ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 81 พาท่านเจ้าเมืองมาเข้าพบเสียหน่อยสิ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

บ่าวตอบรับ แล้วออกไปทันที  

 

 

รอยยิ้มของฮั่วเจี่ยก็หายไป ตนเป็นคนสั่งทำลายสะพานแท้ๆ พอคนบนสะพานเยอะเข้า ก็ถล่มลงมาเองเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว ผู้คนตกน้ำ แต่ตอนนี้ อวี้เอ๋อร์ไม่พบศพของคนพวกนั้น ก็แสดงว่าพวกเขายังปลอดภัยดี เช่นนี้ก็แย่ล่ะสิ ท่านอ๋องฉีเป็นเสด็จอาแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นเชื้อพระวงศ์ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ เขาไม่อยู่เฉยแน่ อีกทั้งคนก็ตายไปไม่น้อย เขาต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่  

 

 

คิดได้ดังนั้น ก็นึกเสียใจที่ตนทำการวู่วามลงไป ถอนหายใจออกมา แล้วถามหลิวอวี้เอ๋อร์ที่ขึ้นรถม้าไปแล้วว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขาว่ายน้ำกันไม่เป็นน่ะ” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า แล้วพูดด้วยความมั่นใจ “ท่านอ๋องฉีข้าไม่รู้ แต่พระชายาฉีกับนังสองคนนั่นน่ะ ว่ายไม่เป็นแน่นอนเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น ปีที่แล้วที่โดนข้าเอาเรือชนจนตกลงไปในทะเลสาบ นางก็เกือบจะจมน้ำตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนพระชายาฉี โตมาในเมืองหลวง เป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ ยิ่งว่ายไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วเป็นปม โบกมือ “อย่าพูดมากไป กลับจวนก่อนค่อยว่ากัน” 

 

 

เห็นฮั่วเจี่ยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่กล้าพูดต่อ นั่งรถม้ากลับจวนฮั่วไป 

 

 

องครักษ์ลับรับคำสั่งจากท่านอ๋องฉี ให้มาแจ้งความที่ที่ว่าการเจ้าเมือง แต่ไม่มีใครอยู่เลย พอได้ถามถึงรู้ว่า ท่านเจ้าเมืองพาลูกน้องไปช่วยคนที่ริมแม่น้ำ เลยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตามไปที่ริมแม่น้ำ  

 

 

ฮั่วเจี่ยไปแล้ว ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งให้ลูกน้องดำลงไปในแม่น้ำ ดูว่ามีศพจมลงไปหรือไม่ แล้วสั่งลูกน้องอีกส่วนหนึ่งให้จดบันทึกชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บ ยุ่งเสียจนเหงื่อแตกเต็มตัวไปหมด 

 

 

องครักษ์ลับยืนดูอยู่เงียบๆ รอให้เขายุ่งเสร็จก่อน ในขณะที่เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ ก็เดินเข้าไปหาเขา ทำมือคารวะ “ท่านใต้เท้า!” 

 

 

เจ้าเมืองที่กำลังเช็ดเหงื่ออยู่ก็หยุด มองไปที่เขาแล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอันใด” 

 

 

“ข้ามาแจ้งความขอรับ หลังจากที่เจ้านายของพวกเราตกน้ำไป ก็สั่งให้พวกเราไปตรวจสอบดู พบว่ามีร่องรอยของการทำลายสะพานขอรับ” 

 

 

ท่านเจ้าเมืองก็ชะงัก เอาผ้าเช็ดหน้าเก็บเข้าชายเสื้อ แล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าหมายความว่าสะพานนี้มีคนจงใจทำให้ถล่มงั้นรึ” 

 

 

องครักษ์ลับพยักหน้า “ไม่แน่ชัดขอรับ เจ้านายของข้าหวังว่าท่านใต้เท้าจะสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัด” 

 

 

“เหลวไหล!” สีหน้าของท่านเจ้าเมืองมีความโกรธเล็กน้อย “พื้นที่ที่ข้าดูแล ทุกคนล้วนปฏิบัติตามกฎระเบียบ อยู่กันอย่างผาสุข จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร” 

 

 

“ท่านใต้เท้า… …” 

 

 

องครักษ์ลับยังไม่ทันพูด เจ้าเมืองก็พูดแทรกขึ้นก่อนว่า  

 

 

“เหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนที่อื่น ข้าก็จะไม่เอาความ แต่หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหล ยุแยงตะแกรงรั่วเช่นนี้ล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ จะจับเจ้าเข้าคุกไปเสีย” 

 

 

องครักษ์ลับฟังแต่คำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมาหลายปี นิสัยจึงมีความเย่อหยิ่งอยู่ไม่น้อย แต่กลับโดนเจ้าเมืองตะวาดเช่นนี้จึงรู้สึกโกรธ ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องฉีเป็นคนส่งเขามาจัดการเรื่องนี้ ถ้าหากจัดการไม่ได้ก็เสียหน้าอีก เลยพูดด้วยน้ำเสียงกริ้วโกรธ “ถ้าหากท่านไม่เชื่อ ข้าจะพาท่านไปดูด้วยตัวเอง” 

 

 

เชื่อ! ทำไมจะไม่เชื่อ! พอองครักษ์ลับพูดจบ ท่านเจ้าเมืองก็เชื่อแล้ว ก็เพราะเชื่อไง เขาจึงรู้สึกวูบวาบๆ ผลงานของตนดีมาตลอด กรมข้าราชการพลเรือนส่งข่าวมาบอกแล้วว่าหากอยู่ครบวาระ เขามีสิทธิ์ได้เลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นไปอีกได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นตอนนี้ ถ้าหากว่าเรื่องสะพานเป็นอุบัติเหตุ เขาก็แค่รับโทษข้อหาตรวจสอบไม่รอบคอบ ไม่ได้ให้ลูกน้องมาซ่อมแซมได้ทันเวลา แต่ถ้าหากมีคนทำอะไรจริงๆ โทษของเขาก็หนักขึ้นน่ะสิ เพราะแสดงว่าผลงานที่ผ่านมาของเขานั้นจอมปลอม ในพื้นที่ๆ เขาดูแลไม่ได้เป็นอย่างที่รายงานขึ้นไป ว่าชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาไม่อาจให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด 

 

 

เลยออกคำสั่ง “เจ้าหน้าที่ มาเอาตัวคนยุแยงคนนี้ไปขังคุก รอพิจารณาคดี” 

 

 

เจ้าหน้าที่ตอบรับ แล้วพุ่งเข้ามา  

 

 

วิชาการต่อสู้ขององครักษ์ลับเหนือกว่าพวกเขามาก ไม่กี่กระบวนท่าก็ทำเขาล้มได้ง่ายๆ แต่หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเปิดศึกกับขุนนางราชสำนัก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควร ได้เพียงเอามือไขว้หลังไว้ พูดว่า “ไม่รบกวนท่านใต้เท้าแล้วล่ะ ข้าน้อยเดินเองได้ และหวังว่าท่านจะไม่เสียใจในการกระทำของท่านในวันนี้” 

 

 

ในวันปกติองครักษ์ลับก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่อารมณ์ตอนนี้ที่ปล่อยออกมานั้น ทำให้แตกต่างจากคนอื่นอยู่ดี  

 

 

ท่านเจ้าเมืองกลอกตาไปมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่มีคนอยู่มากมาย ออกคำสั่งไปแล้ว หากถอนคำสั่งด้วยคำพูดของเขาแค่ไม่กี่คำ ด้วยความที่ตำแหน่งมันค้ำคอ จึงโบกมือ “จับตัวมัน!” 

 

 

เจ้าหน้าที่เข้ามาจะจับเขา 

 

 

พอองครักษ์ลับจะโดนจับ ก็พูดออกมาด้วยความดุดันว่า “ไม่ต้อง ข้าเดินเองได้” 

 

 

เจ้าหน้าที่ของท่านเจ้าเมืองได้ยินเพียงเท่านั้นก็ใจสั่น มองหน้ากัน ต่างก็ไม่กล้าเดินต่อ 

 

 

ส่วนท่านเจ้าเมืองเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว โบกมือ “เอาตัวไป” 

 

 

เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนก็กุมตัวองครักษ์ลับไป  

 

 

เห็นองครักษ์ลับไม่ได้ขัดขืน ยอมให้กุมตัวไปแต่โดยดี ท่านเจ้าเมืองก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ เลยกวักมือเรียกเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ตนมากทีสุดเข้ามา แล้วกระซิบบอกเขาว่า “เจ้าแอบไปสืบมาหน่อยว่า ที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่” 

 

 

เจ้าหน้าที่รับคำสั่งแล้วออกไป เจ้าเมืองหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ ในใจยังคงรู้สึกไม่ดีอยู่ดี  

 

 

องครักษ์ที่ไปแจ้งความ ไม่กลับมาสักที เซี่ยเฟิงนึกสงสัย จึงส่งคนไปตรวจสอบ กลับพบว่าถูกขังอยู่ในคุก จึงรีบกลับมารายงานท่านอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว  

 

 

ท่านอ๋องฉีโกรธเป็นฟืนไฟ ทุบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดว่า “บังอาจนัก กล้าทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร” 

 

 

เขาเองก็มีตำแหน่งใหญ่โต ทำไมจะไม่เข้าใจ ที่เจ้าเมืองทำเช่นนี้ ก็เพราะอยากให้เรื่องนี้มันแล้วๆ กันไป ไม่อยากให้ถึงหูของราชสำนัก จะได้ไม่กระทบต่อการเลื่อนตำแหน่งและทรัพย์สินของเขาไงล่ะ 

 

 

“ท่านอ๋องอย่ากริ้วไปเลยขอรับ จะให้ข้าไปอีกรอบ แล้วบอกฐานะของพวกเราไหมขอรับ” เซี่ยเฟิงถาม  

 

 

ท่านอ๋องฉีก็เอาตราประจำตำแหน่งที่ติดซ่อนอยู่ที่เอวออกมา ส่งให้กับเขา “ไป ให้เจ้าเมืองเจียงหนานมาพบข้าที่นี่” 

 

 

เซี่ยเฟิงตอบรับ คว้าตราประจำตำแหน่งเดินออกไป 

 

 

พอทุกคนออกไปกันหมด พระชายาฉีถึงได้บอกว่า “ท่านอ๋อง เช่นนี้จะดีหรือเพคะ ที่เจ้าเมืองกล้าทำเช่นนี้ ก็เพราะอยากหลับหูหลับตา แล้วก็จวนฮั่วที่ทำตัวกร่างคอยจับจ้องพวกเราอยู่อีก เปิดเผยฐานะของท่านเช่นนี้ จะเป็นอันตรายต่อพวกเราหรือไม่เพคะ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองหลวง คนที่เราพามาด้วยจะไม่พอเอาได้” 

 

 

เมื่อครู่ท่านอ๋องฉีโกรธเป็นอย่างมาก เลยไม่ได้คิดอะไร ที่พระชายาฉีพูดเช่นนี้ ก็เพราะจะเตือนเขาว่า พวกเราออกมาท่องเที่ยว พาคนมาไม่เยอะ เจ้าเมืองทางนั้นไม่น่ากลัวเท่าไร แต่จวนฮั่วนี่สิที่เขาลือกันว่าเป็นฮ่องเต้ของพื้นที่แห่งนี้ เป็นผู้มีอิทธิพลมาก ถ้าหากพวกเขาร่วมมือกันล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร 

 

 

จึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน “เอาเครื่องเขียนมา” 

 

 

องครักษ์ลับตอบรับ แล้วรีบเอามาให้ทันที 

 

 

ท่านอ๋องเขียนจดหมายหนึ่งฉบับอย่างรวดเร็ว แล้วส่งให้กับองครักษ์ลับ “เอาไปให้ที่สถานีส่งสาส์นให้ส่งกลับไปที่เมืองหลวงโดยด่วนที่สุด” 

 

 

องครักษ์ลับรับไว้ แล้วออกไปทันที  

 

 

หลังจากบ่าวรับใช้ของตระกูลฮั่วมาที่โรงเตี๊ยม ก็เข้าไปถามเถ้าแก่ทันที พอได้ยินเถ้าแก่บอกว่าพวกเขากลับมาแล้ว ก็ตกใจ รีบกลับไปรายงานที่จวนฮั่วทันที 

 

 

