให้ทั้งชาวเน็ตและแฟนคลับต่างก็ตื่นเต้นกันไปหมด

บางคนก็คิดว่าเขานั้นกล้าเผชิญหน้า บ้างก็ว่าเขาตายแน่ บ้างก็ว่าเขากล้าหาญ บ้างก็เฝ้าการล่วงหล่นของเขาในฐานะพระเจ้าในร่างมนุษย์(เทพอวตาร)

แน่นอนว่าเหล่าผู้คนที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเพลงหมัดวัวคลั่งต่างก็สนใจการสตรีมนี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าซูจิ้งจะเป็นคนที่คิดค้นเพลงหมัดนี้หรือจะขโมยมาก็ตาม หรือแม้แต่จินเชาหวู่ผู้นี้คือตัวแทนของเพลงหมัดวัวคลั่งที่แท้จริงก็ตาม ไม่นานพวกเขาก็จะได้รู้สักที

 

“เหอะ ซูจิ้ง หมอนี่มันกล้าที่จะท้าทายสำนักเราอย่างนั้นเหรอ มันจะกล้ามากเกินไปแล้ว” ณ สำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จิน ชายชาวเกาหลีคนหนึ่งที่ยังหนุ่มแน่นได้พูดออกมาในขณะที่เขาเห็นข่าวนี้ในช่วงการหยุดพักระหว่างการฝึกด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

คนๆนี้คือจินชิซู คนที่เคยอยู่ที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สับปะยุทธ์และพ่ายแพ้ไปให้กับซูจิ้งอย่างราบคาบ ตอนที่เสี่ยวไจ๋นั้นได้พ่ายแพ้ให้กับจินเชาวู่

เขาได้เห็นเพลงหมัดวัวคลั่งของจินเชาวู่แล้วก็มีความรู้สึกว่าเพลงหมัดวัวคลั่งของจินเชาวู่นั้นต้องเป็นเพลงหมัดวัวคลั่งที่แท้จริงอย่างแน่นอน และเป็นซูจิ้งที่ลักลอบเรียนรู้แล้วอ้างตัวว่าเป็นคนคิดค้น เขาจึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับโรงฝึกสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวง์ศ์จินในทันที

“ก็ดีแล้วนี่นาที่มันมาหาที่ตายด้วยตัวเอง” ชายชาวญี่ปุ่นวัยกลางคนได้สบถออกมา ชายคนนี้คือคนที่ขัดแย้งกับซูจิ้งเมื่อตอนที่เขาต้องการสร้างโรงกำจัดขยะของตัวเอง และชายคนนี้ได้ท้าซูจิ้งสู้และพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป

ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะสร้างสถิติในการต่อสู้กับคนกว่าสี่สิบคนด้วยตัวคนเดียวในหอประลองจิงฮงก็ตาม

 

แต่เมื่อชายคนนี้ได้รู้ว่ามีคนที่สร้างสถิติได้สูงกว่าและมีเรื่องขัดแย้งกับซูจิ้งเขาจึงได้มาเข้าร่วมในทันที หลังจากที่เขาได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ของสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินแห่งดีไปได้สักระยะ

เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขาในทันที และนี่เองทำให้เขานั้นศรัทธาในสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินอย่างที่สุด

ทั้งคิมชิซูและคิมูระ ต่างก็มาที่นี่ไม่เพียงจุดประสงค์ในการทำธุรกิจเท่านั้น ทั้งสองมาที่นี่เพื่อเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของชาติตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสองได้ประฝีมือกับเพลงหมัดวัวคลั่งของซูจิ้งจนแพ้พ่ายหมดรูปไปแล้ว ไม่เพียงธุรกิจจะไปไม่ได้ดี แม้แต่โรงฝึกที่ทั้งสองต่างก็หมายมั่นปั้นมือไว้ก็ถอยหลังลงคลองอย่างรวดเร็ว

จนในที่สุดทั้งสองก็ไม่มีแม้แต่ธุรกิจของตัวเองเหลืออยู่ในมืออีกต่อไป แม้แต่ค่าเช่าห้องยังไม่มีความสามารถจะจ่ายได้ด้วยซ้ำ

