GGS:บทที่ 1072 เปิดก่อนได้เปรียบ

หยวนหยินหนิงได้เตรียมที่จะรับโทรศัพท์ในทันทีที่เห็นว่าเป็นใครโทรมา แต่เมื่อเห็นว่าฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วอยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงได้นำสมอลทอร์คออกมาเสียบและเปิดลำโพงพร้อมรับสายและถามออกมาว่า
“อาบิน เป็นยังไงบ้าง”
“ลูกพี่หยวน ผมกลัวว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น” เสียงที่ปลายสายในตอนนี้แสดงถึงความเป็นกังวล
“เกิดอะไรขึ้น” หยวนหยินหนิงได้รีบถามออกไปในขณะที่ทั้งสามมีท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดในทันที
“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ…” หยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่วต่างก็รับฟังสถานการณ์และก็ได้มีใบหน้าที่หน้าเกลียดอย่างมากในทันทีที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
จากสถานการณ์ที่ได้ยินนี้บอกได้เลยว่าคิดได้เพียงไม่กี่ทาง ไม่ว่าเฒ่าจางผู้นั้นจะถูกข่มขู่จนต้องทำตามหรือไม่ ไหนจะเรื่องที่บ้านของอาบินที่โดนบุกรุกนั่นอีก ไม่ว่าจะมองยังไงก็ต้องมีอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน

“ลูกพี่หยวนครับ ผมวิเคราะห์แล้วมีความเป็นไปได้อยู่สองทาง หนึ่งคือองค์กรเกล็ดงูนั่นไม่สนใจที่จะร่วมมือกับพวกเราจริงๆและต้องการหาตัวคนบงการที่แท้จริงเพื่อกวาดล้างพวกเรา
อีกหนึ่งก็คือซูจิ้งรู้เรื่องของพวกเราแล้วและได้เข้ามาแทรกแทรงสิ่งที่พวกเราตั้งใจจะทำ
และในความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่อย่างแรก เพราะองค์กรเกล็ดงูสมควรจะไม่มีเหตุผลที่จะมาเป็นศัตรูกับเรา
ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือซูจิ้งรู้ตัวแล้ว แต่ก็ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งที่แย่อย่างสุดๆก็คือมีอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้
หากกลุ่มอื่นที่ว่ามีความสามารถในระดับนี้ได้จริงๆ ผมเกรงว่าโลกนี้จะเกิดความโกลาหลในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตาม การที่กลุ่มที่สามนี้สามารถหาผมที่พักเจอทำให้ผมไม่ได้ติดต่อเฒ่าจางมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้าง
ถึงแม้มันจะเสี่ยงอย่างมากจนไม่แน่สำเร็จ แต่ผมไม่รู้เลยว่าจะหนีรอดจากที่นี่ได้รึเปล่า หรือผมอาจจะโดนควบคุมแบบเฒ่าจางหลังจากถูกจับตัวไปแล้วก็ตาม ลูกพี่หยวน ผมว่าเราต้องเริ่มแผนการสุดท้ายแล้วล่ะ” อาบินพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

หยวนหยินหนิงที่ได้ยินไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยสักคำ ใบหน้าของเขาในตอนนี้เคร่งเครียดจนยับยู่น่าเกลียดแบบสุดๆ
ก่อนหน้านี้เขาเองพึ่งจะคิดว่าแผนการเป็นไปได้ด้วยดีแล้ว และถึงแม้จะระวังแบบสุดๆก็ตาม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกมาตลอดว่าเขานั้นไม่ได้อะไรเลยจากสิ่งที่ทำอยู่ จนกระทั่งพบร่องรอยและมาจนถึงขั้นตัวเป็นๆแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายเหมือนกับว่าเขานั้นไม่ได้อะไรเลย แถมตอนนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยตัวตนเสียด้วยซ้ำไป ความรู้สึกนี้มันแย่แบบสุดๆ
ตอนนี้สถานการณ์ถือได้ว่าเลวร้ายถึงขีดสุด อาบินตกเป็นเป้าหมาย หากอาบินโดนจับได้ เขากลัวว่าเรื่องของเขาจะต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่

