ท่านอ๋องฉีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ยิ่งมองอารมณ์ก็ยิ่งขึ้น อยากจะถีบเขาให้กระเด็นไปไกลๆ
แต่แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ที่จะถีบเขาเอาไว้ แล้วท่านอ๋องฉีก็พูดขึ้นว่า “เป็นใบ้หรือไง ทำไมไม่พูดล่ะ”
“ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าน้อยสมควรตายขอรับ!” ในสมองของจูจือหมิงคิดออกแค่คำนี้
“ที่ข้าเรียกเจ้ามาไม่ได้จะฟังเจ้าพูดเพ้อเจ้อ เจ้าเป็นเจ้าเมืองเจียงหนาน รู้ทั้งรู้ว่ามีคนทำลายสะพานจนทำให้ชาวบ้านต้องตกน้ำ แต่เจ้ากลับจงใจปล่อยผ่าน เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร”
อย่างน้อยก็แค่เสียตำแหน่ง ถ้าอย่างมากก็เสียชีวิต เพราะว่ารู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร จูจือหมิงถึงได้คิดปิดบังเรื่องนี้ ปล่อยให้มันผ่านไป ใครจะไปคิดว่าท่านอ๋องฉีจะอยู่บนสะพานด้วย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขามาตั้งแต่ต้น เลยทำให้เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะอธิบายเลยสักนิด
หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ อ๋องฉีก็เบาเสียงลงแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าหลังเกิดเรื่อง เจ้าก็ให้คนไปให้ความช่วยเหลือที่แม่น้ำทันที ในฐานะขุนนาง เจ้าทำได้ดีมาก เรื่องนี้ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้ ส่วนเรื่องที่มีคนทำลายสะพานนั้น หวังว่าเจ้าจะรีบหาตัวคนที่ทำให้เร็วที่สุด คืนความยุติธรรมมาสู่ชาวบ้านให้โดยเร็วที่สุด”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด จูจือหมิงก็โล่งใจ ฟุบลงไปกับพื้นแล้วตอบรับ “ขอท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะส่งคนไปสืบ เรื่องนี้จะมีคำตอบให้ท่านอ๋องในเร็ววันนี้ขอรับ”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี เจ้ารีบไปจัดการเถอะ”
“ข้าน้อยทูลลา!”
จูจือหมิงค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ไม่กล้าเงยหน้า โค้งตัวเดินออกมา ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มีความโล่งใจเป็นที่สุด พอกำลังจะปาดเหงื่อที่หน้าผาก ก็เห็นพวกเซี่ยเฟิงที่ยืนอยู่ข้างประตู มือที่กำลังจะยกขึ้นมาก็เก็บกลับไป แล้วเดินลงไปข้างล่าง
“ท่านใต้เท้า” เซี่ยเฟิงตะโกนเรียก
จูจือหมิงหยุด แล้วมองไปที่เขา
“คนของพวกเรายังอยู่ในคุก ขอท่านเจ้าเมืองจัดการด้วย” เซี่ยเฟิงพูดแซะออกมา
จูจือหมิงนึกขึ้นได้โดยทันที ตกใจจนเหงื่อไหลออกมาอีกครั้ง เลยรีบพูดว่า “ข้าจะสั่งให้คนส่งเขากลับมาเดี๋ยวนี้”
“ขอบคุณท่านใต้เท้า ไม่ต้องส่งกลับมาหรอก แค่ปล่อยออกมาก็พอ”
“ได้ๆ” จูจือหมิงตอบรับเสร็จก็ออกมา
