บทที่ 749 ตกนรกด้วยความยินดี

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 749 ตกนรกด้วยความยินดี

เมื่อได้ยินเสียงครวญครางของไป๋ชินหยุน เด็กหนุ่มที่กำลังพินิจพิจารณานกย่างก็หันหน้ามามองนางอย่างช้าๆ

ท่วงท่า องศา น้ำเสียง…

ทั้งหมดล้วนสมบูรณ์แบบ

รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายิ่งดูอ่อนหวานและบริสุทธิ์มากกว่าเดิม

รอยยิ้มของเขาอบอุ่นมากพอที่จะละลายลมฝนและหิมะด้านนอกได้เลยทีเดียว

หากไม่ใช่หลินเป่ยเฉินแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?

ทันใดนั้น ไป๋ชินหยุนกลับรู้สึกว่าบรรยากาศในบ้านหลังนี้ช่างสดชื่นแจ่มใส ไม่ต่างไปจากสวนดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น

ตอนนั้นเอง นางถึงเพิ่งจะสังเกตว่าตนเองเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อคลุมสีขาวสะอาดสะอ้าน ดูจากขนาดของเสื้อคลุมและวัตถุดิบที่นำมาถักทอแล้ว นี่คงเป็นเสื้อคลุมของหลินเป่ยเฉินแน่นอน

และตำแหน่งที่ไป๋ชินหยุนนอนอยู่เมื่อสักครู่นี้ ก็ปูรองไว้ด้วยหนังสัตว์อ่อนนุ่มให้ความอบอุ่นสะดวกสบาย บาดแผลตามร่างกายได้รับการทำความสะอาด ใส่ยา และเปลี่ยนผ้าพันแผลเรียบร้อย แม้แต่บาดแผลที่อยู่ในตำแหน่งใต้ร่มผ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น

แต่ไม่มีร่องรอยอะไรที่มากไปกว่านั้น

เห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินคงปรากฏตัวเข้ามาช่วยเหลือไป๋ชินหยุนได้ทันเวลา ก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์ใจโฉดจะได้มีโอกาสทำมิดีมิร้ายนาง

เด็กสาวนั่งนิ่งเงียบด้วยความมึนงงสับสน

รู้สึกดีใจจนพูดอะไรไม่ออก

กล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งค่อยๆ ผ่อนคลายลง

หากไม่มีเขา…

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคงน่ากลัวมากยิ่งกว่าความตาย

หลินเป่ยเฉินเลือกหันหน้าทำมุมที่คิดว่าตนเองดูดีมากที่สุด ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผม ยิงฟันยิ้ม และพูด “เหตุไฉนเจ้าถึงไม่กล่าวอะไรออกมาบ้างเลย? นี่ หรือเพราะว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว คนแรกที่เจ้าเห็นก็คือข้า? และด้วยเหตุนั้น เจ้าจึงประทับใจในความหล่อเหลาของข้า จนถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้วกระมัง?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน

มุมปากของไป๋ชินหยุนก็กระตุกอย่างแรง

เขาก็เป็นเสียอย่างนี้

บ้าบอที่สุด

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “ว่าก็ว่าเถอะ ศิษย์น้องไป๋ ตอนนั้นข้าอุตส่าห์เข้าไปช่วยเจ้าจากคนของป้อมอสรพิษ แต่เจ้ากลับวิ่งหนีข้ามาเสียอย่างนั้น จะขอบคุณสักคำก็ไม่มี เจ้านี่มันใจจืดใจดำเกินไปจริงๆ”

ไป๋ชินหยุนสูดหายใจลึก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จงรีบจัดการเถิด”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าจะให้ข้าจัดการอะไร?”

ไป๋ชินหยุนหัวเราะเหยียดหยาม “เลิกเสแสร้งแกล้งโง่ รีบจัดการซะ”

หลินเป่ยเฉินทำท่ายกมือดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ยิ้มมุมปากคล้ายเข้าใจความหมายของเด็กสาวในที่สุด “เหอเหอเหอ เจ้านี่มันแก่แดดจริงๆ เลยเชียว คิดว่าข้าสนใจในเรือนร่างของเจ้าหรือไง? เฮอะ ข้าเห็นเจ้าเหมือนน้องสาวของตนเอง จึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่หวังสิ่งตอบแทน เจ้ากลับอยากจะหลับนอนกับข้าเนี่ยนะ…”

“หึหึ เจ้าคิดว่าข้าจะหลงเสน่ห์ใครง่ายๆ หรืออย่างไร อย่าลืมสิว่าข้าเป็นคนมีคุณธรรมขนาดไหน ต่อให้ข้าอยากจะ… กับเจ้าจริง ก็คงต้องรอให้ร่างกายของเจ้าฟื้นฟูขึ้นมาก่อน อาการบาดเจ็บของเจ้ารุนแรงมากเกินไป ดีไม่ดีเดี๋ยวจะได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติมเสียเปล่า…”

“นี่เจ้า…”

เมื่อไป๋ชินหยุนได้ยินคำตอบของหลินเป่ยเฉิน ริมฝีปากของนางก็มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินถึงกับหยุดชะงัก

ให้ตายสิ

ท่าจะไม่ดีแล้วแฮะ

เด็กหนุ่มรีบโยนนกย่างกลับเข้าไปในกองไฟ และรีบเคลื่อนกายเข้ามาช่วยประคองไป๋ชินหยุนพลางพูดว่า “เจ้าจะโกรธง่ายอะไรขนาดนี้ ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง เอาละๆ ข้าขอโทษเจ้าก็ได้ อย่าโกรธข้าเลยนะ อาการบาดเจ็บของเจ้ารุนแรงมากเกินไป หากเจ้ายังอารมณ์แปรปรวนอยู่เช่นนี้ เดี๋ยวจะรักษาหายช้าเอาได้…”

หลินเป่ยเฉินประคองให้ไป๋ชินหยุนนั่งลงบนผ้าขนสัตว์อย่างทะนุถนอม จากนั้นจึงถอนหายใจและพูดว่า “เจ้าหิวหรือไม่? ข้าควรหาอะไรให้เจ้ารับประทานแล้วสินะ”

ไป๋ชินหยุนยังคงจ้องมองหลินเป่ยเฉินโดยไม่พูดคำใดออกมา

การจ้องเขม็งของเด็กสาวชักทำให้หลินเป่ยเฉินใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเล่นมุกตลกเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด “ถ้าเจ้าอยากรับประทานอะไรล่ะก็ ขอบอกเลยนะว่าตัวข้าเอง ก็นับเป็นของอร่อยชนิดหนึ่งเช่นกัน…”

ในที่สุด ไป๋ชินหยุนก็พูดออกมาอีกครั้ง “เจ้าช่วยข้าไว้ทำไม?”

หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดขวดน้ำดื่มออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ และเทใส่แก้วน้ำให้นางรับประทาน

เด็กสาวไม่ปฏิเสธ นางรับน้ำไปดื่มอย่างว่าง่าย

เมื่อเห็นไป๋ชินหยุนดื่มน้ำได้พอสมควรแล้ว เขาก็ดึงแก้วกลับคืนมา ยิ้มกว้าง ก่อนพูดช้าๆ “หากข้าบอกว่าเพราะเราเคยเรียนที่เดียวกัน เพราะข้ายังติดเงินเจ้าอยู่ เพราะเจ้าเคยช่วยข้าไว้หลายครั้ง… เจ้าคงไม่เชื่อสินะ?”

ไป๋ชินหยุนไม่พูดอะไร ยังคงจ้องมองเขาต่อไป

หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ความจริง ข้ามีเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้น”

พูดออกมาแล้ว เขาก็จ้องตาไป๋ชินหยุนบ้าง เด็กหนุ่มไม่ยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นั่นเป็นเพราะว่า… ข้าทนเห็นเจ้าตายไม่ได้”

ร่างของไป๋ชินหยุนสั่นเทาเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินรีบลุกขึ้นกระโดดกลับไปข้างกองไฟ ใช้กระบี่เขี่ยนกย่างออกมา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดใจเมื่อเห็นนกย่างมีสภาพไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโก “โธ่เอ๊ย อุตส่าห์ตั้งใจย่างแท้ๆ ดันทำไหม้เสียได้ เสียดายของชะมัด งั้นข้าก็คงไม่มีทางเลือก นอกจากรับประทานเนื้อย่างของเซียวปิงซะแล้วสิ…”

พูดจบ เขาก็ดาวน์โหลดถุงใส่เนื้อย่างสำเร็จรูปซึ่งเก็บเอาไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ออกมาฉีกให้ไป๋ชินหยุนชิ้นหนึ่ง ก่อนยิ้มและถามว่า “เจ้าหิวหรือไม่? ลองรับประทานดูสิ”

ไป๋ชินหยุนไม่ขยับเขยื้อน ยังคงเอาแต่นั่งมองหน้าหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ “อะไร? เจ้าอยากให้ข้าป้อนเจ้าด้วยหรือไง เจ้าหวังมากเกินไปแล้วนะ ที่ผ่านมาเคยมีแต่สตรีป้อนอาหารข้า ข้าไม่เคยป้อนอาหารสตรีมาก่อน”

ไป๋ชินหยุนไม่อยากเปิดโอกาสให้หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉยอีก…

นางจึงถามออกมาเน้นย้ำทีละคำว่า “จะ… เจ้าไม่ได้เกลียดข้าหรือ?”

“เกลียดเจ้า? ทำไมล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินฉีกเนื้อย่างส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยคำหนึ่ง “ทำไมข้าต้องเกลียดเจ้าด้วย?”

ไป๋ชินหยุนตอบว่า “เพราะคนบริสุทธิ์มากมายต้องตายอยู่ในป้อมอสรพิษ แม้แต่ผู้ที่อพยพมาจากเมืองหยุนเมิ่ง และพวกของพี่อู๋หงก็ไม่รอดพ้นชะตากรรมเช่นกัน…”

หลินเป่ยเฉินโบกมือขัดจังหวะและกล่าว “อ้อ ไม่มีอะไรมากหรอก เพราะข้ามั่นใจว่าเจ้าก็คงไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเช่นกัน”

ไป๋ชินหยุนถึงกับตกตะลึง

นางไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นคำตอบของหลินเป่ยเฉิน

“ทะ… ทำไมล่ะ?”