เมื่อเขาคิดว่าเรื่องที่เขาทำเอาไว้เข้าไปถึงหูซูจิ้งแล้วทำให้อดที่จะรู้สึกขนลุกและเสียวสันหลังไปไม่ได้ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ในทุกๆครั้งที่เขาทำการณ์ใดๆ ยิ่งทำให้เขาพบว่าซูจิ้งนั้นน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
การที่จะตกเป็นเป้าหมายของซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งปล่อยให้เขาไปเผชิญหน้าเสือสิงห์ด้วยตัวเปล่าเลยจริงๆ
“ดูเหมือนว่านี่ฉันต้องดำเนินแผนการสุดท้ายนั่นจริงๆสินะ” หยวนหยินหนิงพูดออกมาพลางถอนหายใจออกมาอย่างยาว
แผนการของเขาก่อนหน้านี้ก็คือคอยอยู่หลังฉากแล้วสนับสนุนขุมกำลังต่างๆออกหน้าจัดการซูจิ้งไปแทน พร้อมทั้งร่วมกันวางแผนทำสิ่งต่างๆในอนาคต
แต่ในเมื่อสถานการณ์ออกมาเป็นแบบนี้แล้ว แผนนี้คงใช้ไม่ได้อีกต่อไป
“แผนสุดท้ายคืออะไร นี่นายซ่อนความลับกับพวกเราอีกมากมายแค่ไหนเนี่ย” ทั้งฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วได้ถามออกมาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ค่อยๆฟังฉันไปก็แล้วกัน สิ่งที่ฉันบอกพวกนายออกไปก่อนหน้านี้ก็ขอให้ลืมๆมันไปซะเพราะมันพังตั้งแต่ที่อาบินโทรมาแล้ว
ถูกต้องอย่างที่นายสงสัย ทั้งเรื่องที่เว่ยเสี่ยวหยวนตกลงมาจากตึก และเรื่องของจินเชาหวู่ที่ไปท้าทายเสี่ยวไจ๋และซูจิ้งนั่นเป็นฝีมือฉันเอง
นายต้องประหลาดใจแน่ๆใช่ไหมล่ะว่าจินเชาหวู่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้ยังไง บอกได้เลยว่าหมอนั่นเป็นเพียงหนึ่งคนที่ฉันชุบเลี้ยงไว้ ฉันยังมีคนอย่างจินเชาหวู่อยู่อีกเป็นร้อยเลยทีเดียว ถึงแม้จะยังแข็งแกร่งไม่เท่าแต่ก็อีกไม่นานนี้หรอก” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“เป็นไปได้ยัง” ทั้งฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วต่างก็ตกใจจนหนังตากระตุกไม่หยุด
“นายไม่คิดว่าจะเป็นไปไม่ได้สินะ นั่นเป็นเพราะพวกนายยังไม่รู้คุณค่าของเพลงหมัดวัวคลั่งและข้าวสีน้ำเงินต่างหาก
เอาจริงๆเลยนะ ที่ฉันส่งจินเชาหวู่ไปที่ที่นั่นก็เพราะต้องการให้หมอนั่นได้เรียนรู้กระบวนท่าที่สามของเพลงหมัดวัวคลั่ง แถมฉันยังขุนหมอนั่นด้วยข้าวสีน้ำเงินอีก
ตอนที่เห็นว่าเรื่องของจินเชาหวู่เป็นไปได้ด้วยดี ฉันจึงได้ไปเสาะหาเหล่านักศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ในระดับดีขึ้นไปมาชุบเลี้ยง ต่อให้ซูจิ้งจะเก่งกาจราวปีศาจร้ายขนาดไหนก็ตาม
แต่เมื่อพบเจอกับผู้คนที่ก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยผลิตภัณฑ์ของตัวเองแบบนี้ก็คงมีเจ็บปางตายกันบ้าง” หยวนหยินหนิงได้พูดแผนการสุดท้ายออกมา
“ห้ะ ที่ไอ้เจ้าจินเชาหวู่ทรงพลังขึ้นมาได้ขนาดนั้นเป็นเพราะเพลงหมัดวัวคลั่งและข้าวสีน้ำเงินจริงๆงั้นเหรอ” ฮัวหยุนชูถามออกมาอย่างจริงจัง
“ถูกต้อง” หยวนหยินหนิงพยักหน้า