เถ้าแก่กับคนอื่นๆ ก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่ชั้นหนึ่ง พอเห็นท่าทางอ่อนน้อมของจูจือหมิงที่มีต่อเซี่ยเฟิง ทุกคนก็งงไปตามๆ กัน
พอลงมา เห็นทุกคนคุกเข่าอยู่ จูจือหมิงถึงได้รู้สึกตัว แล้วพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระคุณท่านใต้เท้า!” แล้วทุกคนก็ลุกขึ้น พูดขอบคุณ
จูจือหมิงเดินออกไปไม่ทันไร ก็ต้องหันกลับมาสั่งเถ้าแก่ว่า “แขกชั้นบนสองท่านนั้น เจ้าต้องดูแลเป็นอย่างดี ถ้าหากมีตรงไหนบกพร่องล่ะก็ ระวังหัวเจ้าจะหลุดจากบ่า”
การที่จะได้รับคำสั่งพิเศษจากท่านเจ้าเมืองเช่นนี้ แสดงว่าแขกด้านบนต้องไม่ธรรมดา เถ้าแก่เป็นคนฉลาด เลยนึกถึงจุดนี้ได้โดยทันที จึงโค้งตัวพยักหน้า “ท่านใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยจะดูแลเป็นอย่างดีขอรับ”
แล้วจูจือหมิงก็ไม่สนใจเขาอีก เดินออกจากโรงเตี๊ยมมา สั่งทหารผู้ติดตามว่า “ไปที่คุกเร็วเข้า ปล่อยคนที่เราจับไปเมื่อครู่ออกมา”
ทหารตอบรับแล้วไปโดยทันที
จูจือหมิงเงยหน้าขึ้น มองดวงอาทิตย์ แต่กลับรู้สึกว่าความกลัวที่มีอยู่ของตนก็ยังไม่หายไปเสียที
บ่าวของจวนฮั่วกลับจวนไป แล้วรายงานเรื่องที่ท่านเจ้าเมืองโดนพาตัวไป ฮั่วเจี่ยเลยเข้าใจทันที ว่าโดนคนของท่านอ๋องฉีเอาไปแน่นอน ถ้าหากว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วยล่ะก็ เรื่องที่ตนส่งคนไปทำลายสะพานได้ถูกเปิดเผยแน่ จึงรีบออกคำสั่งว่า “ไปรอที่นอกโรงเตี๊ยม พอใต้เท้าจูออกมาเมื่อไหร่ ให้รีบพาตัวมาที่จวนเราทันที”
บ่าวตอบรับ แล้วไปที่โรงเตี๊ยมทันที ตอนที่เขาวิ่งมาถึงนั้น จูจือหมิงเพิ่งจะขึ้นรถม้า เพื่อจะไปที่ริมแม่น้ำ
เมื่อเห็นรถม้าแล่นออกจากโรงเตี๊ยม บ่าวรับใช้ก็พุ่งตัวเข้าไป ตะโกนเรียกอยู่ด้านหลัง “ใต้เท้าขอรับ ช้าก่อน!”
ได้ยินเสียงตะโกนเรียก จูจือหมิงจึงเปิดม่านรถม้าออก เห็นเป็นคนของจวนฮั่ว เลยสั่งให้หยุด
บ่าวรับใช้วิ่งมาด้านหน้า โค้งตัวคารวะ “ท่านใต้เท้า นายท่านของเรามีเรื่องด่วน เลยเชิญท่านไปที่จวนขอรับ”
“เจ้ากลับไปรายงานท่านฮั่วด้วย บอกว่าวันนี้ข้าไม่ว่าง เดี๋ยวไว้วันหลังว่างๆ จะไปเยี่ยม”
พูดจบ ในจังหวะที่กำลังจะปิดม่าน สั่งให้คนรถออกรถได้
บ่าวคนนั้นรีบเข้ามาขวาง แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ท่านใต้เท้า เรื่องของนายท่านรีบเร่งนัก ท่านไปเสียหน่อยเถิด อย่างมากก็แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น”
ตระกูลฮั่วถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลของเจียงหนาน สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ในแถบนี้ แม้ตนจะเป็นเจ้าเมืองเจียงหนาน เวลาเจอเขายังต้องเกรงใจ ไม่อยากมีเรื่องกับเขา มาวันนี้ ฮั่วเจี่ยส่งคนมาหาตนหลายต่อหลายครั้ง จะต้องมีเรื่องเร่งด่วนเป็นแน่ ถ้าหากตนผลัดไปเรื่อยๆ ไปทำให้เขาไม่พอใจเข้า การอยู่เจียงหนานในภายภาคหน้าคงได้ลำบากแน่