ไป๋ชินหยุนพูดตะกุกตะกัก “เจ้าก็เห็น… ว่า…”

เสียงของเด็กสาวสั่นเครือ

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ แววตาเหม่อลอยเล็กน้อยขณะกล่าว “ข้าได้เข้าไปเห็นสุสานใต้ดินของป้อมอสรพิษแล้ว ข้านั่งอยู่บนเศษซากของเครื่องปั่นมนุษย์ เมื่อมองบ่อโลหิตพวกนั้น ข้าถึงได้รู้ว่านี่คือเรื่องที่โหดร้ายอำมหิตที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็น นับตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดมาบนโลกใบนี้ และสุดท้าย ข้าก็ได้เข้าใจเรื่องราวบางอย่าง”

“สุสานใต้ดินอะไรกัน?”

ไป๋ชินหยุนชะงักไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “เจ้าได้เข้าใจเรื่องราวใด?”

หลินเป่ยเฉินตอบเน้นย้ำทีละคำว่า “ข้าได้เข้าใจว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของเจ้า เจ้าคงไม่รู้ว่าป้อมอสรพิษมีพฤติกรรมชั่วร้ายถึงขนาดนี้ เพราะข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนเลวร้ายเช่นนั้น”

ไป๋ชินหยุนพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ

หัวใจของนางคล้ายกับถูกบีบคั้นอย่างหนักหน่วง ทำให้ต้องหอบหายใจออกมาอย่างแรง

กำแพงน้ำแข็งในหัวใจของนาง เริ่มหลอมละลายลงอย่างแช่มช้า

หลังจากนั้น นางก็ได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “อีกอย่าง ที่ผ่านมาเจ้าสามารถฆ่าข้าได้หลายครั้ง… เพราะข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเลย แต่เจ้ากลับให้ข้ายืมเงิน และคอยช่วยเหลือข้านับครั้งไม่ถ้วน ครั้งสุดท้ายระหว่างเดินทางมายังนครเจาฮุย เจ้ากลับปล่อยข้าไป ทั้งๆ ที่เจ้าควรสังหารข้าที่สุด”

“และข้าก็สัมผัสได้ว่าเจ้ากำลังแบกรับความกดดันบางอย่าง ความกดดันนั้นทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมาน เจ้าที่เป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อยๆ กลับต้องแบกรับความกดดันถึงเพียงนี้ นอกจากไม่ฆ่าข้าแล้ว เจ้ายังคอยช่วยเหลือข้าอีก ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่ข้าสมควรฆ่าเจ้าบ้าง เพราะพวกของเจ้าฆ่าคนของข้าไปไม่ใช่น้อย ข้าก็นึกถึงเรื่องราวความหลังระหว่างพวกเรา และข้าก็มั่นใจมากว่า เจ้าไม่ใช่คนชั่วร้ายอย่างที่คนอื่นเข้าใจ”

ไป๋ชินหยุนมองหน้าหลินเป่ยเฉิน หยดน้ำตาของนางค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตา

เด็กหนุ่มเอื้อมมือออกไปปาดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน

ทันใดนั้น บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

พลัน คุณชายหลินกระโดดลุกขึ้นยืนเท้าเอว เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า เป็นไงล่ะ? เจอความอ่อนโยนของข้าเข้าไปหน่อย เจ้าถึงกับเสียน้ำตาเลยหรือนี่ ไม่คิดเลยนะว่าพวกคำพูดที่จำมาจากหนังสือนิยาย จะสามารถใช้กับเจ้าได้ผลเสียด้วย”

ไป๋ชินหยุนก็หลุดหัวเราะออกมาแล้วเช่นกัน “เจ้ามันบ้า”

หลินเป่ยเฉินนับเป็นบุคคลน่ารำคาญที่สุด

น่ารำคาญมากเกินไป

เหตุไฉนถึงได้น่ารำคาญเพียงนี้

เด็กสาวไม่รู้เลยว่าตนเองไปรวบรวมเรื่องแรงมาจากไหน ถึงลุกขึ้นยืนและวิ่งเข้าใส่อ้อมอกของหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ หลังจากนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นประทับริมฝีปากของตนเองเข้ากับริมฝีปากของหลินเป่ยเฉินอย่างดูดดื่ม

หลินเป่ยเฉินยืนตัวแข็งทื่อ

ไป๋ชินหยุนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังตกตะลึง

แต่นางก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

ไป๋ชินหยุนกำลังจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หัวใจเรียกร้อง

ชีวิตของคนเราความตายคือสิ่งไม่แน่นอน นางไม่อยากจะเก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงในหัวใจอีกต่อไป

หากนี่คือบาปที่จะทำให้นางต้องตกนรก ไป๋ชินหยุนก็ยอมตกนรกด้วยความยินดี