นี่จึงทำให้ทั้งสองตัดสินใจเข้ามาอยู่ในสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินได้อย่างรวดเร็ว โดยทั้งสองดูเหมือนว่าจะยังไม่ยอมเกี่ยวกับทางสายนี้จึงเลือกที่จะยอมเป็นบันไดให้จินเชาวู่เหยียบเพื่อให้เขาต่อสู้กับซูจิ้งแทน

ด้วยคำมั่นของจินเชาวู่ที่บอกไว้ว่าหากเขาจัดการซูจิ้งได้เมื่อไหร่ จะไปช่วยเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่งให้ที่ญี่ปุ่นและเกาหลี

“หึหึหึ คราวนี้ถึงตาแกต้องอับอายบ้างแล้ว” ใบหน้าของจั่วเยียนแสดงออกมาถึงความตื่นเต้น เขาได้ติดตามจินชิซูมาเข้าร่วมกับสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินด้วยเช่นเดียวกัน

“เฮ้เฮ้ ไปบอกพี่จินว่าไม่ต้องไปท้าทายสำนักการต่อสู้อื่นแล้ว บอกเขาว่าให้กลับมาจัดการซูจิ้งดีกว่า” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา

“ในที่สุดเราก็จะได้เห็นช็อตเด็ดที่พี่จินจะเอาชนะซูจิ้งได้อย่างราบคาบแล้ว คราวนี้ชื่อเสียงของพี่จินจะต้องขรจขจายไปทั่วอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นพี่จินจะกลายเป็นนักศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่งงงงง”

“ถ้าอย่างนั้นการที่พวกเราเลือกเข้าสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินนี้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว”

 

ศิษย์ในสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินต่างก็คุยเรื่องนี้กันด้วยความตื่นเต้น พวกเขาต่างก็เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินที่เขาได้ร่ำเรียนมา

นั่นก็เพราะเมื่อตอนที่พวกเขาได้เข้าร่วม พวกเขาต่างก็ได้ประจักษ์ความแข็งแกร่งของสำนักฯด้วยตาตัวเอง หรือก็คือพวกเขารู้จักความน่ากลัวนี้ยิ่งกว่าใคร

“ซูจิ้งไม่น่าจะสู้กับหมอนี่ได้นี่นา หรือว่าเขาแกล้งทำเป็นกล้าที่จะเผชิญหน้ายอมรับความพ่ายแพ้กัน” โอฉิงซงได้เลื่อนข่าวการสตรีมของซูจิ้งดูอย่างรวดเร็ว

ในช่วงที่ผ่านมานี้ ถึงแม้ว่าหวางหยานจะไม่ได้ใส่ใจซูจิ้ง แต่ซูจิ้งเองนับวันกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและมีช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์

นี่ทำให้เขานับวันยิ่งอิจฉาซูจิ้งมากยิ่งขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ถอดถอนหายใจไปเท่านั้น เขาเองก็กลัวเหมือนกันว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครหยุดซูจิ้งได้อีกแล้ว

จนกระทั่งจินเชาวู่ปรากฎตัวออกมา นี่ทำให้เขานั้นรู้สึกได้ราวกับได้เห็นแสงท่ามกลางคืนที่มืดมิด นี่ทำให้หัวใจของเขากลับมาเต้นได้ด้วยความหวังอย่างแท้จริง

เขาถึงกลับตื่นเต้นในทันทีที่เห็นข่าวของชายผู้ไม่ธรรมดาผู้นี้และคาดหวังไว้ว่าสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินล้วนแล้วแต่มีผู้ไม่ธรรมดาและสามารถล้มล้างซูจิ้งให้หายไปจากโลกได้

“พี่สาม อาจิ้งไปท้าทายสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินแบบนี้ไม่ห่วงเขาหน่อยเหรอ” หวังซือหยาพูดกับหวังจ้าวด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเป็นกังวล