คิดได้เช่นนั้น ก็สั่งคนรถ “ไปจวนฮั่ว”
ฮั่วเจี่ยเดินวนไปมาในจวนด้วยความร้อนใจ เหล่าฮูหยินฮั่วมองแล้วก็มึนศีรษะยิ่งนัก แล้วพูดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “เลิกเดินได้แล้ว ก็แค่ทำสะพานพัง ตายไปเยอะนักหรือไง พอถึงเวลาสืบแล้วได้ผลออกมา ก็ให้เงินเขาไปจะได้จบๆ ดูเจ้าสิ อย่างกับมดที่เดินอยู่บนหม้อร้อน ยิ่งแก่ก็ยิ่งสงบไม่ได้”
“เจ้าจะไปรู้อะไร!” ฮั่วเจี่ยตะคอกนาง “อ๋องคนนี้เป็นเสด็จอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากโดนเขาจับได้ล่ะก็ จะแย่เอาได้”
เหล่าฮูหยินฮั่วก็เบะปาก พูดพร่ำออกมาว่า “ราชนิกูลต่างก็เลือดเย็นมาแต่ไหนแต่ไร กี่คนแล้วที่ไม่สนใจพี่น้องของตนเพื่อตำแหน่งนั้น แล้วจะมาสนใจเสด็จอาของตัวเองอย่างนั้นรึ”
เหล่าฮูหยินฮั่วก็เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาที่เติมโตมาในโลกแคบๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับราชสำนักหรืออะไร อีกทั้งยังโดนตามใจจนเคยตัวอีก ดังนั้นนางเลยไม่เคยเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจเลย
พูดไปสองไพเบี้ย ฮั่วเจี่ยกำลังร้อนใจ จึงไม่สนใจนาง แล้วเดินวนไปวนมาต่อ
เหล่าฮูหยินฮั่วโดนเขาทำเสียจนลายตา ลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก “เจ้าเดินของเจ้าไปเถอะ ข้าจะไปหาอวี้เอ๋อร์ ตอนที่นางกลับมา เห็นนางแปลกๆ ไป หรือว่าจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้”
ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็หยุด แล้วพูดว่า “เจ้าไปดูเร็ว หากว่านางไม่สบายตรงไหน ให้รีบเรียกหมอมาทันที”
“รู้แล้วน่า!” แล้วเหล่าฮูหยินฮั่วให้สาวใช้ช่วยพยุงเดินออกไป
ฮั่วเจี่ยฟุ้งซ่าน กำลังจะเทน้ำสักแก้ว พอหยิบกาน้ำชาขึ้น พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่า “นายท่าน ท่านเจ้าเมืองมาแล้วขอรับ”
“เชิญเขาไปห้องรับแขก เดี๋ยวข้าจะตามไป”
พ่อบ้านตอบรับ แล้วออกไป
ฮั่วเจี่ยจัดท่าทางของตนให้เรียบร้อย เอามือไขว้หลัง แล้วกลับมาอารมณ์ปกติ เดินเข้าไปที่ห้องรับแขกอย่างช้าๆ
จูจือหมิงนั่งลง เห็นฮั่วเจี่ยเดินมา ก็ลุกขึ้น แล้วทำมือคารวะ “นายท่านฮั่ว”
ฮั่วเจี่ยก็ทำมือตอบรับ “ท่านเจ้าเมืองกำลังยุ่งงานราชการ ข้าดันส่งคนไปเชิญท่านมา คงไม่ได้ทำท่านเสียเวลาใช่หรือไม่”
จูจือหมิงโบกมือ “ที่ไหนกัน ต่อให้แผ่นดินจะกว้างใหญ่สักเพียงใด ก็ไม่ใหญ่เท่ากับธุระที่ท่านมีหรอกขอรับ ท่านฮั่วส่งคนมาเชิญข้า มีหรือข้าจะไม่มา”
คำพูดนี้ถูกใจฮั่วเจี่ยยิ่งนัก ลูบเคราแล้วหัวเราะออกมา แล้วยื่นมือทำท่าเชิญ “ท่านเจ้าเมือง เชิญนั่ง”
พูดจบก็สั่งว่า “ยกน้ำชา!”