พวกมันยังไม่ตาย ฮั่วเจี่ยรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก ออกคำสั่งว่า “เจ้าไปที่ริมแม่น้ำ เรียกท่านเจ้าเมืองมาพบข้า บอกว่าข้ามีเรื่องจะปรึกษา” 

 

 

บ่าววิ่งออกไปที่ริมแม่น้ำ แต่ช้าไปเสียแล้ว เซี่ยเฟิงมาถึงก่อน  

 

 

ถือตราประจำตำแหน่งมาหาท่านเจ้าเมือง เซี่ยเฟิงไม่ได้มีทีท่านอบน้อมแต่อย่างใด เอาตราประจำตำแหน่งยื่นให้เขาดูเต็มๆ ตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านอ๋องเรียนเชิญ ท่านเจ้าเมืองไปกับข้าเสียหน่อยเถิด” 

 

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำความเคารพ แต่ว่าเขากำลังโกรธ ตั้งแต่เขาเข้าค่ายฝึกทหารมา โดนเลือกเป็นองครักษ์ลับ หลายปีมานี้ ยังไม่เคยมีเพื่อนของเขาคนไหนต้องเข้าคุกเลย นี่เป็นครั้งแรก จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร ส่งผลให้ท่าทางของเขาดูไม่นอบน้อมเท่าไรนัก  

 

 

พอเห็นแล้วว่าเป็นตราของใคร ฟังคำพูดที่เย็นชาของเซี่ยเฟิงแล้ว ความไม่สบายใจก็กระจ่างโดยทันที ท่านเจ้าเมืองเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ณ เวลานี้ เหงื่อไหลออกมาดังสายฝน ไหลออกมาเป็นหยดเป้งๆ ให้ตายยังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน แถมยังเป็นคนในเหตุการณ์อีกด้วย  

 

 

พยายามฝืนไม่ให้ตัวเองล้มเพราะเข่าอ่อน ใจเต้นตุบๆ เหงื่อไหลออกมาเต็มไปหมด เดินตามเซี่ยเฟิงไปตามทางด้วยสีหน้าขาวซีด  

 

 

พอบ่าวรับใช้ของจวนฮั่วเห็นท่านเจ้าเมือง รีบรุดเข้าไปแล้วบอกว่า “ท่านเจ้าเมืองขอรับ นายท่านของพวกเราขอเชิญ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาขอรับ” 

 

 

เจ้าเมืองมองไปที่เซี่ยเฟิง พยายามจะพูด แต่ก็ไม่กล้าพูด  

 

 

บ่าวรับใช้สงสัย คิดว่าเขาคงฟังไม่เข้าใจ กำลังจะพูดอีกรอบ แต่ท่านเจ้าเมืองแสร้างทำมือโบกไล่ แล้วชี้ไปที่เซี่ยเฟิง แล้วคงมาดขุนนางพูดว่า “ข้ามีธุระจะต้องสะสาง เดี๋ยวไว้วันพรุ่งข้าจะไปหาท่านฮั่วเอง” 

 

 

บ่าวชะงักไป เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ แต่ก็อดมองเซี่ยเฟิงไม่ได้ สงสัยว่าเขาคือใคร ทำไมถึงได้ทำให้เจ้าเมืองผู้เย่อหยิ่งคนนี้เชื่อฟังเขาได้ 

 

 

เซี่ยเฟิงอยู่ด้านหน้า จึงไม่ทันได้สังเกตท่าทางของเขา แต่ได้ยินสิ่งที่เขาคุยกันทั้งหมด เบะปากเล็กน้อย แล้วคิดในใจ เหมือนว่าจวนฮั่วจะรู้แล้วว่าพวกท่านอ๋องไม่ตาย ถึงได้มาหาเขาเพื่อหาทางรับมือ 

 

 

เจ้าเมืองเข้าใจว่าฮั่วเจี่ยไม่รู้ว่าท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน เลยกำลังจะบอกกับบ่าวคนนั้น เซี่ยเฟิงเลยหันกลับมา บอกว่า “ท่านใต้เท้า เรื่องใดไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด เรื่องจะได้ไม่มาก” 

 

 

ท่านเจ้าเมืองขนลุกซู่ เหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ แต่กลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งหัวใจ จึงไม่พูดมาก รีบเดินตามเขาไปแต่โดยดี  

 

 