“เอาจริงๆนะ ฉันว่าเธอก็ไม่น่าจะต้องกังวลอะไรเรื่องหมอนั่นเลยนา…. อาจิ้งนั้นเป็นสัตว์ประหลาดเพียงหนึ่งเดียวบนโลกหล้า

ความแข็งแกร่งของเขานั้นประเมินมิได้ แต่ก็ไม่แปลกที่เธอจะกังวลเพราะอีกฝ่ายก็ได้ชื่อว่าสัตว์ประหลาดเหมือนกัน และความแข็งแกร่งของหมอนั่นพวกเขาก็ยังไม่ได้เห็นทั้งหมด จะบอกว่าฉันไม่กังวลเลยก็กระไรอยู่อ่ะนะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยคำพูดที่ดูเหมือนจะกังวล

“ทำไมฉันรู้สึกว่าหมอนี่เล็งเป้าหมายที่ซูจิ้งได้นะ” หวังซือหยาพูดออกมา

“ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ซูจิ้งเองก็ทำอะไรเหนือความคาดหมายของพวกเราไปทุกๆครั้งเลยนะ พวกเราทำอะไรเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ทำได้เพียงเฝ้าดูเท่านั้น” หวังจ้าวพูดออกมา

 

ในตอนเย็น ซูจิ้ง ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน ไคหวู่เฟิงจี้เสี่ยวติง และหวู่หลง ได้ไปยังสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จิน

ที่นั่นเองก็มีคนรออยู่ก่อนแล้ว แม้แต่นักข่าวเอง ทันทีที่เหล่านักข่าวเห็นซูจิ้งต่างก็ถ่ายรูปกันไม่หยุด นั่นก็เพราะในการประลองครั้งนี้ ไม่ว่าซูจิ้งจะชนะหรือแพ้ก็ตามจะต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ได้อย่างแน่นอน

เมื่อเข้าไปถึงข้างใน พวกเขาก็ได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนของสำนัก เขาดูแข็งแกร่งอย่างมาและร่างกายแทบจะเปลือยเปล่า ชายคนนั้นนั่งลงอยู่กลางสนามประลองเพื่อรอคอยการมาถึง

เมื่อเขาได้เห็นซูจิ้ง สายตาของเขาก็เปล่งประกายและลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะรอศึกครั้งนี้นานมากแล้ว ที่ข้างสนามก็ได้มีจินชิซู จั่วเยียน คิมูระ และคนอื่นๆนั่งเชียร์เจ้าสำนักของพวกเขาอย่างเหี้ยมหาญ

“จินชิซู จั่วเยียน แล้วก็คิมูระเหรอ ทำไมไอ้พวกนั้นมาที่นี่ได้กัน นี่มันรังงูรังหนูชัดๆ” จี้เสี่ยวติงจ้องมองไปที่สามคนนั้นอย่างรังเกียจ

“ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะเข้าร่วมกับสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินล่ะนะ แถมดูจากสภาพร่างกายแล้ว พวกนั้นเองก็น่าจะได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งแล้วเหมือนกัน” ไคหวูเฟิงพูดออกมา

“ฉันว่าศิษย์สำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินแห่งนี้คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ” ฮู่ฮงหยางกราดตามองเหล่าลูกศิษย์ของสำนักแล้วก็ได้พูดออกมา

ชายคนนี้ได้รับเหล่านักศิลปะการต่อสู้ฝีมือเยี่ยมมาเข้าสำนัก และเท่าที่ดูทุกคนก็น่าจะได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งจนถึงกระบวนท่าที่สองแล้วเป็นอย่างน้อย

นี่จะทำให้คนเหล่านี้มีทั้งประสาทสัมผัสทั้งห้าและความแข็งแกร่งของร่างกายสูงกว่าคนทั่วไป

ซูจิ้งเองก็มองไปยังเหล่าผู้ที่เคยพ่ายแพ้ให้เขาเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงนำสมาร์ทโฟนของตัวมาตั้งให้พร้อมและเริ่มการสตรีมเท่านั้น

โดยเขาขอให้จี้เสี่ยวติงในการเป็นตากล้องให้ ก่อนที่จะค่อยๆเดินไปบนสนามประลองอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใด