ฮั่วเจี่ยพูดจบ พอเห็นดวงตาที่แทบจะถลนออกมาของจูจือหมิง ก็ยังคงนิ่งเฉย ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา เปิดฝาออก เอาฝาปาดที่ปากถ้วยเบาๆ ให้ใบชาไปอีกทางหนึ่ง ก้มหน้า แล้วดื่ม จากนั้นก็ปิดฝา แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ท่านเจ้าเมือง ความคิดเห็นของข้าเป็นอย่างไร”
จูจือหมิงอึ้งอยู่ เลยนิ่งไปราวท่อนไม้ นิ่งอยู่อย่างนั้นสีหน้าเดิม ท่าทางเดิม ขนาดจะลุกขึ้นมายืนดีๆ ยังลืมเลย คำพูดของฮั่วเจี่ย ทำให้เขาได้สติ แล้วตกใจพูดออกมาว่า “เอ่อ นี่… …”
ฮั่วเจี่ยนึกไว้แล้วว่าเขาต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าขุนนางคนไหนที่ได้ฟังความเห็นเช่นนี้ล้วนต้องเป็นเช่นนี้แหละ ถ้าไม่เป็นน่ะสิแปลก
แล้วฮั่วเจี่ยก็พูดอีกว่า “ท่านเจ้าเมือง ข้าก็แค่คิดแทนท่าน ถ้าหากเรื่องนี้ไปถึงหูฮ่องเต้ล่ะก็ เกรงว่าท่านคงต้องลาตำแหน่งจริงๆ เสียแล้วล่ะ ส่วนข้า ไม่ได้เสียหายอะไรสักนิด หากพวกเราไม่ได้เป็นสหายกันล่ะก็ ตระกูลฮั่วของเราไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งหรอกนะ”
จูจือหมิงรีบโบกมือทันที “ไม่ๆ นายท่านฮั่ว นี่เป็นโทษประหารเก้าชั่วโคตรเชียวนะ ข้าไม่กล้าหรอก แล้วก็ไม่ทำด้วย”
มันรุนแรงเกินไป การที่ฮั่วเจี่ยจะฉวยโอกาสจัดการพวกท่านอ๋องฉีเช่นนี้
ฮั่วเจี่ยน่าจะไม่รู้ แต่เขานั้นเป็นขุนนาง เลยเข้าใจเป็นอย่างดี ท่านอ๋องฉีผู้นี้ ในปีนั้นเป็นคนที่ช่วยฮ่องเต้องค์ก่อนกับเหล่าไทเฮาเอาไว้ แล้วยังเกือบเสียลูกของตนเองไปเพราะเหตุนี้อีกด้วย ฮ่องเต้องค์ก่อนซาบซึ้งน้ำใจเป็นอย่างมาก จึงเกรงใจเขามากกว่าใครๆ ส่วนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยิ่งไม่ต้องพูดถึง กลัวท่านอ๋องฉีกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเสียอีก อีกทั้งยังมีซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด เด็ดเดี่ยว พูดคำไหนคำนั้น ไม่มีใครกล้าขัด แล้วยังมีพระชายาของซื่อจื่อที่เก่งกาจอีกด้วย… …ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งคิดหน้าก็ยิ่งซีด เหงื่อเม็ดใหญ่บนหน้าผากไหลลงมาไม่หยุด
ในเมื่อฮั่วเจี่ยมีความคิดเช่นนี้แล้ว คงยากจะล้มเลิก จึงโน้มน้าวต่อไปว่า “ตราบใดที่อยู่เจียงหนาน ถ้าท่านกับข้าร่วมมือกัน ขนาดแมลงวันยังบินออกไปไม่ได้ ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบหายไป ไม่มีใครรู้ ท่านเจ้าเมืองยังจะกลัวอะไรอีก”
กลัวอะไรน่ะหรือ! กลัวโดนประหารน่ะสิถามได้! กลัวโดนประหารเก้าชั่วโคตรน่ะสิ! นี่เป็นคำพูดในใจของจูจือหมิง แต่ไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่ยืนขาสั่น กลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม อยากจะดื่มชาปลอบขวัญตัวเองเสียหน่อย แต่มือทั้งสองข้างกลับสั่นจนถือถ้วยชาไม่ไหว