บ่าวเห็นเขาเดินออกไปต่อหน้าต่อตา พอได้สติ ก็เขกกะโหลกตัวเองหนึ่งที แล้วรีบกลับมารายงานที่จวนฮั่วว่า “นายท่าน ท่านเจ้าเมืองโดนคนของท่านอ๋องฉีเอาตัวไปแล้วขอรับ” 

 

 

ไม่คิดว่าท่านอ๋องฉีจะเร็วขนาดนี้ ฮั่วเจี่ยหรี่ตามองด้วยสายตาดุดันน่าเกรงขราม  

 

 

เจ้าเมืองท่าทางกระอักกระอ่วน ตามเซี่ยเฟิงมาจนถึงโรงเตี๊ยม  

 

 

พอเถ้าแก่เห็น ก็ตกใจจนตัวสั่น ออกมาจากโต๊ะบริการ คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ข้าน้อยขอคารวะท่านเจ้าเมือง ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองมาด้วยเหตุอันใดขอรับ” ปากก็ว่าไป ใจก็นึกทบทวนไปว่าตนทำอะไรมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิด ค่อยวางใจ  

 

 

เจ้าเมืองร้อนใจนัก มีเวลามาสนใจเขาที่ไหนกัน ตามเซี่ยเฟิงไปชั้นสองทันที  

 

 

เซี่ยเฟิงรายงานที่หน้าประตู “ท่านอ๋องขอรับ เจ้าเมืองเจียงหนานมาแล้วขอรับ” 

 

 

เซี่ยเฟิงโกรธเขามากที่เอาเพื่อนองครักษ์ของเขาไปขังคุก ขนาดสรรพนามที่ใช้เรียกใต้เท้าก็ไม่เรียกแล้ว 

 

 

“พาเข้ามา!” เสียงที่ดุดันของท่านอ๋องดังออกมาจากในห้อง 

 

 

เซี่ยเฟิงเปิดประตูออก แล้วบอกให้เจ้าเมืองเข้าไป 

 

 

ท่านเจ้าเมืองก้มหน้า ไม่กล้ามองตรงๆ เดินเข้าไปในห้องด้วยขาแข้งที่ไร้เรี่ยวแรง ก้มกราบคารวะ “ข้าน้อยจูจือหมิงเจ้าเมืองเจียงหนานขอคารวะท่านอ๋องฉี” 

 

 

ไม่มีเสียงตอบรับ 

 

 

จูจือหมิงไม่กล้าขยับ ได้แต่ฟุบอยู่ที่พื้นด้วยความกล้าๆ เกร็งๆ 

 

 

ผ่านไปพักหนึ่ง ท่านอ๋องฉีถึงพูดว่า “จูจือหมิง จอหงวนในรัชสมัยที่สิบสามของฮ่องเต้องค์ก่อน มีฐานะปานกลาง เป็นคนเซิ่งจิง ข้าพูดถูกหรือไม่” 

 

 

จูจือหมิงเย็นวาบไปทั้งตัว มือไม้อ่อนแรง ยังคงฟุบอยู่ที่พื้นพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อย… …” 

 

 

“ข้าพูดถูกหรือไม่” ท่านอ๋องพูดแทรก แล้วถามด้วยความน่าเกรงขราม 

 

 

“ใช่ๆ ขอรับ” จูจือหมิงตอบ 

 

 

“เมื่อปีนั้นเจ้าเขียนความคิดของคนธรรมดาลงกระดาษ ถวายขึ้นมาจนได้เป็นขุนนาง โดดเด่นเหนือผู้อื่น จนฮ่องเต้เลือกให้เป็นบัณฑิตหน้าใหม่ เจ้าจำได้หรือไม่” 

 

 

จูจือหมิงยังคงฟุบอยู่กับพื้น ไม่กล้าพูดอะไร  

 

 

สายตาอันเฉียบคมของท่านอ๋องฉีมองไปที่เขา ราวกับจะแทงเขาให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น แล้วต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย หลายปีมานี้ เจ้าเป็นเจ้าเมืองเจียงหนาน ทำเช่นนี้มาตลอดเลยงั้นรึ” 

 

 

จูจือหมิงตัวสั่นระริก เหงื่อเม็ดใหญ่ของเขาตกลงสู่พื้น ตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง