ตอนที่ 1971 ก็หลงตัวเองเกินไป!

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1971 ก็หลงตัวเองเกินไป!

แต่สำนักดาบเมฆเหินก็จะไม่มีวันบีบบังคับให้เหล่าศิษย์สายตรงคายความลับของตัวเองออกมา

ขอแค่พวกเขาผ่านการทดสอบไปได้และไม่ฝ่าฝืนกฎของสำนัก สำนักดาบเมฆเหินก็จะไม่จุกจิกจู้จี้ว่าบรรดาศิษย์สายตรงในสังกัดของพวกเขาฝึกฝนอะไร

เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทุกคนใช้ได้’ เมื่อเป็นเรื่องของเทคนิควรยุทธ

หลังจากสนทนาเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์ของสำนักกันอีกเล็กน้อย ผู้อาวุโสลู่ก็จากไป

เขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้สำเร็จ จึงต้องการเวลาระยะหนึ่งในการขัดเกลาวรยุทธ

“ท่านอาจารย์!”

เมื่อผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจากไป ตั้นเฉี่ยวเทียนยื่นหนังสือศิลปะเมฆเหินกับเคล็ดวิชาเพลงดาบเมฆเหินให้จางเซวียน

จางเซวียนเคาะนิ้วลงไปเบาๆ แล้วถ่ายโอนเนื้อหาทั้งหมดเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า จากนั้นเขาก็พลิกดู

เพราะเกรงว่าการฝึกฝนวรยุทธของตั้นเฉี่ยวเทียนจะเกิดการผิดพลาด ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจึงให้มาแค่หนังสือเคล็ดวิชาของนักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 เท่านั้น หากจะเปรียบเทียบกับเทคนิควรยุทธอื่นๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ มันก็ถือเป็นชั้นยอด แต่หากเทียบกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้า ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย

ในมุมมองของจางเซวียน ของแบบนี้ไม่ได้ควรค่าต่อการฝึกฝน

เคล็ดวิชาเพลงดาบเมฆเหินมีความสง่างามก็จริง แต่ก็เทียบกันไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้ทำความเข้าใจก่อนหน้านี้

“สำหรับเทคนิควรยุทธ คุณควรฝึกฝนเฉพาะสิ่งที่ผมถ่ายทอดให้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ส่วนศิลปะเพลงดาบ ให้ฝึกฝนศิลปะการโยนดาบต่อไป คุณเชี่ยวชาญมันเมื่อไหร่ ผมจะถ่ายทอด เทคนิคระดับที่สูงขึ้นให้!” จางเซวียนพูด

“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างว่าง่าย

ในโลกนี้ไม่มีใครที่เขาเคารพมากกว่าท่านอาจารย์อีกแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะยิ่งกว่าเต็มใจทำตามในสิ่งที่ท่านอาจารย์บอก

ขณะที่จางเซวียนกำลังจะออกจากที่พัก ตั้นเฉี่ยวเทียนก็โพล่งออกมา “อ้อ ท่านอาจารย์! เทคนิคการโยนดาบที่คุณถ่ายทอดให้ผมมีชื่อว่าอะไร?”

ท่านอาจารย์ถ่ายทอดเทคนิคให้เขา แต่ชื่อของมันยังคงเป็นความลับ

แน่นอนว่าเขาไม่อาจเรียกเทคนิคนี้ว่าการโยนดาบได้ตลอดไป ถูกไหม?

คำถามนี้ทำให้จางเซวียนขมวดคิ้ว

พูดตามตรง เขาคิดค้นเทคนิคนี้ขึ้นด้วยความเข้าใจชั่ววูบ ไม่ได้ใส่ใจจะตั้งชื่อให้มัน ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบให้กับคำถามของตั้นเฉี่ยวเทียน

จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อคุณคือนายน้อยที่ 3 ของตระกูลตั้น ก็เรียกเทคนิคนี้ว่าศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3 ก็แล้วกัน!”

“ศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3? ไม่ได้หรอก! มันดูไม่เหมาะสม” ตั้นเฉี่ยวเทียนค้านพร้อมกับขมวดคิ้ว

ก็หลงตัวเองเกินไป!

ในโลกนี้ มีใครกันที่นำชื่อของตัวเองมาตั้งเป็นชื่อศิลปะเพลงดาบ?

แถมเทคนิคนี้ ท่านอาจารย์ของเขาก็เป็นผู้คิดค้น เขาจะใช้ชื่อตัวเขาได้อย่างไร?

“มีอะไรไม่เหมาะสม? ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องชื่อเทคนิคอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ ตามใจคุณเถอะ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคิดว่าศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3 ฟังดูเข้าท่าดี!” จางเซวียนโบกมืออย่างเกียจคร้าน

เขาไม่ใส่ใจการถกเถียงเรื่องแบบนี้

ท่านพ่อของเขาเป็นคนไม่เอาไหนเรื่องการตั้งชื่อ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้ชื่อจางเปี่ยวเฟย ในฐานะผู้รับถ่ายทอดยีนนี้มาเต็มๆ เห็นๆกันอยู่ว่าเขาไม่ได้ดีไปกว่าท่านพ่อ เพราะหากทำได้ เขาคงไม่ต้องตั้งชื่อเทคนิคของตัวเองว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้า, ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้า, ศิลปะเพลงหอกเทียบฟ้า และอื่นๆ ส่วนสมญานามของเขาก็คงไม่ต้องวนเวียนอยู่กับหยางชวน, เซวียนจาง, เทียนหยา และชื่ออันแสนไม่เข้าท่าพวกนั้น

“ก็ได้…” เห็นท่านอาจารย์ตัดสินใจแล้ว ตั้นเฉี่ยวเทียนได้แต่รับคำ

เมื่อพูดจากันเป็นที่เข้าใจ จางเซวียนกำลังจะเดินออกไป ก็พอดีกับที่นึกอะไรบางอย่างได้ เขาหันกลับมาพูดกับตั้นเฉี่ยวเทียน “ขอผมยืมตราสัญลักษณ์ศิษย์สายตรงฝ่ายในของคุณสักครู่”

หลังจากได้ตราสัญลักษณ์จากตั้นเฉี่ยวเทียนแล้ว จางเซวียนก็ออกจากที่พักและมุ่งหน้าไปยังหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน

หอสมุดตั้งอยู่บนที่ราบแห่งหนึ่งในหุบเขาที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ มันเป็นหอคอยใหญ่โตโอ่อ่าที่จางเซวียนเคยเห็นระหว่างทางที่ไปตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน

เมื่อถึงที่หมาย จางเซวียนยื่นตราสัญลักษณ์ให้

ผู้อาวุโสที่ดูแลหอสมุดพิจารณาตราสัญลักษณ์ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ 2 เหรียญสำนักดาบต่อ 1 ชั่วโมง คุณสามารถเลือกเทคนิควรยุทธหรือเทคนิคการต่อสู้ที่ต้องการและทำสำเนาได้”

จางเซวียนยื่นเงิน 2 เหรียญสำนักดาบให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

สายเลือดของสำนักดาบเมฆเหินนั้นย้อนกลับไปได้กว่าหลายพันปี ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้ หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในจึงเต็มไปด้วยหนังสือศิลปะเพลงดาบและหนังสือเทคนิคการต่อสู้ทุกรูปแบบ หลังจากกะประมาณคร่าวๆ จางเซวียนเชื่อว่าน่าจะมีหนังสือราวหลายล้านเล่มอยู่ในหอสูงแห่งนี้

มีห้องส่วนตัวจำนวนหนึ่งที่ศิษย์สายตรงสามารถเข้าไปอ่านหนังสือได้ แต่เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง ศิษย์สายตรงส่วนใหญ่จึงมักเลือกหนังสือที่พวกเขาต้องการก่อนจะรีบทำสำเนาหนังสือเล่มนั้นโดยเร็วที่สุดขณะที่ยังอยู่ข้างใน

สำหรับจางเซวียน เขาไม่มีปัญหาอะไรมากนัก สิ่งที่ต้องทำก็คือกวาดสายตามองหนังสือทั้งหมดที่อยู่โดยรอบและพึมพำคำว่า ‘ข้อบกพร่อง’ ในใจ

ฟึ่บ!

เพียงเท่านั้น หนังสือทุกเล่มก็จะถูกถ่ายโอนเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง

จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าประสิทธิภาพการถ่ายโอนหนังสือของหอสมุดเทียบฟ้ายังคงเป็นปกติ เขาเกรงว่าหอสมุดเทียบฟ้าอาจมีบางอย่างเปลี่ยนไปหลังจากเข้าสู่มิติเบื้องบน แต่เท่าที่เห็น ทุกอย่างดูจะใช้การได้ดีเหมือนเดิม

จางเซวียนเดินไปค้นหาหนังสือในระดับที่สูงขึ้นและถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดที่เขาหมายตาไว้

เพราะนี่คือหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน หนังสือเทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธส่วนใหญ่จึงอยู่ในขั้นนักปราชญ์โบราณเท่านั้น ไม่มีเทคนิคขั้นเสมือนอมตะให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นของนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ด้วย

เมื่อวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณเพิ่มสูงขึ้นทีละ 1 ขั้นย่อย ปริมาณหนังสือที่มีก็ดูจะลดลงอย่างฮวบฮาบ

ตอนนี้จางเซวียนเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้น จึงไม่สำคัญนักว่าเขาจะถ่ายโอนหนังสือที่ได้เห็นก่อนหน้านี้หรือไม่

จางเซวียนใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงเพื่อถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดในหอสมุด จากนั้นก็เดินออกมาแล้วจ่ายเงิน 8 เหรียญสำนักดาบก่อนจะกลับที่พัก

“เอาล่ะ ได้เวลาฝ่าด่านวรยุทธเสียที!”

เมื่อถ่ายโอนเทคนิควรยุทธที่จำเป็นไว้ได้มากพอ ก็ถึงเวลาที่เขาจะขยับวรยุทธของตัวเองสักหน่อย

จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเตียงก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า เขารีบรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธทั้งหมดของนักปราชญ์โบราณขั้น 4 เข้าด้วยกัน

“ประมวล!”