“ถึงฉันจะได้ยินมาก่อนแล้วว่าเพลงหมัดวัวคลั่งและข้าวสีน้ำเงินนั่นล้วนแล้วแต่วิเศษมาก แต่ไม่คิดว่าเมื่อนำมารวมเข้าด้วยกันแล้วจะก่อเกิดพลังท้าทายฟ้าแบบนั้นได้” ฟูหงซิ่วพูดออกมาด้วยความตกใจ
ฮัวหยุนชูที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ใช้ความคิดสักพัก ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ข้าวสีน้เงินนั่นราคาสูงเสียดฟ้าแสดงว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปแล้วนั้นย่อมไม่ใช่น้อยๆเลยถึงได้ทรงพลังได้ขนาดนั้น
ในเมื่อนายบอกว่าถ้าไม่วิกฤตจริงๆจะไม่พูดออกมานี่ก็แสดงว่าเป็นเรื่องเงินสินะ”
หยวนหยินหนิงไม่ได้มีท่าทีจะปิดบังอีกต่อไป เขาได้พูดออกมาว่า “ใช่ เหตุผลที่ฉันไม่บอกพวกนายแม้กระทั่งไม่ได้ใช้เงินของพวกนายนั้นเป็นเพราะว่าต้องเป็นเป้าสายตาของซูจิ้ง และแผนนี้ฉันไม่เร่งรีบที่จะทำ
แต่ในตอนนี้ด้วยสถานการณ์ต่างๆทำให้ไม่เหลือทางเลือกแล้ว ฉันของบอกตรงๆเลยว่าฉันจ่ายเงินไปกับการฝึกคนกลุ่มนี้ไปแล้วไม่ต่ำกว่าสามพันล้านหยวน
เงินส่วนใหญ่นั้นเป็นหนี้ส่วนตัวและหนี้ของกิจการของฉัน พวกนายเองก็แค่ต้องทำแบบเดียวกับฉันเท่านั้นเอง และเมื่อถึงตอนเริ่มแผนการสุดท้าย พวกเราก็ไม่ต้องปิดบังกันอีกต่อไป”
“นายยังไม่ได้บอกเลยว่าแผนการสุดท้ายคืออะไร” ฟูหงซิ่วรีบถามออกมาในทันที
“จับตัวครอบครัวของซูจิ้งและคู่หมั้นของมันที่ชื่อฉือฉิง” สิ่งที่หยวนหยินหนิงพูดออกมาได้ทำให้ฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วถึงกับสะดุ้งเฮือกในทันที โดยเฉพาะกับฟูหงซิ่วที่ก่อนหน้านี้ได้ไปแหย่รังแตนซูจิ้งเรื่องฉือฉิงจนโดนซูจิ้งใช้พลังจากเหรียญตรายมฑูตสะกดข่มจนไม่เหลือหน้าตาในสังคม ยิ่งเขาคิดไปถึงเรื่องในวันนั้นก็ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัวและขนลุกจนเสียวสันหลัง