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องรับแขกตอบรับ แล้วสั่งให้บ่าวไปยกน้ำชามา
ฮั่วเจี่ยนั่งอยู่ที่ประจำ ยิ้มแล้วถามว่า “ท่านเจ้าเมือง วันนี้เกิดเรื่องที่ริมแม่น้ำ บาดเจ็บล้มตายกันไปเท่าไรล่ะท่าน”
“อ่อ ข้าสั่งให้คนตรวจสอบแล้ว บาดเจ็บและตายรวมแล้วห้าสิบกว่าคนขอรับ”
เยอะขนาดนั้นเลยหรือนี่ มันผิดคาด ฮั่วเจี่ยเลยขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้ามองหน้าของท่านเจ้าเมืองแล้วพูดว่า “ท่านใต้เท้าสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“เอ่อ… …” จูจือหมิงพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่เรื่องที่องครักษ์ลับมาบอกว่ามีคนจงใจทำลายสะพาน
“ดูเหมือนว่าใต้เท้าจะเจอตัวการแล้วสินะ” พอเห็นสีหน้าของเขา ฮั่วเจี่ยเลยถามลองเชิงดู
ความคิดที่จะพูดออกมาก็หายไป แล้วจูจือหมิงก็โบกมือ “ยังเลยขอรับ ข้ากำลังกลุ้มใจกับเรื่องนี้อยู่น่ะสิ ข้าสั่งให้คนไปซ่อมอยู่บ่อยๆ แท้ๆ แต่ไม่พบว่าสะพานไม้มันจะมีรอยอะไร แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงถล่มได้ล่ะเนี่ย”
ฮั่วเจี่ยมองจ้องไปที่เขา จับตาดูทุกๆ สีหน้าอิริยาบถของเขา เห็นว่าเขาเหมือนจะไม่ได้โกหก จึงโล่งใจ นั่งพิงหลังไป แล้วเปลี่ยนหัวข้อ “ไม่ทราบว่าท่านใต้เท้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
“เอ่อ แน่นอนว่าต้องสืบหาต้นตอก่อน ส่วนจะอย่างไรต่อนั้น ไว้ค่อยว่ากัน”
“ท่านเจ้าเมืองให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขนาดนี้เชียวรึ หรือว่ามีคนกดดันท่านอยู่หรือ” ฮั่วเจี่ยถามตรงประเด็น
จูจือหมิงชะงัก มองไปที่เขาแล้วหลุดปากถามว่า “ท่านฮั่วรู้ได้อย่างไร”
พอถามเสร็จ เพิ่งรู้ว่าตนพูดอะไรออกไป เลยอยากจะกัดลิ้นของตัวเองจริงๆ
“ข้าไม่เพียงแต่รู้ว่ามีคนกดดันท่านอยู่เท่านั้น แถมยังรู้ด้วยว่าคนๆ นั้นคือใคร ท่านเจ้าเมืองเชื่อหรือไม่” ฮั่วเจี่ยลูบเครา ทำท่าทางเหมือนทุกสิ่งอย่างอยู่ในกำมือของตนแล้วอย่างใดอย่างนั้น
จูจือหมิงไม่เชื่อแน่นอน ท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน เขาเป็นเจ้าเมืองยังไม่รู้เรื่องเลย นับประสาอะไรกับฮั่วเจี่ย
ฮั่วเจี่ยเห็นท่าทางของเขาก็เลยยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “คือท่านอ๋องฉีแห่งราชวงศ์หวงฝู่ใช่หรือไม่”
จูจือหมิงตกใจจนแทบจะลุกขึ้น พูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “นี่ ท่านฮั่วทราบได้เยี่ยงไร” ขนาดเรื่องที่ท่านอ๋องฉีกดดันเขายังรู้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ตนไปโรงเตี๊ยมมาก็คงจะไม่เหลือ พอคิดได้ว่าไม่ว่าตนจะทำอะไรก็ล้วนอยู่ในสายตาของฮั่วเจี่ยตลอด เหงื่อก็ออกเต็มหลังเลยทีเดียว