ฮั่วเจี่ยยืนขึ้น เดินไปข้างหน้าเขา ใช้มือจับมือที่กำลังสั่นระรัวของเขา แล้วช่วยเขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาป้อนเขาแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองทำหน้าที่มาหลายปี เรื่องใหญ่กว่านี้ก็เจอมาแล้ว แล้วทำไมเรื่องเล็กแค่นี้ถึงได้ทำท่านกลัวได้ถึงเพียงนี้”
เรื่องเล็ก? ฆ่าพวกท่านอ๋องฉีเนี่ยนะ เขากล้าบอกว่าเป็นเรื่องเล็กอีก จูจือหมิงเกือบจะสำลักน้ำพุ่งออกจากปากเลยทีเดียว
กว่าจะกลืนน้ำชาลงไปได้ ก็สำลักออกมา ไอเสียจนน่ากลัว
ฮั่วเจี่ยยื่นมือออกมา แล้วทุบหลังเขาเบาๆ
แต่จูจือหมิงกลับรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบอยู่ที่ด้านหลัง แล้วหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนทำให้เขาแทบทนไม่ไหวแล้วสลบไป
เขาผิดหวังมาก วันนี้ไม่น่ามาจวนฮั่วเลย ถึงแม้ว่าเขาจะโลภ อยากเลื่อนตำแหน่ง แต่หากเขาทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนั้นจริงๆ ล่ะก็ เขายอมเป็นคนธรรมดาดีกว่ามีชีวิตที่จะต้องปิดบัง ไม่สบายใจแบบนั้นไปตลอดชีวิต
เหมือนฮั่วเจี่ยจะมองออก เลยพูดตามหลังมาว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านเจ้าเมืองคิดว่าจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้อย่างนั้นหรือ”
ประโยคนี้ทั้งโน้มน้าว ทั้งข่มขู่
ฮั่วเจี่ยสถาปนาเป็นฮ่องเต้ของที่นี่ ในเมื่อเขามีความคิดเช่นนี้ แล้วมาพูดกับเขาแล้วด้วย ก็แสดงว่า ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ ก็หนีไม่พ้นที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ดี
จูจือหมิงเข้าใจ แล้วหลับตาลง
อย่างไรก็รับราชการมาหลายปี หลังจากหายตกใจแล้ว พยายามข่มตัวเองให้ใจเย็นลง ถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน ไม่ได้เพื่อการส่วนตัวอะไรทั้งนั้น แต่ฮั่วเจี่ยกลับอยากให้พวกเขาตาย เรื่องนี้จะต้องมีอะไรแน่ๆ
พอคิดประเด็นนี้ออก เขาก็ค่อยๆ สงบลงได้ ลืมตา แล้วมองตรงไปที่ฮั่วเจี่ยที่กำลังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงปกติ และมีความฉลาดซ่อนอยู่ว่า “นายท่านฮั่ว พวกเรามาเปิดใจคุยกันหน่อยดีกว่า ที่ท่านทำเช่นนี้ ไม่ได้เพื่อช่วยข้าอย่างเดียวหรอกกระมัง”
ฮั่วเจี่ยก็หัวเราะเสียงดัง “ข้านึกอยู่แล้วว่าเจ้าเมืองฉลาดๆ อย่างท่าน ไม่มีทางมองไม่ออกถึงเจตนาอื่นได้หรอก ถ้าหากท่านอยากฟัง ข้าจะบอกให้ท่านฟังให้หมด”
“ข้าตั้งตารอฟังเลยล่ะ!”
