บทที่ 748 ในเมื่อยังมีโอกาสรอด ย่อมไม่มีใครอยากตาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 748 ในเมื่อยังมีโอกาสรอด ย่อมไม่มีใครอยากตาย

ไป๋ชินหยุนหลับตาลงและรอคอยให้คมกระบี่เข้ามาถึงลำคอ

นางไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะอ่อนแอถึงเพียงนี้

แต่เห็นได้ชัดว่าแม้แต่องค์หญิงแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็ยังหวาดกลัวต่อความตายเช่นกัน

สายลมเย็นพัดผ่านลำคอ

เป็นกระบี่ที่รวดเร็วเหลือเกิน

นี่หรือคือความรู้สึกของคนที่ถูกกระบี่ฟันเข้าใส่ลำคอ?

หนาวเย็น

ไม่เจ็บปวด

หากความตายเป็นเพียงแค่การหลับใหลตลอดกาล อย่างนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้เป็นกังวลอีกแล้ว

แต่ในลมหายใจต่อมา…

“อ๊าก…”

“อะเฮือก…”

“นั่นใครน่ะ?”

เสียงร้องด้วยความตื่นกลัวและหวาดผวาดังขึ้นจากด้านหลัง

ไป๋ชินหยุนไม่เข้าใจอะไรอีกแล้ว

นางลืมตาขึ้นมาสำรวจมองตนเองและพบว่าลำคอยังคงอยู่ดีดังเดิม

ไม่มีบาดแผลจากคมกระบี่

เด็กสาวจึงหันไปมองด้านหลังตามสัญชาตญาณ

สิ่งที่นางเห็นก็คือหลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่ชุดขาวกำลังควงกระบี่สายฟ้าจัดการไล่ล่าสังหารคนของป้อมอสรพิษด้วยความดุดันอำมหิต

คมกระบี่สาดประกายราวสายรุ้ง

ตัวคนเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งมังกรเหินบิน

ประกายระยิบระยับของกระบี่สายฟ้าส่องแสงสว่างกลางความมืด

ท่วงท่าของเด็กหนุ่มผู้ถือกระบี่เคลื่อนไหวสง่างาม กลุ่มชายฉกรรจ์ฝ่ายตรงข้ามได้แต่ล่าถอยไปเรื่อยๆ ด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต

ทุกครั้งที่คมกระบี่สาดประกาย ก็จะต้องมีคนของป้อมอสรพิษหนึ่งคนล้มลงไป

หลินเป่ยเฉินเคลื่อนซ้ายย้ายขวา ไม่มีศัตรูคนไหนหนีรอดคมกระบี่ของเขาได้แม้แต่คนเดียว

แม้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มชายฉกรรจ์จากป้อมอสรพิษจะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตกตายโดยไม่มีโอกาสได้ชักกระบี่ป้องกันตัวด้วยซ้ำ

ไป๋ชินหยุนถึงกับงงงันแล้ว

ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้ชักกระบี่ออกมาเพื่อฆ่านาง

ฮ่าฮ่า

แต่ที่เขาทำเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะไม่อยากให้นางต้องตายด้วยคมกระบี่ผู้อื่นมากกว่ากระมัง?

ใช่แล้ว

หลินเป่ยเฉินเองก็มีความแค้นกับคนของป้อมอสรพิษเช่นกัน

ไป๋ชินหยุนจ้องมองการต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมกับสูดหายใจลึกๆ ในเมื่อนางตั้งใจจะลืมเลือนเขาให้ได้ ก็คงต้องใช้โอกาสนี้รีบหลบหนีไปให้เร็วที่สุด

ในเมื่อยังมีโอกาสรอด ย่อมไม่มีใครอยากตาย

อีกอย่าง ไป๋ชินหยุนรู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงความหวังเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

เด็กสาวพยายามหลบหนีออกมาโดยไม่คิดถึงความหลังในอดีต

เสียงตะโกนและเสียงของการฆ่าฟันดังห่างออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่รู้เลยว่าไป๋ชินหยุนวิ่งออกมานานแค่ไหน แต่นางรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีอยู่ลบเลือนคราบเลือดที่หยดลงจากร่างกาย เพื่อไม่ให้หลินเป่ยเฉินใช้เป็นเบาะแสตามแกะรอยนางมาได้อีก

ไป๋ชินหยุนเหนื่อยล้าจนได้ยินเสียงในหัวสั่งการให้นางหยุดพักสักครู่

ขอแค่ได้พักหายใจเล็กน้อยก็ยังดี

แต่เด็กสาวก็ทำตามความต้องการไม่ได้

นางรู้ดีว่าตนเองต้องรีบหนีไปให้ไกลมากที่สุด

ยิ่งไกลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น

ไป๋ชินหยุนวิ่งตะบึงไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มอัตราเท่าที่ร่างกายบอบบางของนางจะทำไหว แม้ลมจะแรง ฝนจะตก และมีหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกันก็ตาม

ผลข้างเคียงจากดอกอนันตกาลเริ่มออกฤทธิ์อย่างรุนแรง

ร่างกายของไป๋ชินหยุนอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

นางแทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว

รอบกายมีแต่ความมืดมิด

ในที่สุด ไป๋ชินหยุนก็เห็นหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า แม้กำแพงหินจะชำรุดทรุดโทรม แต่บ้านหลายหลังก็ยังมีสภาพสมบูรณ์ดีพอให้เข้าไปหลบลมหลบฝนได้อย่างไม่มีปัญหา

เด็กสาววิ่งตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่นางเหลืออยู่

ตราบใดที่สามารถหาที่พักให้แก่ตนเองได้สำเร็จ วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็คงผ่านพ้นไปด้วยดี

แต่เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง แสงสว่างจากด้านในก็ทำให้ดวงตาของไป๋ชินหยุนพร่าพราย นางพบว่ามีใครบางคนอยู่ในบ้านหลังนี้อยู่แล้ว

และมีมากกว่าหนึ่งคนด้วยซ้ำ

ผู้ที่อยู่ในบ้านร้างเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ พวกเขากำลังก่อกองไฟย่างเนื้อดื่มสุรา กินดื่มรับประทานอาหารพลางพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

แย่แล้วสิ

ทำไมนางถึงดวงซวยเช่นนี้หนอ?