ฮั่วเจี่ยยังคงปกติ ยิ้มแล้วบอกว่า “ท่านเจ้าเมืองอย่ากังวลไป ที่ข้ารู้ว่าท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน ก็เพราะว่าหลานสาวของข้าดันไปเจอเข้ากับพวกเขา ท่านก็รู้ว่าหลานของข้าโตในเมืองหลวง เลยรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดีน่ะ”
ปีนั้นที่ลูกสาวของฮั่วเจี่ยต้องออกไปอยู่จวนอู่โหวที่เมืองหลวง คนเจียงหนานก็รู้กันทั่ว อีกทั้งยังเสริมบารมีให้กับตระกูลฮั่วอีกด้วย ดังนั้น ส่วนมากเลยเกรงใจเขา ทำให้ตระกูลฮั่วเหิมเกริมเข้าไปอีก
จูจือหมิงถึงเข้าใจ เลยโล่งอก พูดตามจริงว่า “ท่านฮั่วพูดถูก ท่านอ๋องฉีมาที่เจียงหนานจริงๆ เมื่อครู่เขาเรียกข้าไปอบรมยกใหญ่เชียวแหละ บอกว่ามีคนจงใจทำลายสะพานนั้น เลยสั่งให้ข้ารีบไปตรวจสอบว่าใครเป็นเบื้องหลัง แต่ไม่มีต้นสายปลายเหตุอะไรเลย จะให้ข้าสืบอย่างไร”
“โบราณว่า ผู้ที่ตำแหน่งใหญ่กว่าชอบข่มเหงผู้ที่ตำแหน่งเล็กกว่า ท่านอ๋องฉีคงอยากสร้างผลงาน เลยมาใช้เจ้าไงล่ะ ไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด แต่กลัวว่าต่อให้เจ้าลงแรงมากแค่ไหน ก็คงตกไม่ถึงท่านหรอก” ฮั่วเจี่ยพูด
จูจือหมิงไม่เข้าใจ ถามว่า “ที่ท่านฮั่วพูดหมายความว่าอย่างไร”
“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ถ้าหากเจ้าหาคนที่อยู่เบื้องหลังสะพานขาดนั้นได้ ผลงานก็ตกไปอยู่ที่ท่านอ๋องฉี ไม่เกี่ยวกับท่านเลยสักนิด ถ้าหากไม่เจอ ก็แสดงว่าท่านดูแลไม่ทั่วถึง ทำงานไม่ได้เรื่อง ข้าได้ยินมาว่า อีกไม่กี่เดือนท่านเจ้าเมืองก็จะเลื่อนตำแหน่งแล้วหนิ หากว่าเรื่องนี้มาทำให้ท่านต้องเสียเวลา มันก็ไม่คุ้มกันหรอกน่า”
เขาได้พูดแทงใจดำของจูจือหมิง แล้วจูจือหมิงก็หน้าบูด พูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นเรื่องที่ข้าเป็นห่วงน่ะสิ ท่านว่า ทำไมเรื่องมันต้องเกิดขึ้นช่วงนี้ด้วย ดูเหมือนว่าตำแหน่งนี้คงต้องจบสิ้นเสียแล้ว”
ฮั่วเจี่ยมองเขาแล้วส่ายหน้า “ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าในฐานะที่เป็นสหายของท่าน จะช่วยท่านอย่างเต็มที่”
จูจือหมิงดีใจเป็นอย่างมาก “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบพระคุณท่านฮั่วแล้วล่ะ”
“ขอบคุณตอนนี้ยังเร็วไป ว่าแต่ข้าช่วยท่านคิดวิธีหนึ่งได้แล้ว”
จูจือหมิงตาเป็นประกาย อดใจไม่ไหวถามขึ้นว่า “วิธีการอันใดรึ ท่านฮั่วว่ามาได้เลย”
ฮั่วเจี่ยก็กวักมือเรียกเขาเข้ามา “เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด ท่านเอาหูมานี่ ข้าจะบอกให้”
จูจือหมิงลุกขึ้น เดินไปหาเขา โค้งตัวลง เอาหูเข้าไปใกล้ๆ
แล้วฮั่วเจี่ยก็กระซิบบอกเขา
พอจูจือหมิงฟังจบ ก็หน้าซีดตาถลน มองไปที่เขาด้วยสายตาไม่เชื่อ “นายท่านฮั่ว นี่… …”
“ท่านเจ้าเมืองอย่ารนไป ขอแค่ท่านพยักหน้าอนุญาต ที่เหลือข้าจัดการเองได้ ส่วนท่านก็แค่รอวันได้เลื่อนตำแหน่งไปก็เท่านั้น”