ฮั่วเจี่ยเล่าต้นสายปลายเหตุให้เขาฟังอย่างไม่ปิดบัง ในขณะที่พูด รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป แต่เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นที่แสดงออกมาแทน “ข้ามีลูกชายหกคน มีลูกสาวแค่คนเดียว ข้าทะนุถนอมของข้ามา ไม่เคยให้ได้รับการกระทำเช่นนี้มาก่อนเลย แล้วก็หลานสาวของข้า เกือบจมน้ำตาย ข้าจะทนการกระทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ในเมื่ออ๋องฉีมาอยู่ในกำมือของเราแล้ว เราอย่าได้ให้พวกมันหลุดมือไปง่ายๆ”
จูจือหมิงฟังจบ เข้าใจ พยักหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะ… …” พูดถึงตรงนี้ ก็มีภาพผุดขึ้นมาในหัว ทำให้เขาตกใจจนต้องลุกขึ้น ตาถลนถามว่า “เรื่องสะพานถล่มวันนี้ หรือว่าเป็นฝีมือของท่านงั้นรึ”
ฮั่วเจี่ยได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร แล้วยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
แล้วจูจือหมิงก็นั่งลง เสื้อเปียกไปด้วยเหงื่อ นั่งอึ้งอยู่นาน ไม่ได้พูดอะไร
ฮั่วเจี่ยก็ไม่ได้รีบร้อน ไม่ได้เร่งเขา เพียงแต่เรียกพ่อบ้านมาเปลี่ยนถ้วยน้ำชาให้ใหม่เท่านั้น
สมองของจูจือหมิงกำลังตีกัน เขาไม่คิดไม่ฝัน ว่าที่สะพานขาดนั้นเป็นฝีมือของคน อีกทั้งยังเป็นฝีมือของฮั่วเจี่ย เหตุเพราะต้องการฆ่าพวกท่านอ๋องฉีเท่านั้น เขาอยู่เจียงหนานมาหลายปี ไม่ว่าฮั่วเจี่ยจะทำอะไร ล้วนอยู่ในสายตาของเขาตลอด
ฮั่วเจี่ยมีฐานะพิเศษ สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง ไม่เห็นใครในสายตาทั้งนั้น เรื่องที่เขาต้องการทำ ไม่ว่าจะด้วยวิธีเลวทรามขนาดไหนเขาก็จะทำให้ได้ ในเมื่อเขาต้องการฆ่าท่านอ๋องฉี เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหาวิธีต่างๆ ไม่เลิกราง่ายๆ แน่นอน อย่างวันนี้ การที่ตนรู้เรื่องของเขา แถมยังรู้แผนการของเขาอีก หากไม่ให้ความร่วมมือล่ะก็ เยี่ยงนั้น… …คิดถึงตรงนี้ก็ไม่กล้าคิดต่อ แล้วก็ไม่อยากคิดด้วย เพราะเขาได้เห็นถึงจุดจบที่หัวขาดสะบั้นของตนเองแล้วเรียบร้อย
แล้วก็ขนลุก ในใจรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก
เรื่องก็เล่าไปแล้ว แผนบอกก็บอกไปแล้ว พอเห็นท่าทางลังเลของจูจือหมิง ฮั่วเจี่ยจึงเริ่มยุแยงอีกครั้ง “ข้ารู้ความกังวลใจของท่าน ท่านวางใจเถิด เรื่องนี้ ขอแค่ท่านพยักหน้า เรื่องที่เหลือข้าจัดการเอง ท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย สิ่งที่ท่านต้องทำคือปิดตาข้างหนึ่งก็พอ”
จูจือหมิงเงียบ
ฮั่วเจี่ยพูดต่อ “แล้วก็ หากท่านใต้เท้ากลัวว่าหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น แล้วท่านเป็นขุนนางท้องถิ่นจะพลอยซวยไปด้วยล่ะก็ กลัวหมวกตำแหน่งของท่านจะหลุดไป ท่านวางใจเถิด ข้าขอรับรอง ขอแค่จัดการอ๋องฉีได้ ข้าจะส่งจดหมายไปหาลูกสาวของข้าทันที ด้วยฐานะของอู่โหวแล้ว ท่านอยากได้ตำแหน่งอะไรก็บอกได้เลย”
ท่านอ๋องเป็นราชนิกูลก็จริง แต่ผลงานของจวนอู่โหวในปีนั้นที่ทำให้ได้ตำแหน่งจนมียศ หากจะมีการสืบทอดตำแหน่งเกิดขึ้นได้นั้น ถ้าหากตัดฐานะออกไป จริงๆ แล้วสองจวนนี้ก็พอๆ กัน ถ้าจวนอู่โหวกล้าออกหน้าให้ข้ามีตำแหน่งที่ดีนั้นเป็นเรื่องไม่ยากเลย อีกอย่าง ถ้าหากว่าทำสำเร็จ แถมยังมีตระกูลฮั่วเป็นเครื่องมืออีกด้วย บางทีข้าอาจจะสบายไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