ความรู้สึกอัปมงคลปรากฏขึ้นในจิตใจของไป๋ชินหยุนทันที

และการที่เด็กสาวปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขาตื่นตกใจเช่นกัน

เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์เริ่มตั้งสติได้ ไป๋ชินหยุนก็หมดแรงที่จะยืนหยัดอีกต่อไป นางค่อยๆ ล้มฟุบลงไปกับพื้นดิน

“หืม?”

“นี่มันสาวน้อยจากที่ไหนกันเนี่ย”

“ร่างกายมีแต่ร่องรอยบาดแผล ไม่ทราบว่าหลบหนีมาจากที่ใดกันนะ?”

“หน้าตาสวยงามมากเสียด้วยสิ หุหุ… ถันของนางก็ใหญ่โตไม่ใช่น้อย จุ๊จุ๊ นับว่าสวรรค์เมตตานางมากทีเดียว”

“นานมากแล้วนะที่ข้าไม่เคยพบเจอเด็กสาวหน้าตาดีเช่นนี้”

“นางได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังอุตส่าห์หลบหนีมาถึงที่นี่ ข้าเกรงว่าที่มาที่ไปของนางคงไม่ธรรมดา พวกเราอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า…”

“เจ้าจะกลัวอะไร? อย่ามาขวางทางข้า…”

“แต่ข้าว่า…”

แม้จะอยู่ในสภาพใกล้หมดสติเต็มที แต่ไป๋ชินหยุนก็ยังได้ยินบทสนทนาทุกอย่างชัดเจน นางทั้งรู้สึกร้อนใจและโกรธแค้น แต่ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนหรือคุ้มครองตัวเองได้อีก เด็กสาวกระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่ ก่อนที่สายตาจะพร่ามัว…

แล้วสติสัมปชัญญะของนางก็ดับวูบลง

ความรู้สึกที่ตามมาหลังจากนั้นคล้ายกับความฝันตื่นหนึ่ง

ในความฝัน มีดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งกำลังจ้องมองนางจากในความมืดมิด แน่ชัดว่ามันคือสัตว์ร้ายที่กำลังซุ่มอยู่ในความมืด และเมื่อมันอ้าปากออก ก็เผยให้เห็นถึงเขี้ยวอันแหลมคมที่มีคราบเลือดเปียกชุ่ม

ไป๋ชินหยุนพยายามวิ่งหนีสุดชีวิต แต่สุดท้ายนางก็หมดแรง ไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไป และถูกความมืดมิดกลืนกินทีละเล็กทีละน้อย

กาลเวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้

ในที่สุด สติสัมปชัญญะก็กลับคืนสู่ร่างของไป๋ชินหยุนอีกครั้ง

ความทรงจำที่กระจัดกระจายก่อนหมดสติเริ่มกลับมาประกอบเป็นรูปเป็นร่าง แล้วในทันใดนั้น ไป๋ชินหยุนก็จำได้แล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

นางพบว่าตนเองยังคงนอนอยู่บนพื้น จึงส่งเสียงครางออกมาจากลำคอและพยายามลุกขึ้นยืน

ทว่า เมื่อบาดแผลบนร่างกายถูกกระทบกระเทือน ความเจ็บปวดก็แล่นพล่าน เด็กสาวล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง แต่นางก็ยังคำรามออกมาว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า…”

แต่แล้วเสียงคำรามของนางก็หยุดลง

เนื่องจากเมื่อไป๋ชินหยุนเงยหน้าขึ้นมอง เด็กสาวก็ได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิด

เพราะกลุ่มชายฉกรรจ์สิบกว่าคนกำลังนั่งคุกเข่าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ใบหน้าของแต่ละคนปรากฏรอยฟกช้ำดำเขียว เบ้าตาบวมปูด จมูกหัก ปากแตก เสื้อที่เคยสวมใส่ถูกถอดออก ทำให้ต้องนั่งเปลือยท่อนบนคุกเข่าตากลม ตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ

แต่ในบ้านพักยังคงมีกองไฟให้ความอบอุ่น เปลวไฟส่งเสียงปะทุดังเปรี๊ยะปร๊ะไม่ขาดหู

ข้างกองไฟนั่งไว้ด้วยเด็กหนุ่มรูปหล่อในชุดขาว มือหนึ่งของเขาถือกระบี่ ที่กระบี่ไม่รู้เสียบไว้ด้วยนกตัวหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ และเด็กหนุ่มกำลังยื่นกระบี่เข้าไปในกองไฟ เพื่อย่างนกตัวนั้นด้วยความระมัดระวังยิ่ง

ในอากาศตลบอบอวลด้วยกลิ่นเนื้อไหม้ไฟ

เด็กหนุ่มมองนกย่างของตนเองด้วยแววตาพิศวงสงสัย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนกย่างของเซียวปิงถึงได้มีหน้าตาน่ารับประทานมากกว่าของเขา ทั้งๆ ที่ขั้นตอนทุกอย่างก็ทำเหมือนกันหมดตั้งแต่ต้นจนจบ…

“ตื่นแล้วหรือ?”