“….มันจะไม่ง่ายน่ะนั่น ซูจิ้งไม่ยอมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้กับคนในครอบครัวอยู่แล้ว เขาจะต้องป้องกันไว้แล้วแน่ๆ” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“แน่นอนว่าย่อมเป็นแบบนั้น ฉันรู้มาอีกด้วยว่าคนในครอบครัวของหมอนั่นทุกคนล้วนแล้วแต่เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งทำให้แต่ละคนนั้นมีความแข็งแกร่งชนิดที่คนทั่วไปเทียบไม่ได้
และซูจิ้งเองก็น่าจะวางบอดี้การ์ดเอาไว้อย่างลับๆแล้ว แน่นอนว่าคนทั่วไปย่อมเข้าใกล้ไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงจะชุบเลี้ยงนักศิลปะการต่อสู้ให้ได้ร้อยคน
หากว่าแผนการเป็นไปได้ด้วยดีล่ะก็ ซูจิ้งจะต้องบ้าคลั่ง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะหลบยังไงก็คงหลบไม่พ้น พวกเราเองก็ต้องการให้เหล่านักศิลปะการต่อสู้พวกนี้ปกป้องเด้วยเหมืนอกัน หากยังสู้ไม่ได้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะตกตายกันอีท่าไหน” หยวนหยินหนิงพูดออกมาอย่างช้าๆและสุขุม
ฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วพลางเข้าใจในทันทีว่าทำไมถึงเรียกแผนการนี้ว่าแผนการสุดท้าย นั่นก็เพราะเมื่อเริ่มแผนการไปแล้ว หากไม่ใช่ว่าซูจิ้งนั้นจะตกตายไปก็ต้องเป็นพวกเขาที่มอดม้วย

ถึงแม้ความเสี่ยงจะสูงจนเรียกได้ว่าแลกมาด้วยชีวิต แต่หากสำเร็จก็คือลาภก้อนใหญ่ที่มีเงินทองไม่สิ้นสุด เพราะพวกเขานั้นต่างก็รู้ดีว่าซูจิ้งให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิดของเขาอย่างที่สุด
เขาย่อมไม่มีทางละทิ้งครอบครัวหรือคู่หมั้นเพื่อแลกกับเงินทางอย่างแน่นอน และพวกเขาเองก็ไม่ต้องการให้ซูจิ้งเป็นคนแบบนั้นด้วยเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงตอนที่พวกเขาสามารถควบคุมซูจิ้งได้อย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเขาจะได้ไม่เพียงเงินทองจำนวนมหาศาล แต่รวมถึงกลุ่มทุนกาลเวลาและกาลอวกาศที่มีอนาคตไม่สิ้นสุดมาไว้ในมืออีก เพียงเท่านี้ใจของเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำแล้ว
แผนการนี้ไม่ใช่เกมที่แข่งปัญญา มันเป็นเกมที่มีความเสี่ยงต่อความผิดทางด้านอาชญากรรม ความเสี่ยงที่จะโดนซูจิ้งแก้แค้นกลับมา แต่หากสำเร็จมันคือการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่
“เอาจริงๆเลยนะ ฉันเองไม่อยากจะใช้แผนการนี้เลยจริงๆ แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าอาบินจะตกเป็นเป้าหมายของซูจิ้งแล้ว ด้วยความสามารถในการสืบสวนของหมอนั่น อีกไม่นานก็ต้องรู้ความจริงอย่างแน่นอน และไม่ช้า เป้าหมายของหมอนั่นต้องเป็นฉันและพวกนาย พวกเราถอยหลังไม่ได้แล้ว พวกเราต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน พวกนายคิดว่ายังไง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาอย่างเรียบง่าย
“ฉันเอาด้วย” ฮัวหยุนชูที่นิ่งเงียบไปสักพัก ก็ได้พยักหน้าเห็นด้วยในที่สุด
“ฉันเอาด้วย” ฟูฮงซิ่วได้ฝืนใจที่หวาดกลัวของตัวเองให้เข้าร่วมจนได้ในที่สุด เขาตอบรับทั้งที่กัดฟันแน่นและมีเหงื่อที่ชุ่มโชกไปทั่วตัว
“ดี เป็นอันตกลง พวกเราจะเริ่มกันในคืนนี้ และเมื่อคันธนูได้ปล่อยศรไปแล้วมันจะไม่มีทางหวนกลับมา คราวนี้ลองดูสิว่าธนูดอกนี้จะฆ่าแกได้รึเปล่า” สายตาของหยวนหยินหนิงฉายประกายโหดร้ายออกมาในขณะที่พุด