คำพูดของฮั่วเจี่ย ไม่รู้ทำให้จูจือหมิงเป็นอะไร คิดเรื่องพวกนี้ออกมาได้ พอถึงตอนที่เขารู้ตัวว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก็ส่ายหน้า สลัดเรื่องพวกนี้ออกไป เรื่องจัดการพวกท่านอ๋องฉี เป็นโทษประหาร ทำไม่ได้ๆ
แล้วฮั่วเจี่ยก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินว่าหลายปีที่ท่านได้ตำแหน่งนี้มา ไม่ค่อยได้กลับไปดูแลครอบครัวเท่าไรนัก เช่นนี้ครอบครัวคงจะนินทาเอาได้ จริงๆ แล้วไม่ใช่ไม่คิด แต่เป็นเพราะท่านเป็นขุนนางที่ใสสะอาด ไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง ท่านยากจน ไม่มีอะไรที่จะเข้าหาพวกเขาได้เท่านั้น หากท่านตอบรับเรื่องนี้ล่ะก็ ข้าจะมอบเงินให้ท่านเป็นจำนวนหนึ่งแสนตำลึง ให้ท่านเอากลับบ้านไปช่วยเหลือครอบครัว”
หนึ่งแสนตำลึง? พวกญาติจนๆ ของข้า ขนาดสองพันตำลึงยังใช้ไม่หมด ฮั่วเจี่ยทำเช่นนี้ หรือว่าอยากหาข้ออ้าง ให้ข้ารับเงินปิดปากก้อนนี้ จูจือหมิงรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เขาก็หวั่นไหว เพราะหลายปีมานี้ ตำแหน่งของเขาสูงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น สินบนที่นั่นที่นี่เยอะแยะไปหมด แต่หลังจากมาที่เจียงหนานแล้ว ตระกูลฮั่วทรงอิทธิพลมาก โอกาสที่เขาจะหาเงินช่องทางอื่นนั้นไม่มีเลย เงินไม่พอใช้เข้าทุกที โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเลื่อนตำแหน่ง เขาแทบจะเอาเงินสำรองของเขาแทบทั้งหมดออกมาใช้ติดสินบน เพื่อตำแหน่งในหน้าที่การงานของเขาทั้งนั้น
ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว ตนแค่ไม่พูดอะไร ทำเป็นไม่รู้แผนการของตระกูลฮั่ว แค่นั้น ไม่เพียงแต่จะได้ตำแหน่ง เงินทอง แล้วเหตุใดตนถึงจะไม่มีความสุขล่ะ แม้หากในอนาคตจะทำไม่สำเร็จ ตนก็สามารถปัดความผิดทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นก็ได้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ส่งคนไปเข้าร่วม มีความผิดแค่ดูแลจัดการได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่มีโทษหนักเลย
คิดได้ดังนั้น เรื่องที่คิดเมื่อครู่นี้ก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นลำบากใจ ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น
ฮั่วเจี่ยเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก เขามองคิ้วที่คลายออกเล็กน้อยของจูจือหมิงก็รู้แล้วว่าเขายอมประณีประณอม จึงเรียก “พ่อบ้าน!”
พ่อบ้านเข้ามา “นายท่าน!”
“ไปห้องบัญชี เอาเงินหนึ่งแสนตำลึงมาให้ท่านใต้เท้าจู”
จูจือหมิงรีบบ่ายเบี่ยง “ท่านฮั่ว เช่นนี้จะ… เอ่อ”
“เงินพวกนี้เป็นเงินที่ท่านเจ้าเมืองเอาไปใช้แก้ขัดก่อน หากไม่พอ ขอให้ท่านบอกข้ามา เพราะท่านกับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ท่านใต้เท้าจูไม่ต้องเกรงใจ”
พอพ่อบ้านนำเงินมา จูจือหมิงก็ไม่รับ แล้วบอกว่า “นายท่านฮั่ว เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ข้าอยากกลับไปไตร่ตรองดูก่อนเสียหน่อย”
ฮั่วเจี่ยไม่ได้เร่งรัดอะไร ตอบรับบอกว่า “ได้ ข้าให้เวลาท่านสามวัน พอสามวันผ่านไปข้าต้องได้คำตอบจากท่าน”