หนังสือทุกเล่มหลอมรวมกัน ก่อเกิดเป็นหนังสือเทคนิควรยุทธของนักปราชญ์โบราณขั้น 4 เล่มใหม่เอี่ยม

จางเซวียนรีบพลิกดูเพื่ออ่านรายละเอียด ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เป็นอย่างที่เขาหวังไว้ สิ่งที่ประมวลออกมาได้อยู่ในระดับขั้นของเคล็ดวิชาเทียบฟ้า

จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำยาเม็ดอมตะขั้นต้นที่เหลืออีก 7 เม็ดออกมาและกลืนลงไปเม็ดหนึ่ง

ฟิ้ววววววว!

พลังจิตวิญญาณเข้มข้นพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของจางเซวียนทันที เขาขับเคลื่อนพลังปราณให้สอดคล้องกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่เพิ่งประมวลขึ้นใหม่

ขณะที่พลังจิตวิญญาณแปรสภาพเป็นพลังปราณ พละกำลังของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น พลังปราณเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม

บึ้มมมม!

ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังลั่นขณะที่จางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นกลางได้สำเร็จ เขากินยาเข้าไปอีกสองสามเม็ดและผลักดันวรยุทธต่อไป

“เอ๊ะ? ดูเหมือนอานุภาพของยาเม็ดอมตะขั้นต้นจะด้อยลงไปนะ?”

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงให้หลัง วรยุทธของจางเซวียนก็มาถึงขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นสูง เขากินยาเม็ดอมตะขั้นต้นทั้ง 7 เม็ดหมดแล้ว แต่ด้วยประสิทธิภาพที่ลดลง สุดท้ายจึงสำเร็จแค่ขั้นสูงเท่านั้น ยังห่างไกลจากการสำเร็จขั้นโลกจารึก

“เคล็ดวิชาเทียบฟ้าต้องการพลังจิตวิญญาณที่มีคุณภาพสูงจริงๆ!” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะหยุดการฝึกฝนวรยุทธ

โดยทั่วไป ยาเม็ดอมตะขั้นต้นใช้ได้ผลดีแม้แต่กับนักรบเสมือนอมตะ แต่ตอนนี้มันแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาอีกแล้ว

จะว่าไป ต่อให้ไม่มียาเม็ดอมตะขั้นต้น เพียงแค่ซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทที่อบอวลอยู่ในอากาศ เขาก็ยังพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วกว่าเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์มาก แต่นั่นแหละ ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก

คงเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หากต้องใช้เวลานานขนาดนี้เพียงเพื่อยกระดับวรยุทธให้ก้าวหน้าไปแค่ไม่กี่ขั้น

“ในเมื่อเงินยังเหลือ เราควรจะไปหาซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานไหม?” จางเซวียนนึกสงสัย

เขาเพิ่งได้เงินมา 1,400 เหรียญสำนักดาบ และใช้ไปแค่ 8 เหรียญเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องใช้เงิน ก็น่าจะดีที่สุดที่จะยกระดับวรยุทธไปเป็นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกให้ได้เสียก่อน

จางเซวียนนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาและเข้าสู่หอนิรันดร์อีกครั้ง

คราวนี้เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปที่สังเวียนประลอง แต่ตรงไปยังโซนที่มีการซื้อขาย

“ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน? ราคาเม็ดละ 200 เหรียญสำนักดาบ” เจ้าหน้าที่บอกจางเซวียน

“200 เหรียญสำนักดาบ?” จางเซวียนถึงกับงง

นี่มันราคาบ้าบออะไร?

ยาเม็ดอมตะขั้นต้นราคาเพียงเม็ดละ 2 เหรียญสำนักดาบเท่านั้น แต่ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานมีราคาถึงเม็ดละ 200 เหรียญ ต่างกันเป็นร้อยเท่า!

“ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานใช้กันในหมู่นักรบอมตะตัวจริง ผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นนั้นแล้วก็มีแต่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรือไม่ก็ศิษย์สายตรงฝ่ายใน สำหรับพวกเขา เงิน 200 เหรียญสำนักดาบไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” เจ้าหน้าที่อธิบาย

“แน่นอนว่าเหตุผลที่มันมีราคาแพงก็เพราะมีองค์ประกอบของสมุนไพรที่มีราคาแพงอยู่มากมาย อีกอย่าง กระบวนการหลอมยาก็ต้องได้รับการควบคุมอย่างใกล้ชิดจากนักปรุงยา ปริมาณยาที่ได้จึงมีจำกัดมาก”

จางเซวียนถอนหายใจเฮือก

ขนาดศิษย์สายตรงอย่างจูเหยียนจื่อยังมีเงินเกือบพันเหรียญอยู่กับตัว ดังนั้น ถ้าเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและเหล่าผู้อาวุโส ราคาของยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานก็คงจัดว่าถูกสำหรับพวกเขา

“ผมซื้อ 5 เม็ด!” จางเซวียนตอบอย่างจนปัญญา

เขาเคยคิดว่าเงินที่เพิ่งได้มาคงช่วยให้เขาอยู่ได้สักพัก แต่ความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ตีแสกหน้าของเขาอีกครั้ง