“ว้าว..แก้วจ้าวสมุทรช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!”
ภายใต้ก้นทะเลสาบผอหยางเย่ซิงเฉินอยู่ท่ามกลางแสงสีน้ำเงินสว่างเจิดจ้าที่ทอประกายออกมาจากแก้วจ้าวสมุทร ทำให้นางยิ่งดูผุดผ่องงดงามดั่งเทพธิดาบนสรวงสวรรค์!
ก่อนหน้านี้เย่ซิงเฉินไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลงหยุนจึงต้องดึงนางลงไปในทะเลสาบผอหยางแห่งนี้ด้วยเพราะถึงแม้ท้องฟ้าจะเริ่มสว่างไสวแล้ว แต่ก็เพิ่งจะตีห้า และในบริเวณบ่อมังกรก็ยังไม่มีผู้คนผ่านไปมา ในระยะเวลาเพียงแค่สามกิโลเมตรนี้ ยังสามารถเหาะไปกลางอากาศได้ แต่หลิงหยุนกลับดึงนางให้กระโดดลงไปในทะเลสาบแทน
และแน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมไม่มีทางให้เย่เทียนสุ่ยเห็นของวิเศษที่ตนได้มาแน่เขาจึงใช้โล่ลมปราณครอบร่างของตนกับเย่ซิงเฉินไว้ และพาดำดิ่งลงไปจนพ้นรัศมีจิตหยั่งรู้ของเย่เทียนสุ่ย จากนั้นจึงค่อยนำแก้วจ้าวสมุทรออกมา
จะไม่ให้เย่ซิงเฉินอัศจรรย์ใจได้อย่างไรกันในเมื่อเวลานี้แม้ทั้งคู่จะอยู่ลึงลงไปถึงก้นทะเลสาบผอหยาง แต่เย่ซิงเฉินกลับรู้สึกราวกับว่าตนกำลังเหาะอยู่บนท้องนภาก็ไม่ปาน และมีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ที่นี่ไม่มีลมพัดเข้ากระทบใบหน้า..
ที่นี่ไม่มีลมพัดต้านกับร่างกายทำให้หายใจได้ลำบากและไม่มีลมต้านที่จะทำให้ความเร็วในการเหาะล่าช้าลง พื้นที่โล่งภายใต้ท้องทะเลสาบมีเพียงความเงียบสงัด ทำให้เย่ซิงเฉินรู้สึกสงบยิ่งนัก
ทั้งคู่ต่างก็มีจิตหยั่งรู้ที่กว้างไกลทำให้สามารถชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามภายใต้ท้องน้ำแห่งนี้ได้เป็นบริเวณกว้าง ได้เห็นปลาหน้าตาแปลกประหลาดและสวยงามน้อยใหญ่ ที่พากันว่ายวนอยู่รอบตัว และว่ายตามหลิงหยุนมาไม่หยุด ที่เป็นเช่นนี้เพราะปราณมังกรในตัวหลิงหยุนนั่นเองแม้เขาจะจงใจสกัดกั้นไว้แล้ว แต่เพราะปราณมังกรภายในร่างของเขานั้นมีอยู่อย่างมากมาย จึงต้องมีเล็ดลอดออกมาบ้าง และนั่นคือเหตุผลที่สัตว์น้ำน้อยใหญ่ต่างพากันว่ายตามมากันเป็นพรวน
“เจ้าคงจะมีความสุขมากสินะ”
หลิงหยุนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและจากที่นี่ไปยังด้านเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียง ก็มีระยะทางเพียงแค่หนึ่งร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้น ด้วยความเร็วของคนทั้งคู่ อย่างน้อยภายในครึ่งชั่วโมงก็คงต้องเดินทางไปถึง..
“ข้าเคยพาเจ้าเหาะชื่นชมทัศนียภาพบนท้องนภามาแล้วครั้งนี้พาเจ้าดำลงก้นทะเลสาบ และต่อไปข้าจะพาเจ้าดำดูใต้มหาสมุทร.. จากนั้นก็จะพาเจ้าไปขั้วโลก..”
“ซิงเฉินข้าดีต่อเจ้าเช่นนี้ นับว่าเป็นสามีที่ดีมากหรือไม่”
หลิงหยุนเอ่ยปากถามเย่ซิงเฉินที่เวลานี้ยิ่งดูงดงามชวนฝันมากกว่าเดิม..
เย่ซิงเฉินยังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่นางยังไม่สามารถเหาะได้นั้น หลิงหยุนได้พานางยืนบนแผ่นหลังของเจสเตอร์ และพาเหาะไปบนท้องนภาที่กว้างใหญ่ ชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของผืนดินเบื้องล่าง และเวลานี้ก็กำลังพานางชื่นชมความงามภายในท้องทะเลสาบ นางจึงเชื่อว่าหลิงหยุนไม่ได้เพียงแค่พูดจาโอ้อวด และเขาสามารถพานางไปใต้ท้องสมุทร และขั้วโลกได้อย่างที่พูดจริงๆ
เย่ซิงเฉินหันกลับไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาชื่นชมพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นสุขใจ “หลิงหยุน หากเข้าเล่าของเจ้าให้ท่านอาจารย์ฟัง ท่านอาจารย์จะมีความสุขมากเพียงใดนะ!”
หากเป็นคนอื่นเอ่ยชมอย่างเปิดเผยเช่นนี้หลิงหยุนคงจะรู้สึกเฉยๆ แต่นี่เป็นเย่ซิงเฉิน เขาจึงรู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก..
“อืมม..”
หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้าและพึมพำอยู่ในลำคอความจริงแล้วเขาคิดว่า ช่วงเวลาที่โรแมนติคเช่นนี้ เย่ซิงเฉินน่าจะต้องตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด และอย่างน้อยก็ต้องจูบเขาเป็นรางวัลบ้าง แต่การแสดงออกของนางกลับแตกต่างจากที่เขาคาดหวังไว้มากนัก..
แต่เมื่อเย่ซิงเฉินเอ่ยเรื่องแม่ของเขาขึ้นมาทำให้หลิงหยุนนึกไปถึงเรื่องหนึ่ง ซึ่งหากเขาบอกเรื่องนี้กับนาง ไม่รู้ว่านางจะตกใจมากเพียงใด
เพราะหยินชิงเฉวียนซึ่งเคยเป็นธิดาพรรคมารนั้นจู่ๆกลับกลายเป็นทายาที่สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ชาง หากข่าวนี้แพร่สะพรัดออกไป ทั่วทั้งยุทธภพจะไม่สั่นไหวหรอกหรือ
มีเรื่องเล่าปรัมปราจีนที่เกี่ยวกับสงครามของเหล่าทวงเทพและเรื่องเล่านี้ก็อยู่ในช่วงของราชวงศ์ชางเช่นกัน..
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปอาจคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงแค่ตำนานที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้น หาใช่เรื่องราวที่มีอยู่จริงไม่!
แต่สำหรับหลิงหยุนเขาเชื่ออย่างยิ่งว่ามันคือสงครามของเหล่าทวยเทพที่เกิดขึ้นจริงๆ และนั่นคือยุคสมัยสุดท้ายของเหล่าเทพเจ้า สงครามครั้งนั้นจึงเป็นสงครามเทพเจ้าครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้น!
หลังจากราชวงศ์ชางถูกทำลายราชวงศ์โจวก็ได้ถูกสถาปนาขึ้นมาแทน สิ้นสุดราชวงศ์โจวก็เป็นราชวงศ์ฉินซึ่งจักรพรรดิองค์แรกของประเทศจีนถือกำเนิดขึ้น และทุกคนต่างก็รู้จักกันในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้นั่นเอง ช่วงเวลาจากราชวงศ์ฉินมาถึงยุคปัจจุบันก็ราวสองพันกว่าปีมาแล้ว..
ตระกูลหลงเองก็สืบเชื้อสายมาตั้งแต่โบราณกาลมากกว่าสองพันปีในขณะที่ตระกูลฉินก็ได้รับหน้าที่ในการปกป้องพิทักษ์สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้มาตั้งแต่บรรพชนเช่นกัน
แล้วตระกูลหลิงเล่าตระกูลหลิงมีต้นกำเนิดมาจากที่ใดกัน? และหลิวเทวะวิญญาณซึ่งเป็นมรดกสืบทอดของตระกูลหลิงนั้นเล่า ได้มาจากที่ใดกันแน่?
หลิงหยุนครุ่นคิดสงสัยและกระตือรือร้นที่จะสืบหาที่มาของต้นตระกูลหลิง และที่มีของต้นหลิวเทวะวิญญาณ เขารู้สึกว่าหากความลับนี้ถูกเปิดเผย ทั่วทั้งยุทธภพย่อมต้องตื่นตะลึงเป็นแน่!
“นี่หลิงหยุน!เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่งั้นรึ” เย่ซิงเฉินเห็นหลิงหยุนจู่ๆก็นิ่งเงียบไป จึงร้องถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร..ข้าก็แค่กำลังคิดว่าหากเจ้าจูบข้าเป็นรางวัลสักครั้ง ก็จะดีไม่น้อย!” หลิงหยุนยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว พร้อมกับพูดจาแทะโลมเย่ซิงเฉิน
ใบหน้างดงามชวนฝันของเย่ซิงเฉินหันกลับมามองหลิงหยุนพร้อมตอบกลับไปว่า“เจ้าฝันไปเถิด!”
“ฮ่าๆๆข้าก็แค่หยอกเย้าเจ้าเล่นเท่านั้น!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ทำหน้าจริงจังและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ซิงเฉิน หลังจากได้ประมือกับคนตระกูลหลงเมื่อคืนนี้ ทำให้ข้าได้ล่วงรู้ว่าตระกูลหลงยังมีเบื้องลึกที่น่ากลัวนัก ตราบใดที่เจ้ายังไม่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) เจ้าต้องระมัดระวังให้มากหากหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือตระกูลหลงไม่ได้!”
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลใจไปนักต่อให้ตระกูลหลงจะเก่งกาจ และมีเบื้องลึกน่ากลัวเพียงใด แต่พวกเขาไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับข้าแน่ เพราะพรรคมารก็หาใช่ผู้ใดจะแตะต้องได้ง่ายเช่นกัน!” เย่ซิงเฉินตอบโต้กลับไปทันที
หลิงหยุนเห็นท่าทีที่ไม่ยอมรับของเย่ซิงเฉินก็แต่บ่นพึมพำ “แม่นาง ข้าเตือนเพราะความเป็นห่วงเจ้านะ!”
เย่ซิงเฉินจึงได้แต่พยักหน้าและตอบกลับไปว่า“ได้ๆ เจ้าพูดถูก ตระกูลหลงล้ำลึก แล้วก็น่ากลัวยิ่งนัก ข้าจะระมัดระวังตัวให้มาก!”
“นี่..ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าจัดการคนตระกูลหลงเช่นใด และเข้าไปในบ่อมังกรได้อย่างไร? แล้วเจ้าทำให้มังกรยอมเชื่อฟังเจ้าได้อย่างไรกัน? แล้วแก้วจ้าวสมุทรนี่เจ้าได้มาอย่างไร…”
เย่ซิงเฉินถามคำถามหลิงหยุนมากมายและสีหน้าของนางก็ใคร่รู้คำตอบยิ่งนัก หลิงหยุนจึงได้แต่เล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟังอย่างละเอียด เธอได้แต่ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นตั้งแต่ต้นจนจบ
“ความจริงไม่เพียงหลงเทียนฟางที่มีวิชาเพิ่มพลังเช่นนั้นข้าเองก็มีเหมือนกัน มันคือวิชาพลังมังกร วิชานี้สามารถเพิ่มพลังและความแข็งแกร่งให้กับข้าได้มากถึงสิบเท่าทีเดียว แต่ข้ายังไม่ต้องการนำออกมาใช้..”
“ในระยะเวลาเพียงแค่สั้นๆแต่กลับสามารถมีพลังเพิ่มขึ้นจากเดิมนับสิบเท่า หากไม่จำเป็นจริงๆ ข้าเองก็ไม่ต้องการนำออกมาใช้เช่นกัน!”
และในที่สุดหลิงหยุนก็ได้บอกกับเย่ซิงเฉินว่า นอกเหนือจากพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพแล้ว ก็ยังมีวิชาพลังมังกรที่เป็นไพ่ตายของเขา!
เย่ซิงเฉินถึงกับตกตะลึงพร้อมกับคิดว่า หากในคืนงานชุมนุมชาวยุทธนั้น ไม่มีหลิงหยุนร่วมทางมาด้วย นางเองก็คงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่น้อยทีเดียว!
“ซิงเฉินข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาพลังจักรวาลให้แก่เจ้า หลังจากเจ้าเรียนรู้วิชานี้ เจ้าก็จะสามารถหยิบยืมวิชาของศัตรูในระหว่างต่อสู้ได้!”
ระหว่างทางที่ทั้งคู่เดินไปใต้ผืนน้ำนั้นหลิงหยุนก็เริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาพลังจักรวาลนี้ให้กับเย่ซิงเฉินไปด้วย เคล็ดวิชาที่ล้ำเลิศนี้หากคนผู้นั้นไม่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมจริง ย่อมไม่สามารถนำไปฝึกฝนได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการต่อสู้
ในการถ่ายทอดเคล็ดวิชาของหลิงหยุนนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากท่องออกมาเป็นคำพูด แต่เขาใช้พลังจิตของตนถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้เข้าสู่จิตใจของเย่ซิงเฉินโดยตรง และเพียงแค่สองสามนาที เย่ซิงเฉินก็สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ
“ซิงเฉินจงจำไว้ให้ดีว่า วิชานี้ควรจะใช้เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับตนเองเท่านั้น ไม่เช่นนั้นผลที่ได้จะไม่เต็มร้อย หรือไม่ได้ผลเลยก็เป็นได้!”
หลังจากถ่ายทอดเคล็ดวิชาพลังจักรวาลให้เย่ซิงเฉินเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็เริ่มบอกถึงจุดด้อยของวิชานี้ให้กับนางรู้ด้วย
“อีกอย่างในเมื่อมันคือการหยิบยืมวิชาของคู่ต่อสู้มาใช้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอานุภาพเทียบเท่ากับเจ้าของวิชาที่เพียรฝึกฝนมานานหลายปี..”
เย่ซิงเฉินพยักหน้าอย่างเข้าใจ..
“ด้านหน้าคือบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมปีศาจ..”
เวลานี้ทั้งสองคนเดินอยู่ใต้ท้องทะเลสาบมาได้ไกลมากว่าห้าสิบกิโลเมตรแล้วและกำลังเข้าใกล้บริเวณสามเหลี่ยมปีศาจมากขึ้นเรื่อย
หลิงหยุนเองไม่กล้าที่จะเข้าใกล้บริเวณนั้นจึงได้เลี่ยงมาทางที่ใกล้กับชายฝั่งตะวันตกของทะเลสาบผอหยางที่ตื้นกว่าแทน ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องความลี้ลับของผืนน้ำบริเวณวัดเหล่าเอี๋ยให้เย่ซิงเฉินรู้ เขาเล่าทุกคำพูดที่เย่ชิงซินเล่าให้เข้าฟังแบบไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว..
“สถานที่ลี้ลับเช่นนี้วันข้างหน้าข้าต้องมาสำรวจพร้อมกับเจ้าด้วย!” เย่ซิงเฉินเอ่ยขึ้นทันทีหลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงหยุน
“แน่นอน!ข้าต้องพาเจ้ามาสำรวจด้วยแน่” หลิงหยุนเอื้อมมือออกไปบีบฝ่ามือนุ่มนวลของเย่ซิงเฉินไว้พร้อมกับเอ่ยออกมา
หลังจากที่ข้ามผ่านสามเหลี่ยมปีศาจมาได้แล้วเวลานี้หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินก็อยู่ห่างจากด้านเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียงไปเพียงแค่ยี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น ทั้งคู่เดินสนทนากันไปอีกเพียงแค่สามถึงสี่นาที ในที่สุดก็มาถึงจุดตัดระหว่างทะเลสาบผอหยางกับแม่น้ำแยงซีเกียง..
ในที่สุดทั้งคู่ก็เข้าสู่เขตของเมืองจิ่วเจียง!
การเดินทางใต้ทะเลสาบในครั้งนี้เย่ซิงเฉินคงจะต้องจะจดจำไปจนชั่วชีวิตของนาง เพราะเป็นการเดินทางใต้ผืนน้ำด้วยแก้วจ้าวสมุทร เป็นระยะทางที่ยาวไกลมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว..